Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Medicine and Health Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Articles 1951 - 1969 of 1969

Full-Text Articles in Medicine and Health Sciences

Subjective And Objective Outcomes On Denture Adhesive Usage Among Complete Denture Wearers, Budsara Thongyoi Jan 2017

Subjective And Objective Outcomes On Denture Adhesive Usage Among Complete Denture Wearers, Budsara Thongyoi

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The propose of this clinical study was to evaluate the subjective and objective assessment factors affecting decision of complete denture wearers to use or not use denture adhesive. Sixty-six fully edentulous using upper and lower conventional complete dentures (aged 53 to 83 years) were recruited in this study. (1) Condition of denture-supporting tissue (ACP classification), (2) denture quality (CU-modified kapur criteria), (3) patients' satisfaction in prostheses and (4) oral impact on daily performances (OIDP) were evaluated as baseline (T0). All participants were assigned to use denture adhesive (Polident®, Ireland) for 1 month period and made decision by themselves to continue …


Factors Influencing Quality Of Life Among Elderly Population With Type 2 Diabetes Mellitus: A Clinic Based Cross Sectional Study In Kathmandu Valley, Kriti Adhikari Jan 2017

Factors Influencing Quality Of Life Among Elderly Population With Type 2 Diabetes Mellitus: A Clinic Based Cross Sectional Study In Kathmandu Valley, Kriti Adhikari

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Background: Diabetes is one of the four priority non communicable disease whose worldwide prevalence is at an increasing trend and is accompanied by deterioration of quality of life especially that of the elderly population. Several factors contribute to influence quality of life among the elderly; therefore, this study aims to identify the factors that influence quality of life among elderly population of Kathmandu valley, Nepal Methods: A cross sectional survey was conducted among random sample of 310 elderly diabetic patients visiting diabetic clinic of Kathmandu Diabetes and Thyroid center in Kathmandu valley, Nepal. Translated Nepali version of WHOQOL BREF was …


Factors Influencing Colostrum Consumption Of Piglets And Levels Of Immunoglobulin G And Immunoglobulin A Specifically Against Ped Virus In Colostrum Of Sows, Patthawan Juthamanee Jan 2017

Factors Influencing Colostrum Consumption Of Piglets And Levels Of Immunoglobulin G And Immunoglobulin A Specifically Against Ped Virus In Colostrum Of Sows, Patthawan Juthamanee

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The aims of the present study was to investigate factors associated with colostrum consumption of the neonatal piglets and determine the concentrations of total immunoglobulins G (IgG) and immunoglobulins A (IgA) against porcine epidemic diarrhea (PED) virus in colostrum for sow. The study consisted of two parts: Part I, the study included data of colostrum consumption from 1,140 neonatal piglets from 80 sows. Factors associated with piglet’s colostrum consumption included body weight at birth of the piglet, birth order, birth interval, heart rate, blood oxygen saturation, rectal temperature at 24 h, gestation length, total born, born alive, sow body conditions …


ต้นทุนประสิทธิผลการใช้ Xpert Mtb/ Rif สำหรับวินิจฉัยวัณโรคปอดในประเทศไทย, จิราภรณ์ คุ้มศรี Jan 2017

