Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Medicine and Health Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Medical Sciences

2019

Institution
Keyword
Publication
Publication Type
File Type

Articles 1381 - 1402 of 1402

Full-Text Articles in Medicine and Health Sciences

การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแบบก่อนสัมผัสเชื้อเข้าชั้นผิวหนังเทียบกับเข้ากล้ามในผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายไต, ปวัตน์ พื้นแสน Jan 2019

การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแบบก่อนสัมผัสเชื้อเข้าชั้นผิวหนังเทียบกับเข้ากล้ามในผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายไต, ปวัตน์ พื้นแสน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บทนำ การฉีดวัคซีนในผู้ปลูกถ่ายอวัยวะมักได้ผลการกระตุ้นต่ำกว่าคนทั่วไปเนื่องจากผู้ปลูกถ่ายอวัยวะได้รับยากดภูมิ สำหรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนแบบเข้าชั้นผิวหนัง 2 ตำแหน่งหรือเข้ากล้าม 1 ตำแหน่งก็ได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในคนไข้กลุ่มนี้ วิธีการ ผู้เข้าร่วมวิจัยได้แก่ผู้ปลูกถ่ายไตที่มีอายุมากกว่า 18 ปี และได้รับการปลูกถ่ายมาแล้วมากกว่า 3 เดือน ผู้เข้าร่วมวิจัยจะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าด้วยวิธีการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง 2 ตำแหน่ง และกลุ่มที่ 2 ได้รับวัคซีน ฯ ด้วยวิธีการฉีดเข้ากล้าม 1 ตำแหน่ง จากนั้นทำการวัดระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าในวันที่ 42 และเปรียบเทียบผลระหว่างทั้ง 2 กลุ่ม ผลลัพธ์ มีผู้เข้าร่วมทั้งทั้งหมด 33 ราย ระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า ณ วันที่ 42 หลังจากเริ่มฉีดวัคซีน ผู้เข้าร่วม 26 คนมีระดับภูมิคุ้มกัน ≥0.5 IU/ml คิดเป็นร้อยละ 78.8 แบ่งเป็น 12 คน หรือร้อยละ 70 ในกลุ่มที่ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง และ 14 ราย หรือร้อยละ 87.5 ในกลุ่มที่ฉีดเข้ากล้าม โดยกลุ่มที่ฉีดเข้าชั้นผิวหนังมีค่าเฉลี่ยภูมิคุ้มกันเท่ากับ 2.51 และกลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามมีค่าเฉลี่ยภูมิคุ้มกันเท่ากับ 5.24 อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทั้ง 2 อย่างนี้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สรุป ผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ผลต่ำกว่าประชากรทั่วไป โดยการฉีดด้วยวิธีเข้ากล้ามมีแนวโน้มจะได้ผลดีกว่าการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง


อัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ ระหว่างกลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลชนิดโบลัส เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาตินในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง, การศึกษาทดลองแบบไขว้กันแบบมีการสุ่ม, วินัฐ แก้วตัน Jan 2019

อัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ ระหว่างกลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลชนิดโบลัส เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาตินในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง, การศึกษาทดลองแบบไขว้กันแบบมีการสุ่ม, วินัฐ แก้วตัน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความเป็นมา: ยาเคมีบำบัดสูตรที่มีออกซาลิพลาตินเป็นส่วนประกอบ เป็นยาเคมีบำบัดสูตรหลักที่ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ผลข้างเคียงสำคัญภายหลังได้รับเคมีบำบัดสูตรดังกล่าวคือภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทฟิลต่ำ ซึ่งภาวะดังกล่าวนำไปสู่การลดปริมาณเคมีบำบัดหรือการเลื่อนรอบกรให้ยา อย่างไรก็ตามการปรับลดปริมาณยาภายหลังกิดผลข้างเคียงดังกล่าวยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน วิธีการศึกษา: การศึกษาทดลองแบบไขว้กันแบบมีการสุ่ม, รวบรวมผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรงระยะสามหรือสี่ ที่มีเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลสัมบูรณ์ต่ำกว่า 1,500 /mm3 ภายหลังได้รับยาเคมีบำบัดสูตร FOLFOX มาทำการศึกษาเปรียบเทียบการปรับสูตรเคมีบัดระหว่างกลุ่มระหว่างกลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลแบบ bolus dose เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาติน, วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาคืออัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ, วัตถุประสงค์รองคือการเปลี่ยนแปลงปริมาณเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล การเลื่อนรอบการให้เคมีบำบัด และผลข้างเคียงภายหลังให้ยาเคมีบำบัด ผลการศึกษา: ผู้ป่วย 32 รายถูกนำเข้าสู่การศึกษา ในระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 2562 ถึง 30 เม.ย. 2563, ผู้ป่วย 28 รายได้ถูกสุ่มเข้าสู่การให้เคมีบำบัดทั้งสองรูปแบบ, อัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำพบร้อยละ 10.71 เทียบกับร้อยละ17.86 ในกลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลแบบ bolus dose เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาตินตามลำดับ (P = 0.727), อัตราการเกิดเกล็ดเลือดต่ำและอัตราการเลื่อนรอบของการให้เคมีบำบัด เกิดขึ้นมากกว่าในกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาติน สรุปผล: กลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลแบบ bolus dose มีแนวโน้มในการพบอัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ รวมถึงการเกิดผลข้างเคียงภายหลังให้ยาเคมีบำบัด ในอัตราที่น้อยกว่ากลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาติน โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ


การวัดเชิงสัณฐานของปมประสาทซีลีอารี่ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ทางคลินิก, ลิตา เทสาภิรัติ Jan 2019

