Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Environmental Design Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

2,125 Full-Text Articles 2,874 Authors 1,491,354 Downloads 140 Institutions

All Articles in Environmental Design

Faceted Search

2,125 full-text articles. Page 28 of 90.

สัดส่วนพื้นผิวดูดซับเสียงต่อความเป็นส่วนตัวของคำพูด ในสำนักงานแบบเปิดโล่ง, ตระการตา มหาสุคนธ์ 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

สัดส่วนพื้นผิวดูดซับเสียงต่อความเป็นส่วนตัวของคำพูด ในสำนักงานแบบเปิดโล่ง, ตระการตา มหาสุคนธ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสัดส่วนพื้นผิวดูดซับเสียงที่ส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของคำพูด ในสำนักงานแบบเปิดโล่ง โดยนำข้อมูลสภาพแวดล้อมจริงจากสำนักงานต้นแบบที่มีมลภาวะทางเสียงในสำนักงานแบบเปิดโล่งมาทำการวิเคราะห์ด้วยซอฟท์แวร์จำลองสถานการณ์มลภาวะเสียง EASE 4.2 โดยการคำนวณค่าระดับความดันเสียง SPL ที่ลดลงจากการดูดซับเสียงของวัสดุ จนส่งผลให้ดัชนีความเข้าใจในคำพูด STI ลดลง ด้วยการวัดและประเมินตามข้อกำหนด ISO 3382-3 Open-plan office ผลจากการวิเคราะห์ด้วยซอฟท์แวร์จำลองสถานการณ์ของสภาพแวดล้อมใหม่ พบว่า การใช้ฝ้าแบบ A1 หรือ A2 ที่มีลักษณะพื้นผิวเป็นรูพรุนมีค่าการดูดซับเสียงมากมาใช้แทนฝ้าแบบฉาบเรียบเดิมที่มีค่าการดูดซับเสียงน้อยตรงบริเวณแหล่งกำเนิดเสียงรบกวนจากการสนทนา ในระดับติดตั้งที่ความสูง 3.40 เมตร และใช้แผงกั้นส่วนสูง 1.50 ปิดผิวลามิเนท ที่ ตลอดจนการใช้พื้นกระเบื้องยางร่วมด้วย ก็สามารถลดมลภาวะทางเสียงได้ และผ่านเกณฑ์มาตรฐาน


การอนุรักษ์และฟื้นฟูเรือนแถวพื้นถิ่นในย่านเมืองเก่าสกลนคร, ธรรศ วัฒนาเมธี 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การอนุรักษ์และฟื้นฟูเรือนแถวพื้นถิ่นในย่านเมืองเก่าสกลนคร, ธรรศ วัฒนาเมธี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การอนุรักษ์และฟื้นฟูเป็นระดับการอนุรักษ์ที่ช่วยรักษาเรือนแถวพื้นถิ่นในย่านเมืองเก่าสกลนคร วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพและการใช้งาน นอกจากนี้ การวิจัยนี้ยังศึกษาเหตุปัจจัย วัตถุประสงค์ และแนวคิดที่นำไปสู่เทคนิควิธีการอนุรักษ์และฟื้นฟูเรือนให้สอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบัน แล้วนำผลการศึกษามาสรุปและเสนอแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูที่เหมาะสมกับเรือนแถวพื้นถิ่น วิธีวิจัยเริ่มต้นจากการสำรวจพื้นที่ศึกษาเบื้องต้น ร่วมกับการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากนั้นคัดเลือกกรณีศึกษาเพื่อศึกษาเชิงลึกด้วยการสำรวจ การรังวัด และการสัมภาษณ์ การศึกษาพบว่า ในปัจจุบัน เรือนแถวพื้นถิ่นในย่านเมืองเก่าสกลนครคงเหลืออยู่มากกว่า 60 หลัง ส่วนใหญ่ยังมีการใช้งาน มีส่วนน้อยที่ถูกทิ้งร้าง การอนุรักษ์และฟื้นฟูจากกรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่า เรือนแถวมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ซึ่งอาจลดทอนความแท้และบูรณภาพของเรือนลง ในทางกลับกัน การดำเนินงานได้ช่วยส่งเสริมการใช้ประโยชน์ ส่งเสริมภูมิทัศน์ย่านเมืองเก่า บอกเล่าประวัติศาสตร์ของพื้นที่ รักษาองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม ตลอดจนช่วยรักษาคุณค่าทางจิตวิญญาณของอาคาร ข้อเสนอแนะแนวทางการในการอนุรักษ์ฟื้นฟูเรือนประกอบด้วยการส่งเสริมภูมิทัศน์ย่านเมืองเก่าที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์ผนังและองค์ประกอบภายนอกด้านหน้า การส่งเสริมการใช้ประโยชน์อย่างร่วมสมัย ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าด้านการใช้งานและเศรษฐกิจ การเพิ่มความสำคัญของการจัดทำเอกสารรวบรวมข้อมูลและบันทึกสภาพ การประเมินคุณค่าก่อนการดำเนินการ การอนุรักษ์ไม้และใช้วัสดุในท้องถิ่น ตลอดจนการวางแผนการบำรุงรักษาอาคารตามขั้นตอนการอนุรักษ์และฟื้นฟู