ต้นทุนประสิทธิผลการใช้ Xpert Mtb/ Rif สำหรับวินิจฉัยวัณโรคปอดในประเทศไทย, จิราภรณ์ คุ้มศรี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัณโรค ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตสิบอันดับแรกทั่วโลกในปี พ.ศ. 2559 ซึ่งองค์การอนามัยโลกมีเป้าหมายต้องการเร่งรัดค้นหาผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ เพื่อรักษาผู้ป่วยตั้งแต่แรกเริ่มเช่นเดียวกับนโยบายในประเทศไทย การศึกษานี้เป็นการประเมินความคุ้มค่าของเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยวัณโรคได้แก่วิธี Xpert MTB / RIF ซึ่งเป็นวิธีใหม่ที่อาจจะช่วยตอบสนองการค้นหาผู้ป่วยได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับวิธีการตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน การศึกษานี้ใช้วิธีการวิเคราะห์ต้นทุนประสิทธิผล จากการสร้างแบบจำลองแผนภูมิต้นไม้เพื่อการตัดสินใจ ซึ่งออกแบบมาเพื่อคำนวณต้นทุนที่ใช้ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคปอด ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ประเมินได้แก่การวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ระยะเวลาที่ใช้ในการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง และปีที่มีคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ใช้มุมมองทางสังคมและผู้ให้บริการ ผลการศึกษาทางคลินิกพบว่าวิธี Xpert MTB / RIF ลดระยะเวลาในการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องน้อยลงเฉลี่ย 2.23 วัน เมื่อเทียบกับวิธีการตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ และผลการศึกษาโดยใช้แบบจำลองมอนติคาร์โลวิเคราะห์ผู้สงสัยวัณโรคปอด 1,000 ราย พบว่าวิธี Xpert MTB / RIF จะมีผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องเฉลี่ย 673 ราย (95% CI 655.21-691.22) และปีที่มีคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 945.85 (95% CI 945.71-945.98) ภายใต้ต้นทุน 4,507,985.01 บาท (95% CI 4,504,783-4,511,187) ส่วนวิธีการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะมีผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องเฉลี่ย 592 ราย (95% CI 577.34-605.84) และปีที่มีคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 940.40 (95% CI 940.27-940.53) ภายใต้ต้นทุน 6,195,005.58 บาท (95% CI 6,191,388-6,198,623) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองวิธีพบว่า วิธี Xpert MTB / RIF จะมีผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องมากกว่าอีกวิธี จำนวน 81 ราย โดยมีปีที่มีคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้นรวม 5.45 ปี แต่มีต้นทุนต่ำกว่า 1,687,020.58 บาท จึงถือว่าวิธี Xpert MTB / RIF มีความคุ้มค่ามากกว่าวิธีการตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ความอ่อนไหวทั้งแบบอาศัยความน่าจะเป็นและไม่อาศัยความน่าจะเป็น พบว่าการใช้วิธี Xpert MTB / RIF ยังคงมีความคุ้มค่ามากกว่าวิธีเดิม …


ผลกระทบของภาวะพหุสัณฐาน Por*28 และ Cyp3a5 ต่อสัดส่วนของระดับความเข้มข้นต่ำสุดต่อขนาดยาทาโครลิมุสในผู้ปลูกถ่ายไตชาวไทย, อรรณพ ภู่ประดิษฐ์ Jan 2017

ผลกระทบของภาวะพหุสัณฐาน Por*28 และ Cyp3a5 ต่อสัดส่วนของระดับความเข้มข้นต่ำสุดต่อขนาดยาทาโครลิมุสในผู้ปลูกถ่ายไตชาวไทย, อรรณพ ภู่ประดิษฐ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาอิทธิพลร่วมกันของภาวะพหุสัณฐาน POR*28 และ CYP3A5 ต่อสัดส่วนของระดับความเข้มข้นต่ำสุดต่อขนาดยา tacrolimus (C0/D) ในผู้ปลูกถ่ายไตชาวไทย วิธีการดำเนินการวิจัย : รูปแบบการศึกษาวิเคราะห์แบบย้อนหลัง, ศึกษาในผู้ปลูกถ่ายไตจำนวน 230 คน โดยผู้ปลูกถ่ายไตทุกคนจะได้รับยากดภูมิคุ้มกัน 3 รายการ ประกอบด้วย tacrolimus, mycophenolate mofetil หรือ sodium, และ steroids ข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางห้องปฏิบัติการเก็บรวบรวม ณ วันที่ 3, 7, 90, และ 180 หลังการปลูกถ่ายไต ใช้สถิติ two-way ANCOVA ในการวิเคราะห์อิทธิพลร่วมกันของภาวะพหุสัณฐาน POR*28 และ CYP3A5 ต่อ C0/D ของยา tacrolimus โดยควบคุมปัจจัยอายุ, ฮีโมโกลบิน, อัลบูมิน, และขนาดยา steroids ผลการศึกษา : ไม่พบอิทธิพลร่วมกันของภาวะพหุสัณฐาน POR*28 และ CYP3A5 ต่อ Log C0/D ของยาtacrolimus (ณ วันที่ 3, 7, 90, และ 180 หลังการปลูกถ่ายไต, P>0.05) แต่อย่างไรก็ตามพบว่า ภาวะพหุสัณฐาน CYP3A5 มีอิทธิพลต่อ Log C0/D ของยา tacrolimus ทุกช่วงเวลาที่ทำการศึกษา (P<0.001) โดยผู้ที่มีภาวะพหุสัณฐาน CYP3A5 expressers จะมีค่าเฉลี่ยของ Log C0/D ของยา tacrolimus ต่ำกว่า CYP3A5 non-expressers สำหรับภาวะพหุสัณฐาน POR*28 พบว่ามีอิทธิพลต่อ Log C0/D ของยา tacrolimus เฉพาะวันที่ 7 หลังการปลูกถ่ายไต (P=0.047) และพบว่าผู้ที่มีภาวะพหุสัณฐาน POR*28 T carriers จะมีค่าเฉลี่ย Log C0/D ของยา tacrolimus ต่ำกว่า POR*28 CC อีกทั้งยังพบว่าอายุ, ฮีโมโกลบิน, และขนาดยา steroids มีอิทธิพลต่อ Log C0/D ของยา tacrolimus สรุปผลการศึกษา : ณ วันที่ 3, 7, 90, และ 180 หลังการปลูกถ่ายไต ใม่พบอิทธิพลร่วมกันระหว่างภาวะพหุสัณฐาน POR*28 และ CYP3A5 ต่อสัดส่วนของ Log C0/D ของยา tacrolimus และพบว่าภาวะพหุสัณฐาน CYP3A5 เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อเภสัชจลนศาสตร์ของยา tacrolimus มากที่สุด


การเปรียบเทียบผลของการฝึกออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยานสองชนิดต่อระดับความรู้สึกกดเจ็บขั้นต่ำ การทำงานของกล้ามเนื้อและจลนศาสตร์การเคลื่อนไหวบริเวณลำตัวส่วนบนในพนักงานออฟฟิศเพศหญิงที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด, อาทิตา ก่อการรวด Jan 2017

การเปรียบเทียบผลของการฝึกออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยานสองชนิดต่อระดับความรู้สึกกดเจ็บขั้นต่ำ การทำงานของกล้ามเนื้อและจลนศาสตร์การเคลื่อนไหวบริเวณลำตัวส่วนบนในพนักงานออฟฟิศเพศหญิงที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด, อาทิตา ก่อการรวด

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการฝึกออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยานสองชนิดเป็นเวลา 12 สัปดาห์ต่อระดับความรู้สึกกดเจ็บขั้นต่ำ การทำงานของกล้ามเนื้อ และจลนศาสตร์บริเวณลำตัวส่วนบนในพนักงานออฟฟิศเพศหญิงที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด อายุเฉลี่ย 29.5?4.09ปี สุ่มแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน ได้แก่ กลุ่มควบคุม (ยืดกล้ามเนื้อ) กลุ่มปั่นจักรยาน A (นั่งหลังตรงบนจักรยานอยู่กับที่) และกลุ่มปั่นจักรยาน B (นั่งก้มตัวไปด้านหน้าบนจักรยานไฮบริดจ์) อาสาสมัครจะได้รับการวัดระดับความรู้สึกกดเจ็บขั้นต่ำและระดับความรุนแรงของอาการปวด หลังทดสอบพิมพ์งานหรือปั่นจักรยาน รวมถึงวัดการทำงานของกล้ามเนื้อและจลนศาสตร์การเคลื่อนไหวขณะพิมพ์งานหรือปั่นจักรยาน โดยทดสอบในวันแรกหลัง 6 สัปดาห์ 12 สัปดาห์ และติดตามผล 2 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมจะได้รับโปรแกรมการยืดกล้ามเนื้อ ขณะที่กลุ่มปั่นจักรยานจะออกกำลังกายระดับปานกลางถึงหนัก 30นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ระดับความรู้สึกกดเจ็บขั้นต่ำทั้ง 3 กลุ่มเพิ่มขึ้น และระดับความรุนแรงของอาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนการทำงานของกล้ามเนื้อ พบว่าขณะพิมพ์งานและปั่นจักรยาน กล้ามเนื้อ cervical erector spinae ทำงานมากกว่ากล้ามเนื้อ upper trapezius และ lower trapezius อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และพบว่าในกลุ่มปั่นจักรยาน A มีมุมศีรษะและลำตัวมากกว่ากลุ่มปั่นจักรยาน B แต่มีมุมช่วงไหล่น้อยกว่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ซึ่งสัมพันธ์กับท่าทางในการปั่นจักรยานแต่ละชนิด จึงสรุปได้ว่า การปั่นจักรยานทั้งสองชนิดที่ระดับความหนักปานกลางถึงหนัก (50-70%HRR) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มระดับความรู้สึกกดเจ็บขั้นต่ำ และลดระดับความรุนแรงของอาการปวดได้เช่นเดียวกับการยืดกล้ามเนื้อซึ่งเป็นการรักษาพื้นฐานในพนักงานออฟฟิศเพศหญิงที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด


ผลของรูปแบบการออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นที่มีต่อสมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรม การทรงตัวและคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุ, ลดาวัลย์ ชุติมากุล Jan 2017

ผลของรูปแบบการออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นที่มีต่อสมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรม การทรงตัวและคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุ, ลดาวัลย์ ชุติมากุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของการออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นต่อสมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรม การทรงตัว คุณภาพชีวิตและภาวะกลัวการล้มในผู้สูงอายุไทย รูปแบบการออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นมีคุณภาพผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยการหาความตรงเชิงเนื้อหาจากการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ มีดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.86 ส่วนการทดสอบความเที่ยงมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.98 จากนั้นนำรูปแบบการออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นมาศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาสาสมัครผู้สูงอายุจำนวน 44 คน อายุ 60-65 ปี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้น ใช้เวลา 60 นาทีต่อวัน ความถี่ 3 วันต่อสัปดาห์ ระยะเวลา 12 สัปดาห์ ระดับความหนัก 45-55% ของอัตราการเต้นหัวใจสำรอง และกลุ่มควบคุมดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ ทดสอบสมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรม ได้แก่ การยืนนั่งบนเก้าอี้ การงอแขนยกน้ำหนัก การยืนยกเท้าขึ้นลงในเวลา 2 นาที การนั่งเก้าอี้แตะปลายเท้า การทำมือไขว้หลังแตะกัน การเดินไปกลับระยะ 8 ฟุต และดัชนีมวลกาย ประเมินความสามารถในการทรงตัวประกอบด้วย การทรงตัวขณะยืนอยู่กับที่โดยเครื่อง BioSway และการทรงตัวขณะทำกิจกรรมด้วยแบบประเมินของเบิร์ก ประเมินคุณภาพชีวิตโดยเครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย และภาวะกลัวการล้มโดยแบบสอบถาม ข้อมูลที่เก็บรวบรวมนำมาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทำการเปรียบเทียบตัวแปรก่อนและหลังการทดลองโดยใช้การทดสอบค่าทีรายคู่ และเปรียบเทียบตัวแปรหลังการศึกษาระหว่างกลุ่มโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม กำหนดระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นมีสมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรมดีขึ้นจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การยืนยกเท้าขึ้นลงในเวลา 2 นาที การนั่งเก้าอี้แตะปลายเท้า การเดินไปกลับระยะ 8 ฟุต และดัชนีมวลกาย แต่การทรงตัวขณะยืนอยู่กับที่และขณะทำกิจกรรม คุณภาพชีวิตและภาวะกลัวการล้มไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนกลุ่มควบคุมทุกตัวแปรไม่มีความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการทดลอง เมื่อพิจารณาความแตกต่างระหว่างกลุ่มหลังการทดลอง 12 สัปดาห์พบว่า สมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรมที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การยืนนั่งบนเก้าอี้ การยืนยกเท้าขึ้นลงในเวลา 2 นาที การนั่งเก้าอี้แตะปลายเท้า การเดินไปกลับระยะ 8 ฟุต และคุณภาพชีวิตด้านร่างกายของกลุ่มออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นแตกต่างกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนการทรงตัวขณะยืนอยู่กับที่และขณะทำกิจกรรม ภาวะกลัวการล้มไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปได้ว่า การออกกำลังกายด้วยท่าฝึกโขนเบื้องต้นทำให้สมรรถภาพในการปฏิบัติกิจกรรมของผู้สูงอายุดีขึ้น โดยส่งผลต่อความแข็งแรงและความอดทนกล้ามเนื้อขา ความอดทนของระบบการไหลเวียนโลหิตและการหายใจ ความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อขา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวกับความคล่องแคล่ว …


The Protective Effect Of Hydroxyxanthone On The Leakiness Of Intestinal Epithelia By The Proinflammatory Cytokine Related To Bacterial Endotoxin, Wannaporn Chayalak Jan 2017

The Protective Effect Of Hydroxyxanthone On The Leakiness Of Intestinal Epithelia By The Proinflammatory Cytokine Related To Bacterial Endotoxin, Wannaporn Chayalak

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Leaky gut characterized as decreased transepithelial electrical resistance and increased paracellular permeability to macromolecules is associated with several fatal diseases including sepsis. Pro-inflammatory cytokine IL-1β is a critical mediator of underlying mechanism through activation of myosin light chain kinase pathway. Blocking the inducible phosphorylated myosin light chain (p-MLC) indicates the successful treatment. Xanthones predominantly found in mangosteen (Garcinia mangostana) has been indicated as a potent anti-inflammatory action. Hydroxyxanthones (HDX), the major natural xanthones, have been recently synthesized in various forms. This study aimed to examine and screen the action of various forms of synthetic HDXs, in preventing the increased paracellular …


ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวต่อพฤติกรรมการเตรียมลำไส้เพื่อการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนักในผู้สูงอายุ, กรพัชชา คล้ายพิกุล Jan 2017

ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวต่อพฤติกรรมการเตรียมลำไส้เพื่อการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนักในผู้สูงอายุ, กรพัชชา คล้ายพิกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้ เป็นงานวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเตรียมลำไส้ของผู้สูงอายุที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนัก ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มารับการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของลำไส้ และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนัก มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้า จำนวน 44 คน จับคู่กลุ่มตัวอย่างด้วย เพศ อายุ และชนิดของยาระบาย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 22 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัว ของ Ryan & Sawin (2009) เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยมี 3 ชุด คือเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามวัดพฤติกรรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัว และ เครื่องมือกำกับการทดลอง ได้แก่ แบบวัดความรู้การเตรียมลำไส้ก่อนการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนัก เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน แบบวัดพฤติกรรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวต่อพฤติกรรมการเตรียมลำไส้ก่อนการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่มีค่าความเที่ยง 0.72 และแบบวัดความรู้การเตรียมลำไส้เพื่อการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนัก มีค่าความเที่ยง 0.70 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ Mann Withney U test. ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ พฤติกรรมการเตรียมลำไส้ของผู้สูงอายุที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทางทวารหนัก กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวดีกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05


ปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสิ้นยินดีของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เขตภาคใต้, วนิดา อาแว Jan 2017

ปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสิ้นยินดีของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เขตภาคใต้, วนิดา อาแว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะสิ้นยินดีของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคัดสรร ได้แก่ เพศ อายุ ความรุนแรงของอาการย้ำคิดย้ำทำ ภาวะซึมเศร้า การทำหน้าที่ทางสังคม ความวิตกกังวล และเหตุการณ์ความเครียดในชีวิต กับภาวะสิ้นยินดีของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยอายุ 20 -59 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า สามารถฟัง พูดภาษาไทยได้ ร่วมมือดี ยินยอมในการให้ข้อมูล และไม่มีอาการทางจิต รับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจิตเวชสังกัดกรมสุขภาพจิต เขตภาคใต้ โดยวิธีสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 144 ราย เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบวัดอาการย้ำคิดย้ำทำ 3) แบบวัดภาวะซึมเศร้า 4) แบบประเมินการทำหน้าที่ทางสังคม 5) แบบวัดความวิตกกังวล 6) แบบวัดเหตุการณ์เครียดในชีวิต และ 7) แบบวัด Temporal experience of pleasure scale (TEPS) เครื่องมือผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน และหาค่าความเที่ยงโดยใช้สูตรแอลฟ่าครอนบาค พบค่า ความเที่ยงของแบบสอบถาม ชุดที่ 2, 3, 4, 5 และ 7 เท่ากับ 0.98, 0.94, 0.85, 0.95 และ 0.92 ตามลำดับ ส่วนเแบบวัดเหตุการณ์เครียดในชีวิตหาค่าความเที่ยงภายนอกโดยวิธีการวัดซ้ำ พบค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติไคสแควร์และสถิติสหสัมพันธ์พอยท์ไบซีเรียล ผลวิจัย พบว่า 1. ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีภาวะสิ้นยินดี คิดเป็นร้อยละ 62.5 ( x = 3.52, S.D. = 1.03) 2. อายุ มีความสัมพันธ์กับภาวะสิ้นยินดีของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (rpb =.163) …


ผลของโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว, ศิริมา สมตน Jan 2017

ผลของโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว, ศิริมา สมตน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) ใช้รูปแบบเปรียบเทียบระหว่างสองกลุ่มที่ไม่เท่าเทียมกัน (Nonequivalent comparison-group design) วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเปรียบเทียบความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วหลังได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับผู้ป่วยที่ได้รับการพยาบาลปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วที่มารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จำนวน 40 คน กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มเข้ากลุ่มทดลองจำนวน 20 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์, 2) แบบประเมินความรุนแรงของอาการ Brief Bipolar Disorder Symptom Scale, 3) แบบประเมินความรู้เรื่องโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว และ4) แบบสัมภาษณ์การจัดการกับอาการด้วยตนเอง เครื่องมือทุกชุดผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน เครื่องมือชุดที่ 2 มีค่าความเที่ยงสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ .85 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติทดสอบที (t-test) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วหลังได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์น้อยกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการออกกำลังกายต่อความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง, อัญชลี เกาะอ้อม Jan 2017

ผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการออกกำลังกายต่อความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง, อัญชลี เกาะอ้อม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการออกกำลังกายต่อความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงทั้งเพศชายและเพศหญิงจำนวน 44 คน ที่มารับบริการตรวจสุขภาพ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 22 คน และกลุ่มทดลอง 22 คน จับคู่ให้มีความใกล้เคียงกันในอายุ เพศ และระดับความดันโลหิต กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการออกกำลังกายแบบบาสโลบ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งโปรแกรมประกอบด้วยการให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจ และการฝึกทักษะ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบบันทึกข้อมูลสุขภาพเครื่องมือกำกับการทดลอง คือแบบสอบถามพฤติกรรมการออกกำลังกาย มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายและการทดสอบ t-test ผลการวิจัย พบว่า 1.ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการออกกำลังกายแบบบาสโลบ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิต Systolic ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนค่าเฉลี่ยความดันโลหิต Diastolic ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 2.ค่าเฉลี่ยความดันโลหิต Systolic และ Diastolic ของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ในกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


การศึกษาอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลตามมาตรฐานกิจกรรมการพยาบาลในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรม โรงพยาบาลเลิดสิน, อัมฤทธิ์ตรา มะสุใส Jan 2017

การศึกษาอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลตามมาตรฐานกิจกรรมการพยาบาลในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรม โรงพยาบาลเลิดสิน, อัมฤทธิ์ตรา มะสุใส

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรม ตามมาตรฐานกิจกรรมการพยาบาล และเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลวิชาชีพในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรม ตามมาตรฐานกิจกรรมการพยาบาล กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพ 22 คน ผู้ช่วยเหลือคนไข้ 3 คน และผู้ป่วยทุกรายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมโรงพยาบาลเลิดสินในช่วงเวลาที่เก็บข้อมูล จำนวน 280 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลการจำแนกประเภทของผู้ป่วยและคู่มือการจำแนกประเภทผู้ป่วย 2) แบบบันทึกกิจกรรมการพยาบาลในผู้ป่วยแต่ละประเภท 3) แบบบันทึกคู่มือพจนานุกรมกิจกรรมการพยาบาล 4) แบบสอบถามความเป็นไปได้ต่อการจัดอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมโรงพยาบาลเลิดสิน ซึ่งผ่านการหาค่าเฉลี่ยความเที่ยงของการสังเกตของเครื่องมือชุดที่ 3 ระหว่างผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยคนที่ 1 ได้เท่ากับ 0.94 ผู้ช่วยวิจัยคนที่ 2 ได้เท่ากับ 0.86 และผู้ช่วยวิจัยคนที่ 3 ได้เท่ากับ 0.93 ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการการพยาบาลของผู้ป่วยที่มีสภาวะความเจ็บป่วยในระดับความรุนแรงที่หนักปานกลาง, หนัก และหนักมาก ใน 24 ชั่วโมง เท่ากับ 20.08 ชั่วโมง 32.76 ชั่วโมง และ 36.64 ชั่วโมง ตามลำดับ 2. จำนวนอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลที่ต้องการคือ พยาบาลวิชาชีพ 28 คน ผู้ช่วยเหลือคนไข้ 8 คน 3. ผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดอัตรากำลังของหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมโรงพยาบาลเลิดสิน มีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดอัตรากำลังอยู่ในระดับสามารถนำไปใช้ได้จริงในระดับมาก


การวิเคราะห์ต้นทุนอรรถประโยชน์การตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดแบบครอบจักรวาลและการตรวจคัดกรองเฉพาะทารกกลุ่มเสี่ยงในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, สาธนี งามสง่า Jan 2017

การวิเคราะห์ต้นทุนอรรถประโยชน์การตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดแบบครอบจักรวาลและการตรวจคัดกรองเฉพาะทารกกลุ่มเสี่ยงในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, สาธนี งามสง่า