การวัดเชิงสัณฐานของปมประสาทซีลีอารี่ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ทางคลินิก, ลิตา เทสาภิรัติ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปมประสาท ซีลีอารี่ เป็นปมประสาทในเบ้าตาที่โดนทำลายหรือทำให้บาดเจ็บได้ง่ายจากการทำหัตถการต่างๆในเบ้าตา ปมประสาทซีลีอารี่จะอยู่ทางด้านหลังในเบ้าตาที่ค่อนมาทางผนังเบ้าตาส่วนนอกเป็นผลให้หัตถการต่างๆที่เข้าทางเบ้าตาส่วนนอกมักส่งผลให้ปมประสาทโดนทำลายหรือบาดเจ็บ ซึ่งการที่ปมประสาทนี้เกิดการบาดเจ็บจะทำให้เสียหน้าที่การทำงานที่ทำให้เกิดม่านตาขยาย หรือ ภาวะรูม่านตาค้าง (tonic pupil) การศึกษารายละเอียดของปมประสาทซีลีอารี่ใน 40 ลูกตา จากอาจารย์ใหญ่ 40 ท่าน ทำโดยใช้แว่นขยายสำหรับผ่าตัดที่มีกำลังขยาย 3.5 เท่า เพื่อศึกษาลักษณะของรากที่เข้าสู่ปมประสาทซีลีอารี่ จำนวนของเส้นประสาทชอทซีลีอารี่ (short ciliary nerves) ตำแหน่งของปมประสาทซีลีอารี่ ขนาดของปมประสาทซีลีอารี่ และระยะห่างระหว่างปมประสาทซีลีอารี่กับโครงสร้างอื่นๆในเบ้าตา ปมประสาทซีลีอารี่ถูกพบว่าอยู่ที่ยอดหลังสุดของเบ้าตา ด้านข้างทางด้านนอกต่อเส้นประสาทออพติก ด้านข้างทางด้านในต่อกล้ามเนื้อตา lateral rectus ปมประสาทซีลีอารี่มีความกว้างประมาณ 2.24 มิลลิเมตร และความยาวประมาณ 3.50 มิลลิเมตร ระยะห่างโดยเฉลี่ยระหว่างปมประสาทซีลีอารี่และส่วนท้ายสุดของลูกตามีขนาด 16.04 มิลลิเมตร ระยะห่างโดยเฉลี่ยระหว่างปมประสาทซีลีอารี่และกล้ามเนื้อตา lateral rectus มีขนาด 2.88 มิลลิเมตร ระยะห่างโดยเฉลี่ยระหว่างปมประสาทซีลีอารี่และเส้นประสาทออพติก มีขนาด 1.47 มิลลิเมตร ระยะห่างโดยเฉลี่ยระหว่างปมประสาทซีลีอารี่และจุดเกาะที่ตาขาวของกล้ามเนื้อตา lateral rectus มีขนาด 31.53 มิลลิเมตร นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างจากปมประสาทซีลีอารี่ถึงจุดที่อยู่ท้ายสุดของลูกตาเป็นแบบผกผันกัน กับ ระยะห่างจากปมประสาทซีลีอารี่ถึงกล้ามเนื้อตา lateral rectus นั่นหมายถึงยิ่งปมประสาทอยู่ห่างจากลูกตาจะยิ่งอยู่ใกล้กล้ามเนื้อ lateral rectus ส่วนจำนวนของรากประสาทมอเตอร์ (motor root) ถูกพบว่ามี 1 ราก 2 ราก และ ยังพบถึง 3 รากโดยที่ยังไม่มีรายงานมาก่อน รากประสาทรับความรู้สึกพบว่ามี 1 ราก รากประสาทซิมพาเททิก (sympathetic root) พบ 1 รากเช่นเดียวกับรากประสาทรับความรู้สึก จำนวนของเส้นประสาทชอทซีลีอารี่จะพบประมาณ 6-14 เส้น แพทย์ผู้ทำหัตถการในส่วนเบ้าตาควรตระหนักถึง ความรู้ทางด้านกายวิภาคและลักษณะต่างๆของปมประสาทซีลีอารี่เพื่อลดการเกิดผลแทรกซ้อนจากปมประสาทนี้บาดเจ็บเช่น ม่านตาขนาดผิดปกติ ในรายงานฉบับนี้ยังแสดงถึงระยะห่างระหว่างปมประสาทซีลีอารี่กับจุดเกาะของกล้ามเนื้อตา lateral rectus ที่ตาขาวซึ่งยังไม่มีรายงานมาก่อนและควรคำนึงเพื่อลดการบาดเจ็บของปมประสาทซีลีอารี่ในหัตถการฉีดยา โบทูลินัม (botulinum toxin) เข้ากล้ามเนื้อตา lateral …


การศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบการส่องกล้องลำไส้ใหญ่โดยการใช้ลิงค์คัลเลอร์อิมเมจจิง การใช้เอนโดคัฟ การใช้ลิงค์คัลเลอร์อิมเมจจิงร่วมกับการใช้เอนโดคัฟ กับการกล้องส่องชนิดปกติ ต่ออัตราการตรวจพบเนื้องอกลำไส้ใหญ่ ในผู้ที่มาคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่, กุลวดี แหวนดวงเด่น Jan 2019

การศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบการส่องกล้องลำไส้ใหญ่โดยการใช้ลิงค์คัลเลอร์อิมเมจจิง การใช้เอนโดคัฟ การใช้ลิงค์คัลเลอร์อิมเมจจิงร่วมกับการใช้เอนโดคัฟ กับการกล้องส่องชนิดปกติ ต่ออัตราการตรวจพบเนื้องอกลำไส้ใหญ่ ในผู้ที่มาคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่, กุลวดี แหวนดวงเด่น

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบอัตราการตรวจพบติ่งเนื้อ adenoma และจำนวนติ่งเนื้อ adenoma เฉลี่ยต่อการส่องกล้อง ระหว่างการใช้ Linked color imaging (LCI), Endocuff-assisted colonoscopy (EAC), การใช้ LCI ร่วมกับ EAC (LCI+EAC) กับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีปกติ (WLI) ในประชากรที่มาคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ วิธีการศึกษา: การวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มเปรียบเทียบการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ด้วย LCI, EAC, LCI+EAC กับ WLI โดยเปรียบเทียบอัตราการตรวจพบติ่งเนื้อ adenoma และจำนวนติ่งเนื้อ adenoma เฉลี่ยต่อการส่องกล้องในแต่ละวิธีกับ WLI ผลการศึกษา: อาสาสมัครเข้าร่วมวิจัย 1000 ราย ถูกคัดออกไป 15 ราย สุดท้ายเหลือผู้ที่อยู่ในงานวิจัย 985 ราย อายุเฉลี่ยของอาสาสมัครคือ 61.3 ปี และร้อยละ 65 เป็นเพศหญิงอัตราการตรวจพบติ่งเนื้อ adenoma จากการส่องกล้องด้วยการใช้ LCI+EAC, LCI, EAC และ WLI คือร้อยละ 58.0, 53.4, 52.9 และ 47.8 ตามลำดับ ซึ่งอัตราการตรวจพบติ่งเนื้อ adenoma จากการส่องกล้องด้วยการใช้ LCI+EAC สูงกว่า WLI อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.02) จำนวนติ่งเนื้อ adenoma เฉลี่ยต่อการส่องกล้องแต่ละกลุ่มคือ 1.27, 1.20, 1.17 และ 0.90 ตามลำดับ โดยจำนวนติ่งเนื้อ adenoma เฉลี่ยต่อการส่องกล้องในกลุ่มที่ใช้ LCI+EAC และกลุ่มที่ใช้ LCI สูงกว่า WLI อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.01 และ 0.04 ตามลำดับ) สรุปผล: การใช้ LCI หรือ EAC …


การศึกษาประสิทธิภาพของเข็มตัดชิ้นเนื้อขนาด 20g และขนาด 22g ผ่านกล้องคลื่นเสียงในการเก็บชิ้นเนื้อจากก้อนที่ตับ, ณัฐบดี นลินทัศไนย Jan 2019

การศึกษาประสิทธิภาพของเข็มตัดชิ้นเนื้อขนาด 20g และขนาด 22g ผ่านกล้องคลื่นเสียงในการเก็บชิ้นเนื้อจากก้อนที่ตับ, ณัฐบดี นลินทัศไนย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความเพียงพอของชิ้นเนื้อที่ได้จากการใช้เข็มขนาด 20G เปรียบเทียบกับเข็มขนาด 22G ในการเก็บชิ้นเนื้อจากก้อนที่ตับผ่านกล้องคลื่นเสียง วิธีการศึกษา: การศึกษาเชิงทดลองที่ทำการเก็บข้อมูล 2 โรงพยาบาลคือโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยและโรงพยาบาลสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อศึกษาความเพียงพอของชิ้นเนื้อที่ได้จากการใช้เข็มขนาด 20G ซึ่งเป็นเข็มชนิดใหม่เปรียบเทียบกับเข็มขนาด 22G ในการเก็บชิ้นเนื้อจากก้อนที่ตับผ่านกล้องคลื่นเสียง จำนวนตัวอย่างที่เข้าร่วม 26 ตัวอย่างต่อเข็ม ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างชิ้นเนื้อจากก้อนที่ตับที่ได้จากเข็มขนาด 20G และ 22G พบว่ามีความเพียงพอขอชิ้นเนื้อไม่แตกต่างกัน และการได้วินิจฉัยของชิ้นเนื้อจากทั้ง 2 เข็ม แตกต่างกัน มีเพียงขนาดความยาวของชิ้นเนื้อที่ได้จากเข็ม 20G นั้นมีความยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปผล: ประสิทธิภาพของเข็มเจาะตัดชิ้นเนื้อขนาด 20G และขนาด 22G ผ่านกล้องคลื่นเสียงในการเก็บชิ้นเนื้อจากก้อนที่ตับนั้นไม่แตกต่างกันในแง่ของความเพียงพอและการได้วินิจฉัยของชิ้นเนื้อ


ผลของการให้ออกซิเจนอัตราไหลสูงผ่านทางสายจมูกขณะออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลังกาย, ณัฐวรรณ สงวนวงษ์ Jan 2019