การเพิ่มประสิทธิภาพทางความยั่งยืนด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกรณี:มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภูมิศาสตร์ภาคกลาง กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, ทรงกิต การีซอ 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การเพิ่มประสิทธิภาพทางความยั่งยืนด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกรณี:มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภูมิศาสตร์ภาคกลาง กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, ทรงกิต การีซอ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะประเมินประสิทธิภาพทางความยั่งยืน และเสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพทางความยั่งยืน ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาโดยทำการศึกษาด้วยวิธีการประเมินมหาวิทยาลัยตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวโลก (UI Green Metric World Ranking) เน้นการประเมินในหัวข้อที่ 2 ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อันได้แก่ 1.อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน 2.อาคารอัจฉริยะทั้งหมดของมหาวิทยาลัย 3.พลังงานทดแทนซึ่งผลิตได้ในมหาวิทยาลัย 4.ปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดหารด้วยจำนวนประชากรทั้งหมด 5.อัตราส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียนหารด้วยการใช้พลังงานทั้งหมดต่อปี 6.องค์ประกอบของอาคารสีเขียวที่ดำเนินการตามนโยบายการก่อสร้างและปรับปรุงทั้งหมด 7.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ 8.ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทั้งหมดหารด้วยจำนวนประชากรทั้งหมด โดยรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ การประเมิน ข้อที่ 2 และแสดงแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนโดยคำนึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีผลการประเมิน อยู่ที่ 500 คะแนน และหากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาต้องการเพิ่มประสิทธิภาพทางความยั่งยืนด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 35,321,906 บาท และ มีระยะเวลาในการคุ้มทุนประมาณ 6-7 ปี หลังจากดำเนินการ ท้ายที่สุดนั้นในงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการเพิ่มพื้นที่อาคารอัจฉริยะและเพิ่มจำนวนแหล่งที่มาของพลังงานทดแทนอื่นนอกจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นหัวข้อที่ดำเนินการได้ยากที่สุด ในส่วนของการดำเนินการที่มหาวิทยาลัยควรเริ่มดำเนินการคือการลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ช่วยส่งเสริมการประหยัดพลังงานจะทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางความยั่งยืนด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่าเดิมและต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในอนาคต


ลักษณะทางกายภาพของแผนกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลเอกชน กรณีศึกษา โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในจังหวัดชลบุรี, กัณฐวรรณ ทับหนองฮี 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

ลักษณะทางกายภาพของแผนกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลเอกชน กรณีศึกษา โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในจังหวัดชลบุรี, กัณฐวรรณ ทับหนองฮี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

โรงพยาบาลเอกชนเป็นธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้มีกำลังซื้อ และเป็นธุรกิจที่ใช้งบประมาณในการลงทุนสูง จึงต้องคำนึงถึงผลตอบแทน ทำให้โรงพยาบาลเอกชนมีการกำหนดนโยบายทางการตลาดที่สอดคล้องกับบริบทและอัตลักษณ์ของแต่ละแห่ง โดยโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดชลบุรีตั้งอยู่ในบริบทของเมืองที่แตกต่างกัน ทำให้มีเป้าหมายและนโยบายที่หลากหลาย ผู้วิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่าการออกแบบเพื่อตอบสนองกับนโยบายที่แตกต่างกันของแต่ละโรงพยาบาลจะส่งผลให้มีลักษณะทางกายภาพต่างกันออกไป โดยเฉพาะแผนกผู้ป่วยนอก เนื่องจากเป็นแผนกแรกที่ลูกค้าเข้ามารับบริการและมีสัดส่วนการใช้บริการมากที่สุด จากการศึกษาพบว่า โรงพยาบาลที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าทั่วไป จะเน้นให้ลูกค้าได้รับความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายสูง ด้วยการจัดรูปแบบพื้นที่แบบกระจายและมีขนาดพื้นที่พักคอย 16.34-19.01 ตร.ม.ต่อห้องตรวจ ซึ่งใหญ่กว่าโรงพยาบาลที่รับผู้ใช้สิทธิ์ประกันสังคม ด้วยขนาดพื้นที่พักคอย 13.68-15.78 ตร.ม.ต่อห้องตรวจ และการออกแบบพื้นที่แบบรวมและแบบกระจาย และจะมีการแยกแผนกประกันสังคมออกจากแผนกผู้ป่วยนอกอื่น ๆ โดยรวมห้องตรวจแต่ละกลุ่มโรคในพื้นที่เดียวกัน ส่วนโรงพยาบาลที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าชาวต่างชาติ จะมีแผนกรับรองต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนขนาดพื้นที่พักคอยต่อห้องตรวจของแผนกประกันสังคม แผนกผู้ป่วยนอกทั่วไป และแผนกรับรองต่างชาติอยู่ที่ 14.47 , 15.08 และ 31.20 ตร.ม.ต่อห้อง และมีขนาดห้องตรวจของแผนกประกันสังคม แผนกผู้ป่วยนอกทั่วไป และแผนกรับรองต่างชาติอยู่ที่ 14.94 , 15.07 และ 17.60 ตร.ม.ต่อห้องตรวจตามลำดับ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่มีการแพทย์เฉพาะทาง จะทำให้พื้นที่ของแผนกเฉพาะทางนั้นมีขนาดใหญ่กว่าแผนกอื่นๆ และมีการออกแบบพื้นที่พักคอยแบบกระจาย เพื่อแยกผู้ป่วยโรคทั่วไป และโรคเฉพาะทาง นอกจากนั้นการออกแบบลักษณะกายภาพของแผนกผู้ป่วยนอกควรมีความยืดหยุ่น เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนต้องปรับตัวตามสภาพตลาด และมีการวางแผนขยายตัวในอนาคต ใน 2 ลักษณะ ได้แก่ โรงพยาบาลที่มีที่ดินมากจะออกแบบวางผัง ก่อสร้างและเปิดใช้อาคารเป็นระยะ ส่วนโรงพยาบาลที่มีที่ดินน้อย จะลงทุนก่อสร้างอาคารไว้ล่วงหน้า แล้วทยอยเปิดใช้พื้นที่เมื่อมีความต้องการของตลาด ทั้งนี้ต้องคำนึงร่วมกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบแผนกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลเอกชน ได้แก่ นโยบายของโรงพยาบาล กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัว งบประมาณและความคุ้มค่า ลักษณะเฉพาะของแผนก บุคลากร และเส้นทางสัญจร และมีข้อจำกัดเรื่อง รูปแบบที่ดิน พื้นที่ และงบประมาณที่เป็นไปตามความสามารถในการลงทุนของโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งในโรงพยาบาลกรณีศึกษาแต่ละแห่งจะมีปัจจัยและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพของแผนกผู้ป่วยนอกมีความแตกต่างกันและโรงพยาบาลต้องบริหารจัดการพื้นที่ที่มีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่า


Highrise In Tropics: Analyses And Syntheses On Core System Of Residential Highrise Buildings In Tropical Region, Khin Thu Thu Kyaw Nyunt 2020 Faculty of Architecture