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความเป็นมา : การได้ยินบกพร่องในทารกแรกเกิดเป็นภาวะพิการลำดับที่ 3 ของโลก การศึกษานี้ วัตถุประสงค์หลักเพื่อเปรียบเทียบต้นทุนต่อประสิทธิผลในการตรวจแต่ละประเภท เพื่อเลือกการตรวจที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด วัตถุประสงค์รองเพื่อศึกษาสัดส่วนของทารกการได้ยินบกพร่องและหาความสัมพันธ์ของปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การได้ยินในทารกผิดปกติ วิธีการศึกษา : เป็น Retroprospective Descriptive Study Design แบบ Cross-sectional Analogue ประเมินความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Evaluation) ของการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิด เก็บข้อมูลหลัก 2 ส่วน คือ ต้นทุนจากการตรวจแต่ละโปรแกรม และผลที่ได้จากการตรวจคัดกรองและการตรวจการยืนยันการวินิจฉัย ข้อมูลทั่วไปและปัจจัยเสี่ยง ผลการศึกษา : ทารกกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการตรวจการได้ยินจำนวน 1,134 คน ความชุกของภาวะสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 6.60 และทารกทั้งหมดในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชร้อยละ 4.50 ทารกที่ตรวจการได้ยินพบภาวะการได้ยินผิดปกติแบบรุนแรงและถาวรที่หูทั้งสองข้างมีจำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 0.53 ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์ ได้แก่ มารดาติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ ศีรษะและใบหน้าผิดปกติ และน้ำหนักแรกคลอดน้อย ตรวจวัดเสียงสะท้อนจากเซลล์ขนในหูชั้นใน (Target OAE) เฉพาะทารกกลุ่มเสี่ยงมีต้นทุน 53,689.83 บาทเมื่อเทียบกับ 1 จำนวนปีที่มีการปรับคุณภาพชีวิต ต้นทุนอรรถประโยชน์ น้อยกว่า 100,000 บาทต่อปีสุขภาวะที่เพิ่มขึ้น จัดเป็นเทคโนโลยีที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด สรุป : ความชุกของภาวะสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 6.60 ทารกที่ตรวจการได้ยินพบภาวะการได้ยินผิดปกติแบบรุนแรงและถาวรที่หูทั้งสองข้างคิดเป็นร้อยละ 0.53 ความเสี่ยงที่สัมพันธ์ ได้แก่ การติดเชื้อ ศีรษะและใบหน้าผิดปกติ น้ำหนักน้อย การตรวจคัดกรองที่คุ้มค่าที่สุดคือตรวจการได้ยินเฉพาะทารกกลุ่มเสี่ยงโดยการตรวจเสียงสะท้อนจากเซลล์ขนในหูชั้นใน


ดีเอ็นเอเมทิลเลชันในเม็ดเลือดขาวและเซลล์เยื่อบุข้อของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม, นิภาภรณ์ ธีระวัฒนพงศ์ Jan 2017

ดีเอ็นเอเมทิลเลชันในเม็ดเลือดขาวและเซลล์เยื่อบุข้อของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม, นิภาภรณ์ ธีระวัฒนพงศ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากการอักเสบเรื้อรังภายในข้อทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อเสื่อมสภาพ และมีการงอกของเนื้อกระดูกบริเวณขอบข้อ และการอักเสบบริเวณเยื่อบุข้อ โดยพบมากในผู้สูงอายุ กระบวนการอักเสบภายในข้อของผู้ป่วยมีผลต่อการความไม่สมดุลของจีโนม การแสดงออกของยีนภายในร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการควบคุมของ DNA methylation ผ่านกลไกของ epigenetics อย่างไรก็ตามการศึกษา LINE-1 methylation กับระดับความรุนแรงของโรคข้อเสื่อมยังมีจำนวนน้อย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจวัดระดับ LINE-1 methylation และความยาวเทโลเมียร์ (relative telomere length, RTL) ในเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม และศึกษาผลของ tumor necrosis factor-α (TNF-α) ภาวะเครียดออกซิเดชัน (H2O2) และสารต้านอนุมูลอิสระ (tocopheryl acetate, TA) ต่อระดับ LINE-1 methylation ในเซลล์เยื่อบุข้อ รวมถึงระดับการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคข้อเสื่อม โดยวิเคราะห์ระดับ LINE-1 methylation ด้วย combined bisulfite restriction analysis (COBRA) LINE-1 และวัดระดับการแสดงออกของยีนและ RTL ด้วย quantitative real-time polymerase chain reaction (qRT-PCR) ผลการศึกษาพบระดับ LINE-1 methylation ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญในเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (P=0.008) นอกจากนี้ LINE-1 methylation (r = -0.300, P <0.001) และความยาวเทโลเมียร์ (r = -0.361, P < 0.01) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับระดับความรุนแรงของโรคข้อเสื่อมโดยเกณฑ์ภาพถ่ายรังสี Kellgren-Lawrence (KL) grading แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับข้อมูลทางคลินิก แบบประเมิน VAS scores, KOOS, WOMAC และ Lesquense index ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม และระดับ LINE-1 hypomethylation ในเซลล์เม็ดเลือดขาวส่งผลต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=1.97; 95%CI 1.11-3.49; P=0.02) ส่วนเซลล์เยื่อบุข้อมีระดับ LINE-1 methylation แนวโน้มต่ำลงในระยะเวลา 1 วัน หลังจากได้รับ 10 ng/ml TNF-α, 100 µM H2O2 และ pre-treatment ด้วย 50 µM TA ในทางกลับกันเซลล์เยื่อบุข้อในกลุ่มที่ได้รับ 10 ng/ml TNF-α มีระดับการแสดงออกของยีน IL-1ß, IL-6, MMP-3 และ VEGF สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการศึกษานี้ทำให้สรุปได้ว่า LINE-1 methylation อาจมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการอักเสบและอาจนำมาใช้เป็นตัวบ่งชี้การดำเนินไปของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม


Immunohistochemical Assessment Of The Peri-Implant Soft Tissues Around Different Abutment Materials : An Experimental Study In Human, Sirikarn Thongmeearkom Jan 2017

Immunohistochemical Assessment Of The Peri-Implant Soft Tissues Around Different Abutment Materials : An Experimental Study In Human, Sirikarn Thongmeearkom

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Objective To evaluate the effect of 4 different types of abutment material, which are titanium, zirconium oxide, gold alloy, and zirconia-coping cemented on titanium-base, on the surrounding soft tissues. Material and Methods Twenty dental implants in posterior edentulous area were randomly divided into 4 groups and inserted 4 types of abutment materials; Titanium, zirconia, gold-alloy, and titanium-base, on the implant installation surgery day. Eight weeks after implant surgery, peri-implant soft tissues around experimental abutments were harvested and split according to implant side; buccal, lingual, mesial, and distal. The specimens were processed through immunohistochemical preparation and stained with CD3, CD20, CD68, …


Induction Of Interleukin-1 Receptor Antagonist (Il-1ra) By Porcine Reproductive And Respiratory Syndrome Virus (Prrsv), Teerawut Nedumpun Jan 2017

Induction Of Interleukin-1 Receptor Antagonist (Il-1ra) By Porcine Reproductive And Respiratory Syndrome Virus (Prrsv), Teerawut Nedumpun

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Porcine respiratory and reproductive syndrome virus (PRRSV) is one of the major pathogens affecting pig production industry worldwide. Impaired innate and adaptive immune responses are evidenced through the course of PRRSV infection. Several evidences indicate that PRRSV suppresses host immune responses via several immune evasion strategies. Interleukin-1 receptor antagonist (IL-1Ra) is known as an early inhibitory cytokine that suppresses innate immune functions and T lymphocyte responses. The aims of this study were to explore the induction of IL-1Ra by PRRSV and the negative immunomodulatory effects of PRRSV-induced IL-1Ra on porcine immune responses. In this study, the previous monocytes-derived dendritic cells …


Caregivers’ Malaria Preventive Practice For Under Five Children And Its Association In Ngapudaw High-Risk Township, Ayeyarwady Region-Myanmar, Ei Phyu Htwe Jan 2017

Caregivers’ Malaria Preventive Practice For Under Five Children And Its Association In Ngapudaw High-Risk Township, Ayeyarwady Region-Myanmar, Ei Phyu Htwe

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Malaria is a life-threatening disease. Among children under 5 have more chance to get infection, illness and death due to severe malaria in high transmission areas of malaria. This study aimed to describe the characteristics and malaria preventive practices among caregivers of under-five children and to find out the associations between them in high-risk areas of Ngapudaw Township, Ayeyarwady Region-Myanmar. A community based cross-sectional study was conducted among 422 caregivers of children under five in April 2018. Data was collected using interviewer-administered questionnaires and entered by double entry. Data analysis was done using excel and SPSS version 22 by Chi-square …


A Randomized Controlled Trial On The Effectiveness Of Court-Type Traditional Thai Massage Versus Topical Diclofenac To Treat Frozen Shoulder, Puangpaka Tankitjanon Jan 2017

A Randomized Controlled Trial On The Effectiveness Of Court-Type Traditional Thai Massage Versus Topical Diclofenac To Treat Frozen Shoulder, Puangpaka Tankitjanon

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study aims to evaluate the effectiveness of the court-type traditional Thai massage (CTTM) in treating patients suffering from frozen shoulder in comparison with topical diclofenac (TD). A randomized controlled trial was conducted at the Thai Traditional Medical Service Center, Sukhothai Thammatirat University, Nonthaburi province. The participants of idiopathic frozen shoulder were diagnosed by the orthopedic doctor. Sixty female patients aged were randomly assigned to receive CTTM (treatment group, n=30) and TD (control group, n=30). CTTM was performed for 12 sessions during a 1-6 week period, and followed up at week 8th, 10th. TD was administered 5 g three times …