Highrise In Tropics: Analyses And Syntheses On Core System Of Residential Highrise Buildings In Tropical Region, Khin Thu Thu Kyaw Nyunt

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This thesis entitled "High-rise in Tropics: Analyses and Syntheses on Core System of Residential High-rise Buildings in Tropical Region" is the study on the space composition of core and circulation systems of high-rise buildings to propose a design of residential high-rise building in the existing project called Star City Thanlyin in Yangon. This attempt is to begin to understand the differences between the positions of core and the composition of circulation systems that may effect the quality of spaces, especially in terms of natural light and ventilation. This thesis begins with a historical approach to study compositions of core system …


Public, Private & In-Between Spaces In Student Housing, Sajid I. Awal 2020 Faculty of Architecture

Public, Private & In-Between Spaces In Student Housing, Sajid I. Awal

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The right balance between public and private spaces is one of the most difficult issues in any housing design. Scholars argue that in student housing public and private spaces are equally important for promoting interaction as well as ensuring opportunities for self-development among the students. This research aims to establish definitions for public, private, and in-between spaces along with their relationships to achieve the right balance in the design of it which would eventually contribute not only to the students, but also the university and surrounding areas. Both qualitative and quantitative methods are used for this research and then the …


Biomimicry: Function And Aesthetic Of Vacation Home, Chonburi, Suparuek Techaborikiti 2020 Faculty of Architecture

Biomimicry: Function And Aesthetic Of Vacation Home, Chonburi, Suparuek Techaborikiti

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This thesis entitled 'BIOMIMICRY : FUNCTION AND AESTHETIC OF VACATION HOME IN CHONBURI' is an attempt to add an architectural element named fah lai (ฝาไหล literally translated as "flowing wall" popularly translated as "breathing wall") of Thai traditional house to the category of 'biomimicry'. This attempt is problematic because the term 'biomimicry' in architecture was invented in the 1990's much later than the Thai traditional houses. These two words, fa lai and biomimicry, belong to different cultures and different times. Moreover, the term 'biomimicry' itself has various interpretations. In this thesis, I will classify the uses of this word 'biomimicry' …


Co-Operative Housing Systems, Jim Roche 2020 Technological University Dublin

Co-Operative Housing Systems, Jim Roche

Students Learning with Communities

Exploration of alternative systems around the procurement and delivery of housing, particularly, but not exclusively, the cooperative movement. This project was undertaken by; Bébhinn Smith, Camille Escano, Charlotte O’Donnell, Jack Blake, Juliette Bosschaert,Liam Hayes, Liane Sanchez, Ronan Conlon-Dooley, Seamus Sorensen, William Walsh in collaboration with St. Michael’s Estate Regeneration Team as part of their Bachelor of Architecture. It was supervised by lecturer Jim Roche.

PLEASE NOTE THIS IS A LARGE FILE WHICH MAY BE SLOW TO DOWNLOAD


Sustainability, Urban Planning And Development: Sustainable And Self-Reliant Urban Development In Post- Pandemic Nepal, Ambika P. Adhikari, Keshav Bhattarai 2020 Arizona State University; and, Institute for Integrated Development Studies (IIDS), Nepal

Sustainability, Urban Planning And Development: Sustainable And Self-Reliant Urban Development In Post- Pandemic Nepal, Ambika P. Adhikari, Keshav Bhattarai

Himalayan Research Papers Archive

COVID-19 pandemic is affecting many aspects of the society, economy and the way people live. The pandemic is also disrupting the process of physical planning and development in the cities. It will perhaps permanently change the way planners and policy makers think about the city and plan for its development. The residents and visitors will also find the city to be different from the pre-COVID-19 era. The emerging situation would likely require new ways of moving, working and living in the city, and building the different physical components of the city.

Cities around the world are experiencing varieties of unexpected …


Urban Development In Nepal And The Impacts Of Covid-19, Ambika P. Adhikari, Keshav Bhattarai 2020 Arizona State University; and, Institute for Integrated Development Studies (IIDS), Nepal

Urban Development In Nepal And The Impacts Of Covid-19, Ambika P. Adhikari, Keshav Bhattarai

Himalayan Research Papers Archive

The Coronavirus (Covid-19) pandemic has created a public health crisis worldwide and is impacting the way we plan and design cities. While much is still being learned about Covid-19, we have seen that the virus spreads quickly and its fatality rate is also significant. The virus has already seriously impacted the global economies and most urban activities.

During pandemics, regular public interactions in the city can be the cause for spread of communicable diseases. In this context, urban planning should include approached to help mitigate the spread of virus. Designs of facilities should help the residents to physically distance themselves …


การตกแต่งแสงสำหรับงานแต่งงานช่วงเวลากลางคืนที่ชายหาด, อรพรรณ ไกรทอง 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การตกแต่งแสงสำหรับงานแต่งงานช่วงเวลากลางคืนที่ชายหาด, อรพรรณ ไกรทอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

พิธีมงคลสมรสหรืองานแต่งงานเป็นหนึ่งในประเพณีที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันคู่บ่าวสาวนิยมใช้พื้นที่แบบนอกอาคารในการจัดงานแต่งงานมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีบรรยากาศที่ดี ซึ่งนิยมใช้พื้นที่บนดานฟ้าอาคาร ในสวน และพื้นที่ริมทะเล การจัดงานแต่งงานนิยมจัดกันสองช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงพิธีการในเวลาเช้าและช่วงพิธีฉลองในเวลากลางคืน การจัดงานฉลองงานแต่งงานมีหลายปัจจัยสำคัญหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องการจัดแสง เนื่องจากในเวลากลางคืนจะไม่มีแสงสว่างที่เพียงพอ และการจัดแสงเป็นการตกแต่งสร้างให้เกิดความสวยงามและบรรยากาศที่ดีให้แก่งานอีกด้วย การศึกษาวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาเรื่องของการจัดตำแหน่งและทิศทางของแสงให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับฉากพิธีการต่าง ๆ ภายในงาน ได้แก่ ฉากถ่ายรูปหน้างาน ฉากพิธีการบนเวที และฉากพิธีโยนช่อดอกไม้ /พิธีตัดเค้ก/พิธีรินแชมเปญ ศึกษาการจัดแสงร่วมกับการใช้โทนสี ได้แก่ โทนสีร้อนและโทนสีเย็น ทำการเก็บข้อมูลโดยการสังเกตการณ์จากพื้นที่จัดงานแต่งงานจริงจำนวน 18 งานแต่งงาน สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม จำนวน 45 คน นำข้อมูลที่ได้จากการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เพื่อทำการสนทนาแบบกลุ่มเพื่อสอบถามความคิดเห็นแบบ Focus Group เพื่อให้กลุ่มตัวอย่าง เพศหญิงและเพศชาย อายุ 20-45 ปี จำนวน 100 คน ตอบแบบสอบถามความคิดเห็นจากภาพถ่ายที่ได้จากการสังเกตการณ์จริงถึงความรู้สึกที่มีต่อรูปแบบของการจัดแสงไฟในตำแหน่งต่าง ๆ ในแต่ละพิธีการร่วมกับการเลือกใช้โทนสีในการตกแต่ง จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างพบว่าตำแหน่งและทิศทางของการจัดแสงที่มีการจัดตำแหน่งและทิศทางแสงอย่างน้อย 3 ตำแหน่ง ส่งผลต่อความรู้สึกชอบมากที่สุด และมีความรู้สึกชื่นชอบต่อการเลือกใช้โทนสีเย็นเป็นหลักมากที่สุด งานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการจัดวางตำแหน่งทิศทางของแสงและการเลือกใช้โทนสีเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างอารมณ์และบรรยากาศที่ดี ดังนั้นการนำไปประยุกต์ใช้ จึงควรพิจารณาถึงการจัดวางตำแหน่งและทิศทางของแสงที่เหมาะสม รวมไปถึงการเลือกใช้โทนสีในอัตราส่วนที่เหมาะสม


Rethinking Livability In Megacities: Applications Of Jane Jacobs’ Theories On Tokyo And Los Angeles, Kirara Tsutsui 2020 Pomona College

Rethinking Livability In Megacities: Applications Of Jane Jacobs’ Theories On Tokyo And Los Angeles, Kirara Tsutsui

Pomona Senior Theses

This senior thesis in Environmental Analysis compares critical infrastructure pieces in Tokyo and Los Angeles, on three discrete levels, with a particular focus on the pedestrian experience. As global population grows, with more people projected to live in urban cities more than ever, it is critical that we re-evaluate how we think about and “do” city-planning. Following Jane Jacobs’ theoretical framework, this thesis dissects what urban greenspaces, city neighborhoods, and sidewalks look like in LA and Tokyo. It analyzes, for each proxy, how two of the world’s most “developed” and largest cities have developed into the current landscape. Historical, cultural, …


การปลูกผักไฮโดรโพรนิคโดยใช้พลังงานทดแทนเสริมบนดาดฟ้า, ประกาย คำภูศิริ 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การปลูกผักไฮโดรโพรนิคโดยใช้พลังงานทดแทนเสริมบนดาดฟ้า, ประกาย คำภูศิริ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้เพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาเทคโนโลยีและระบบการปลูกผักไร้สารพิษที่ใช้พลังงานทดแทน 2) เพื่อศึกษาการออกแบบพื้นที่สำหรับปลูกผักไร้สารพิษให้เหมาะสมกับพื้นที่ในอาคารพาณิชย์หรือทาวน์เฮาส์ และ 3) เพื่อศึกษาผลที่ได้จากการปลูกผักไร้สารพิษทั้งจากแปลงที่ใช้พลังงานทดแทนจากแผงโซล่าเซลล์ และแปลงที่ไม่ใช้พลังงานทดแทนจากแผงโซล่าเซลล์ หน่วยวิเคราะห์ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ ต้นผักกรีนโอ้ค จำนวน 60 ต้น แบ่งเป็น 2 แปลง คือ แปลงที่ใช้แผงโซล่าเซลล์ และแปลงที่ไม่ใช้แผงโซล่าเซลล์ แปลงละ 30 ต้น แปลงผักตั้งอยู่บนอาคารพาณิชย์ ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ผู้วิจัยเก็บผลการปลูกเป็นเวลา 45 วัน โดยเก็บสภาพภูมิอากาศทั่วไป ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ปริมาณแสงแดด และความเร็วลม พบว่า สภาพภูมิอากาศทั่วไปของแปลงทั้งสองแตกต่างกัน จึงนำมาเป็นตัวแปรร่วม (covariate variable) ในการวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมแบบพหุ (MANCOVA) ผลการวิจัยพบว่า แปลงผักถูกออกแบบให้สามารถตั้งอยู่บนพื้นที่จำกัดเช่นกัน คือ บ้านพักอาศัยและสถานที่ทำงานบนอาคารพาณิชย์ แปลงผักทั้งสองแปลงถูกออกแบบให้มีปัจจัยในการเจริญเติบโตของพืชครบถ้วน 4 องค์ประกอบ ได้แก่ อากาศ น้ำ ธาตุอาหาร และที่ค้ำจุนลำต้น นอกจากนี้ แปลงผักทั้งสองยังถูกออกแบบให้เป็นการปลูกพืชในน้ำแบบน้ำไหล โดยใช้ท่อพลาสติกให้เป็นรางน้ำอยู่ด้านบน และมีถังพักน้ำ ซึ่งมีปั้มน้ำอยู่ด้านในถังน้ำเพื่อให้เกิดการไหลเวียนของน้ำ แปลงทั้งสองแตกต่างกันเพียงแปลงที่ 1 ได้เชื่อมต่อแผงโซล่าเซลล์ ส่วนแปลงที่ 2 ใช้พลังงานไฟฟ้าจากอาคารตามปกติ นอกจากนี้ แปลงผักทั้งสองยังถูกออกแบบให้มีความสวยงามเพื่อเป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วย ผลที่ได้จากการปลูกผักพบว่า การใช้แผงโซล่าเซลล์ของแปลงที่ 1 มีระยะเวลาคืนทุน 9 เดือน แปลงที่ 1 ได้ผลผลิต 3.2 กิโลกรัม ใช้เวลาในการปลูกและพลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าแปลงที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และแปลงที่ 2 ได้ผลผลิต 2.7 กิโลกรัม ส่วนปริมาณปุ๋ยและปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชไม่แตกต่างกัน


การออกแบบการสื่อสารข้อมูลพลังงานในอาคารสำนักงาน: กรณีศึกษา โครงการพัฒนาและติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงาน (Cu Bems) อาคารจามจุรี 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ชนก สินสมบูรณ์ชัย 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การออกแบบการสื่อสารข้อมูลพลังงานในอาคารสำนักงาน: กรณีศึกษา โครงการพัฒนาและติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงาน (Cu Bems) อาคารจามจุรี 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ชนก สินสมบูรณ์ชัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันเพื่อสื่อสารข้อมูลพลังงานในอาคารสำนักงานระหว่างข้อมูลภาพ และข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อออกแบบและประเมินรูปแบบการสื่อสารข้อมูลพลังงานที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการติดตามผลพลังงาน และคุณภาพในการใช้งานเว็บแอปพลิเคชันของผู้ใช้อาคาร โดยงานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานภายในอาคารจามจุรี 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 40 คน ใช้วิธีดำเนินงานวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม และการใช้แบบสอบถามวัดระดับแรงจูงใจต่อการอนุรักษ์พลังงานในสำนักงาน 5 ระดับ หลังทดลองใช้งานเว็บแอปพลิเคชันทั้ง 3 รูปแบบคือ 1) รูปแบบข้อมูลเชิงสถิติซึ่งเป็นรูปแบบเดิมของโครงการ CU BEMS 2) รูปแบบภาพเสมือนสัตว์เลี้ยง 3) รูปแบบภาพเสมือนระบบนิเวศในฟาร์ม ทดลองใช้งานรูปแบบละ 1 สัปดาห์ รวม 3 สัปดาห์ เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาการออกแบบครั้งที่ 2 เพิ่มเติมเป็นรูปแบบที่ 4 รูปแบบผสมผสานระหว่างภาพเสมือนและข้อมูลเชิงสถิติ เปรียบเทียบระดับแรงจูงใจกับการออกแบบครั้งที่ 1 และทดสอบความสามารถในการใช้งาน ด้วยวิธีการทดสอบทางไกล (Remote Usability Testing) ตามหลัก ISO 9241-11 วิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับแบบสอบถามความพึงพอใจจากการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน (PSSUQ) ผลการวิจัยพบว่า การออกแบบเว็บแอปพลิเคชันเพื่อการสื่อสารข้อมูลพลังงงานในสำนักงาน ควรประกอบด้วย 6 ส่วนได้แก่ 1) ส่วนการให้ความรู้และคำแนะนำในการลดใช้พลังงาน 2) ส่วนการตรวจสอบและติดตามผลพลังงาน 3) ส่วนการเปรียบเทียบข้อมูลพลังงาน 4) ส่วนการให้รางวัล 5) ส่วนแนะนำการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน 6) ส่วนการแจ้งเตือน กาารใช้เว็บแอปพลิเคชันทั้ง 4 รูปแบบ ส่งผลต่อการเกิดแรงจูงใจในการติดตามผลพลังงานที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่ารูปแบบผสมผสานส่งผลต่อการเกิดแรงจูงใจในการอนุรักษ์พลังงานในสำนักงานมากที่สุด จากการทดสอบความสามารถในการใช้งานพบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถใช้งานเว็บแอปพลิเคชันรูปแบบผสมผสานถูกต้องสมบูรณ์ 100% มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด จึงสรุปได้ว่าการออกแบบเว็บแอปพลิเคชันเพื่อสื่อสารข้อมูลการใช้พลังงานในอาคารจามจุรี 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงควรเป็นรูปแบบผสมผสาน และเนื่องจากการดำเนินงานวิจัยครั้งนี้อยู่ระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ทำให้อาคารจามจุรี 5 ปิดทำการ จึงไม่สามารถวัดผลการใช้พลังงานจริงของอาคารได้ ท้ายที่สุดหากมีการศึกษาเพิ่มเติมงานวิจัยนี้จึงเสนอให้ขยายผลการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานของอาคารก่อน และหลังการทดลอง เพื่อศึกษาการใช้เว็บแอปพิลเคชันเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารสำนักงานให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น


การออกแบบระบบแสงที่เหมาะสมสำหรับพืชสมุนไพรในโรงเรือน, จุลพัฒน์ ไม้แก้วธนวัฒน์ 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การออกแบบระบบแสงที่เหมาะสมสำหรับพืชสมุนไพรในโรงเรือน, จุลพัฒน์ ไม้แก้วธนวัฒน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

จากการทดสอบหลอดแอลอีดี (LEDs) พบว่า ความยาวคลื่นแสงในช่วง PAR มี ปริมาณโฟตอนแสงสม่ำเสมอน้อยกว่าแสงอาทิตย์, การกระจายแสงเป็นแบบกระจุกเมื่ออยู่ชิดแต่ กระจายเมื่ออยู่ห่าง, และเป็นอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ งานวิจัยนี้ทำการศึกษาอิทธิพลของช่วง ความยาวคลื่นแสง, มุมองศาแผ่นสะท้อนแสง, และพลังงานทดแทน ต่อลักษณะการเจริญเติบโตของพืช เพื่อศึกษาแนวทางการออกแบบระบบแสงที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืช โดยใช้หลอดแอลอีดี R: G: B = 2.04 : 2.12 : 1.00 , R: G: B = 1.47: 1.83: 1.00 และ 2.53: 2.67: 1.00 เปรียบเทียบกับ แสงอาทิตย์ R: G: B = 1.11: 1.20: 1.00 ร่วมกับมุมองศาแผ่นสะท้อนแสงทามุม 60◦ และ 90◦ จากระนาบพื้น และระบบโซลาเซลล์กระแสตรงเป็นอุปกรณ์ในการศึกษา โดยศึกษา Cannabis sativa L. (กัญชา) เป็นข้อมูลตั้งต้นและเลือก Tagetes erecta L. (ดาวเรือง) เป็นพืชตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า ช่วงความยาวคลื่นแสงของแสงอาทิตย์ R: G: B = 1.11 : 1.20 : 1.00 ส่งผลทำให้ดาวเรืองมีการสร้างมวลลำต้นและมวลดอกมากที่สุด, แผ่นสะท้อนแสงทำมุม 60◦ จากระนาบพื้น ส่งผลทำให้ดาวเรืองมีการสร้างมวลเพิ่มขึ้นทุกส่วน และกัญชามีการสร้างมวลลำต้นและมวลดอกเพิ่มขึ้น, รวมถึงการใช้ระบบโซลาเซลล์กระแสตรงสำหรับปลูกพืชมีประสิทธิภาพในการสร้างมวลเฉลี่ย 83% จากไฟบ้าน โดยมีการค้นพบหลักการสำคัญเกี่ยวกับการสะท้อนแสงเข้าสู่ด้านข้างของต้นพืช เมื่อต้นพืชได้รับแสงบริเวณใต้ใบเพิ่มขึ้น จะไปกระตุ้นรงควัตถุดูดซับแสงในชั้น Spongy mesophyll บริเวณใต้ใบที่มีสัดส่วนค่าการสังเคราะห์เป็น 62% ของการได้รับแสงเหนือใบ ส่งผลทำให้ ต้นพืชมีการเจริญเติบโตเพิ่มมากขึ้น


การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของไม้สักในงานสถาปัตยกรรม, มัชฌิมาศ มรรคา 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของไม้สักในงานสถาปัตยกรรม, มัชฌิมาศ มรรคา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ประเทศไทยมีการผลิตและนำไม้สักจากป่าธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ภายในประเทศและด้านการค้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของไม้สักสามารถนำไปใช้งานได้สารพัดประโยชน์ จึงทำให้เป็นที่ต้องการของนานาประเทศ จนไม้สักกลายเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นจำนวนมหาศาล อีกทั้งไม้สักไม่ได้มีคุณค่าเฉพาะด้านความงามของงานช่างเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานของยุคสมัยที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและคุณค่าความสำคัญผ่านการใช้งานด้วย จากการค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่ายังขาดงานวิจัยที่สร้างความเข้าใจในโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานไม้สักในงานสถาปัตยกรรม การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของไม้สักในงานสถาปัตยกรรม และวิเคราะห์ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อมโยงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ของห่วงโซ่ และลำดับพัฒนาการห่วงโซ่ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีการทบทวนวรรณกรรมด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ทั้งข้อมูลทางสถิติและปริมาณการใช้งาน รวมถึงเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการในย่านการค้าไม้เพิ่มเติม นำข้อมูลที่ได้เหล่านี้มาคำนวณเพื่อประเมินการใช้งานไม้สักแต่ละยุคสมัยในประเทศไทย โดยเน้นการใช้ข้อมูลหลักฐานบันทึกทางสถิติจำนวนประชากร ปริมาณการส่งออก ในสมัยรัชกาลที่ 3 และหลังรัชกาลที่ 4 มาเป็นฐานหลักในการคำนวณปริมาณการใช้ไม้สัก จากการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของไม้สักในงานสถาปัตยกรรมเกิดจากความสัมพันธ์ของห่วงโซ่ 2 ส่วน ได้แก่ (1) ผลผลิตและการใช้งานไม้สัก ตั้งแต่สมัยสุโขทัยที่มีการส่งไม้สักไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับจีน การลงทุนทำการค้าของพ่อค้าชาวจีน และเริ่มมีการค้าอย่างจริงจังเมื่อบริษัทชาวยุโรปเข้ามาลงทุนกิจการค้าไม้ในประเทศไทย ซึ่งมีปริมาณการส่งออกขอนสักสูงสุดถึง 120,000 ท่อนในสมัยรัชกาลที่ 5 และ (2) จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีปัจจัยเชิงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของห่วงโซ่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเข้ามาทำธุรกิจการทำไม้สัมปทานของชาวต่างชาติ 2) ผลกระทบต่อปริมาณพื้นที่ป่าไม้จากการทำสัมปทาน และ 3) ปริมาณความต้องการและการใช้งานไม้สักในแต่ละช่วงเวลา จากปัจจัยทั้ง 3 ส่งผลให้เกิดจุดเปลี่ยนตามลำดับเหตุการณ์ 10 จุด ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของห่วงโซ่ จากความสัมพันธ์ทั้ง 2 ส่วนที่กล่าวมานั้น ทำให้สามารถสรุปลำดับพัฒนาการห่วงโซ่อุปทานของไม้สักในงานสถาปัตยกรรมได้ 2 ส่วน ได้แก่ (1) พัฒนาการช่วงการเปลี่ยนแปลง สามารถแบ่งช่วงการเปลี่ยนแปลงได้ 4 ยุค ได้แก่ ยุคที่ 1 การเข้ามาทำไม้สักของพ่อค้าชาวจีน ยุคที่ 2 การเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ของบริษัทต่างชาติ ยุคที่ 3 การตั้งชุมชนโรงเลื่อยหลังวัดสระเกศ และยุคที่ 4 การขยายตัวไปยังย่านบางโพ (2) พัฒนาการโครงสร้างห่วงโซ่ของต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และผู้ใช้งาน ในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน สังเกตจากการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านแหล่งที่มาของไม้สัก การขนส่ง และการใช้งานไม้ โดยการสรุปแผนผังแสดงการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของไม้สักแยกตามยุคสมัยไว้ ทำให้เกิดข้อสังเกตว่าความสมดุลของปริมาณการใช้งานไม้สักในแต่ละช่วงเวลาไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณขอนสักที่ผลิตได้ การรักษาสมดุลของไม้สักเพื่องานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม้สักจากสวนป่าปลูกยังคงไม่ใช่วัสดุหลักในการใช้งานในเร็ว ๆ …


ค่าใช้จ่ายส่วนกลางอาคารชุดพักอาศัย, สิทธิพร อิสระศักดิ์ 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

ค่าใช้จ่ายส่วนกลางอาคารชุดพักอาศัย, สิทธิพร อิสระศักดิ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

อาคารชุดพักอาศัยมีอายุการใช้งานจำกัด การใช้งานทำให้อาคารเกิดการเสื่อมสภาพ จึงเกิดความต้องการการดูแลบำรุงรักษา นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายการดูแลตลอดการใช้งานอาคาร ค่าใช้จ่ายมีการบันทึกเป็นประจำทุกปี อ้างอิงมาตรฐานระบบบัญชี บัญชีค่าใช้จ่ายจึงไม่สะท้อนค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ชัดเจน อายุอาคารที่มากขึ้นส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายมากขึ้น การเข้าใจค่าใช้จ่ายการส่วนกลางอาคารชุดที่แท้จริง จึงเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่สำคัญ เพื่อการวางแผนงานดูแลรักษาและกำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายส่วนกลาง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานอาคาร เพื่อให้เกิดความชัดเจนของโครงสร้างค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และเพื่อเข้าใจค่าใช้จ่ายความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่าย ลักษณะอาคาร และอายุอาคาร อาศัยแนวทางการวิจัยเชิงประจักษ์ โดยการเลือกอาคารชุดพักอาศัยเป็นกลุ่มประชากรตัวอย่าง รวบรวมข้อมูลทูติยภูมิจากบัญชีรายจ่ายนิติบุคคลอาคารชุด 39 กรณีศึกษา ที่มีการบันทึกต่อเนื่อง 14 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2546-2560 ทั้งหมด 296 บัญชี จาการศึกษาทำให้เข้าใจว่า รายการค่าใช้จ่ายส่วนกลางอาคารชุดพักอาศัยทั้งหมด 83 รายการ ได้แก่ หมวดสาธารณูปโภค หมวดบริหารและจัดการ หมวดบริการอาคาร และหมวดซ่อมแซมและบำรุงรักษา การวิเคราะห์สัดส่วนค่าส่วนกลางอาคารชุด พบว่า ค่าบริหารและจัดการ ร้อยละ 40 ค่าบริการอาคาร ร้อยละ 45 ค่าสาธารณูปโภค ร้อยละ 10 และค่าดูแลและบำรุงรักษา ร้อยละ 5 รูปแบบการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายจำแนกตามการบริหารทรัพยากรกายภาพ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง ระหว่าง ร้อยละ 5-10 เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ พบใน ค่าบริหารและจัดการ ค่าบริการอาคาร และการสาธารณูปโภค และการเปลี่ยนแปลงมากกว่า ร้อยละ 10 เพิ่มอย่างกระจัดกระจาย พบใน ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายส่วนอาคารชุดพักอาศัยมาก ได้แก่ ค่าบริหารอาคาร ค่าบริการทำความสะอาด ค่ารักษาความปลอดภัย และค่าไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ช่วงปีที่ 1-3 เป็นช่วงที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุด ช่วงปีที่ 4-5 ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงคงที่ เมื่ออายุอาคารมากกว่าปีที่ 6 พบว่าค่าใช้จ่ายการซ่อมแซมและบำรุงรักษายังคงเพิ่มขึ้นอย่างกระจัดกระจาย อย่างมีนัยยะสำคัญกับรอบอายุอาคาร ผลทดสอบความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างค่าใช้จ่ายส่วนกลางและลักษณะอาคาร และเวลา พบว่า ค่าใช้จ่ายส่วนกลางสัมพันธ์กับระดับราคาและอายุอาคารอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติสูงมาก ค่าใช้จ่ายส่วนกลางแปรผันตามอายุอาคารและราคาขาย แต่แปรผกผันกับขนาดอาคาร จำนวนห้องชุด จำนวนชั้น จำนวนอาคาร …


อิทธิพลของการจัดแสดงสินค้าแบบเคลื่อนไหวในตู้แสดงสินค้าของร้านขายรองเท้ากีฬาต่อการรับรู้ทางอารมณ์และการตัดสินใจเข้าร้าน, จินดารัตน์ ศรีอัมพร 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

อิทธิพลของการจัดแสดงสินค้าแบบเคลื่อนไหวในตู้แสดงสินค้าของร้านขายรองเท้ากีฬาต่อการรับรู้ทางอารมณ์และการตัดสินใจเข้าร้าน, จินดารัตน์ ศรีอัมพร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ของการจัดแสดงสินค้าแบบเคลื่อนไหวต่อการรับรู้อารมณ์และการตัดสินใจเข้าร้านรองเท้ากีฬา มีเป้าหมายหลักในการเสนอแนวทางการออกแบบในด้านการรับรู้อารมณ์ ความเหมาะสมและการตัดสินใจเข้าร้านค้า จากผู้เข้าร่วมงานวิจัยจำนวน 92 คน เพศชายและหญิงอายุระหว่าง 21-60 ปี ดำเนินการทดสอบด้วยวิธีทดลองจากภาพวิดีโอ 3 มิติผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และตอบแบบสอบถามจากปัจจัยของรูปแบบการจัดแสดง 3 รูปแบบ ได้แก่ คลื่นแนวนอน คลื่นแนวตั้ง วงกลม ร่วมกับปัจจัยความเร็ว 5 ระดับ ได้แก่ 0.00 เมตร/วินาที 0.12 เมตร/วินาที 0.24 เมตร/วินาที 0.36 เมตร/วินาที และ 0.48 เมตร/วินาที เพื่อประเมินการรับรู้อารมณ์จากคู่คำตรงข้าม 9 คู่ ผลการวิจัยพบว่าการจัดแสดงสินค้าแบบเคลื่อนไหวส่งผลต่อการรับรู้อารมณ์เชิงบวกและการตัดสินใจเข้าร้านรองเท้ากีฬามากกว่าการจัดแสดงสินค้าแบบไม่เคลื่อนไหว โดยพบว่ารูปแบบวงกลมที่ระดับความเร็ว 0.12 เมตร/วินาที ส่งผลต่อการรับรู้เชิงบวกและการตัดสินใจเข้าร้านมากที่สุด และการจัดแสดงสินค้าแบบคลื่นแนวตั้งส่งผลต่อการรับรู้เชิงบวกน้อยที่สุด นอกจากนั้นยังพบว่าในกรณีที่ไม่มีการเคลื่อนไหว รูปแบบการจัดแสดงแบบวงกลมให้ค่าเฉลี่ยทางการรับรู้อารมณ์เชิงบวกในทุกด้านของการรับรู้ทางอารมณ์ งานวิจัยนี้เสนอแนะว่าในอนาคตควรพิจารณาปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์จากกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และปัจจัยด้านรูปแบบการจัดแสดงสินค้าแบบเคลื่อนไหวที่หลากหลายขึ้น รวมถึงการทดลองในสถานที่จริง


อิทธิพลของดนตรีพื้นหลังที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก และประสิทธิภาพความจำ ความคิดสร้างสรรค์กรณีศึกษา: สภาพแวดล้อมแบบพื้นที่ทำงานร่วมกัน, ประพจน์ สมรรถไท 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

อิทธิพลของดนตรีพื้นหลังที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก และประสิทธิภาพความจำ ความคิดสร้างสรรค์กรณีศึกษา: สภาพแวดล้อมแบบพื้นที่ทำงานร่วมกัน, ประพจน์ สมรรถไท

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาอิทธิพลของดนตรีพื้นหลังต่ออารมณ์ ความรู้สึก และประสิทธิภาพความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ในสภาพแวดล้อมแบบพื้นที่ทำงานร่วมกัน เป็นงานวิจัยเชิงทดลองที่นำ S-O-R Model มาใช้ในการเปรียบเทียบพื้นที่ทำงานร่วมกันที่มีดนตรีพื้นหลัง และไม่มีดนตรีพื้นหลัง โดยแนวดนตรีที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แนวดนตรี Jazz Bossa Nova แนว Classic และแนว Rock ซึ่งเล่นในอัตราจังหวะดนตรีที่ Adagio และ Allegro เก็บรวบรวมข้อมูลการตอบสนองทางอารมณ์ ประสิทธิภาพความจำและความคิดสร้างสรรค์จากผู้เข้าร่วมการวิจัย จำนวน 224 คน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองที่ใช้ดนตรีแนว Jazz Bossa Nova แนว Classic และแนว Rock มีอิทธิพลในเชิงบวกต่อการรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ความจำและความคิดสร้างสรรค์เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีดนตรีพื้นหลัง และผลการวิจัยแสดงว่าดนตรีแนว Jazz Bossa Nova อัตราจังหวะดนตรี Allegro tempo เหมาะสมกับการส่งเสริมการรับรู้สิ่งแวดล้อมในเชิงบวกในขณะที่ดนตรีแนว Classic อัตราจังหวะดนตรี Allegro ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพความจำและความคิดสร้างสรรค์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกในเชิงบวก และงานวิจัยนี้เสนอว่า ในอนาคตควรมีการศึกษาเพิ่มเติมปัจจัยด้านเสียงดนตรีพื้นหลังแนวอื่น การมีคำร้องในเสียงดนตรี และปัจจัยความชื่นชอบส่วนบุคคล


ความเปลี่ยนแปลงของผังกายภาพโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พ.ศ. 2431-2563, วีระภัทร์ กระหม่อมทอง 2020 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

ความเปลี่ยนแปลงของผังกายภาพโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พ.ศ. 2431-2563, วีระภัทร์ กระหม่อมทอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาผังกายภาพโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ขนาดใหญ่และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เพื่อให้เข้าใจลักษณะและความเปลี่ยนแปลงของผังกายภายในโรงพยาบาลที่มีความซับซ้อน การศึกษาประกอบไปด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะผังกายภาพของโรงพยาบาลทั้งสองแห่งในช่วงเวลาต่าง ๆ การสังเคราะห์ข้อมูลโดยการจัดทำผังจำลองและข้อมูลประกอบที่มีรูปแบบเดียวกันเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีกรอบในการวิเคราะห์ 4 ประเด็น คือ (1) ที่ดิน (2) การจัดอาคาร ที่ว่าง และทางสัญจร (3) ขนาดอาคารและที่ว่าง และ (4) การแบ่งส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดิน ผลการวิจัยพบว่า ผังกายภาพโรงพยาบาลทั้งสองแห่งมีความเปลี่ยนแปลงแบ่งได้เป็น 6 ช่วง จากผังที่มีอาคารขนาดเล็กใช้การระบายอากาศแบบธรรมชาติ มาเป็นผังที่มีอาคารขนาดใหญ่พิเศษใช้การระบายอากาศด้วยเครื่องกล โดยมีข้อค้นพบว่า ปัจจัยที่ทำให้ผังกายภาพโรงพยาบาลทั้งสองแห่งที่แล้วมาเกิดความเปลี่ยนแปลงได้แก่ (1) ขนาดที่ดิน โดยเฉพาะโรงพยาบาลศิริราชที่มีการขยายขอบเขตที่ดินหลายครั้ง (2) วิธีการระบายอากาศที่ทำให้ผังกายภาพในช่วงแรกมีที่ว่างระหว่างอาคาร (3) วิธีการเข้าถึงโรงพยาบาล จากที่เคยมีทางสัญจรทางน้ำ มาเพิ่มความสำคัญของการเข้าถึงทางถนน และการสร้างสถานีรถไฟฟ้า ทำให้เกิดทางเข้าใหม่ และถนนภายใน (4) ขนาดและความสูงอาคารที่สามารถก่อสร้างได้ใหญ่และสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รวมประโยชน์ใช้สอยที่เคยกระจายอยู่ในอาคารที่เล็กกว่าได้ นอกจากนี้ยังพบว่า การจัดระเบียบการแบ่งส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินมักจะเกิดขึ้นหลังจากการจัดทำผังแม่บท และโรงพยาบาลทั้งสองแห่งต่างมีแนวความคิดทางด้านการอนุรักษ์อาคาร ทำให้ผังกายภาพยังคงมีอาคารขนาดเล็ก แม้ว่าจะสามารถสร้างอาคารได้กว่า 100,000 ตร.ม.แล้ว


Digital Commons powered by bepress