ผลของการให้ออกซิเจนอัตราไหลสูงผ่านทางสายจมูกขณะออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลังกาย, ณัฐวรรณ สงวนวงษ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มา: ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลังกาย ส่งผลให้ออกกำลังได้ลดลง กลไกการเกิดภาวะนี้ส่วนหนึ่งเกิดจาก dead space เพิ่มขึ้น การให้ออกซิเจนอัตราไหลสูงผ่านทางสายจมูกสามารถลด dead space ได้ และยังให้ออกซิเจนในความเข้มข้นคงที่ในขณะที่หายใจแรงขึ้น จึงน่าจะเพิ่มสมรรถภาพการออกกำลังกายและลดอาการเหนื่อยของผู้ป่วยได้ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของการให้ออกซิเจนอัตราไหลสูงผ่านทางสายจมูกขณะออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลังกายเปรียบเทียบกับการให้ออกซิเจนอัตราไหลต่ำผ่านทางสายจมูก และไม่ให้ออกซิเจน วิธีการศึกษา: ศึกษาโดยวิธี randomized crossover study ในอาสาสมัครโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลังกาย โดยให้อาสาสมัครออกกำลังโดยปั่นจักรยานที่ความหนักที่ร้อยละ 70 ของความหนักสูงสุดที่อาสาสมัครสามารถทำได้ โดยสุ่มลำดับประเภทออกซิเจนที่ให้ขณะออกกำลังกาย ได้แก่ออกซิเจนอัตราไหลสูง, ออกซิเจนอัตราไหลต่ำ และไม่ใช้ออกซิเจน วิเคราะห์เปรียบเทียบระยะเวลาของการปั่นจักรยาน อาการเหนื่อยประเมินจาก Borg’s dyspnea scale (Borg-D) ของทั้งสามกลุ่ม และค่าอื่นๆที่วัดขณะออกกำลัง โดยวิธี mixed effect linear regression model ผลการศึกษา: ผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งสิ้น 14 คน เป็นเพศชายทั้งหมด อายุเฉลี่ย 71.3 (SD 8.7) ปี ค่า FEV1 เฉลี่ย ร้อยละ 60.7 (SD 13.4) ระยะเวลาการออกกำลังขณะใช้ออกซิเจนอัตราไหลสูง 768.4 (SD 276.0) และอัตราไหลต่ำผ่านทางสายจมูก 737.3 (SD 280.2) วินาที เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้ออกซิเจนซึ่งออกกำลังกายได้นาน 665.6 (SD 313.4) วินาที (p=0.060 และ p=0.200) กลุ่มที่ได้รับออกซิเจนอัตราไหลสูงไม่พบว่ามีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลัง ในขณะที่กลุ่มที่ได้ออกซิเจนอัตราไหลต่ำพบผู้เข้าร่วมการศึกษามีภาวะออกซิเจนต่ำขณะออกกำลังกาย ร้อยละ 14 ใน และกลุ่มที่ไม่ได้ออกซิเจน ร้อยละ 62 นอกจากนี้พบว่ากลุ่มที่ได้ออกซิเจนอัตราไหลสูงและอัตราไหลต่ำ มีคะแนน Borg-D ที่ isotime น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับออกซิเจน 2 (SD 0.6) และ 1.7 (SD 0.6) คะแนน ตามลำดับ …


การประเมินการทำงานของหัวใจฝั่งขวาในผู้ป่วยลิ้นหัวใจไมทรัลตีบชนิดรูมาติกระหว่างก่อนและหลังการรักษา, ปรมาภรณ์ สุทธิรัตน์ Jan 2019

การประเมินการทำงานของหัวใจฝั่งขวาในผู้ป่วยลิ้นหัวใจไมทรัลตีบชนิดรูมาติกระหว่างก่อนและหลังการรักษา, ปรมาภรณ์ สุทธิรัตน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของหัวใจห้องขวาล่างในผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจไมตรัลตีบชนิดรูมาติกหลังทำการรักษาด้วยการขยายลิ้นด้วยบอลลูน วิธีการวิจัย ผู้ศึกษาได้ออกแบบงานวิจัยเป็นลักษณะการศึกษาจากเหตุไปหาผลแบบไปข้างหน้า โดยรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจไมตรัลตีบชนิดรูมาติกที่รุนแรง และกำลังวางแผนการรักษาด้วยการขยายลิ้นด้วยบอลลูน โดยเก็บรวมผู้ป่วยตั้งแต่กันยายน 2560 – มกราคม 2563 ผู้ป่วยทุกรายได้รับการตรวจด้วยอัลตราซาวด์หัวใจก่อนและหลังการขยายลิ้นด้วยบอลลูน หลังจากนั้นรวบรวมข้อมูลภาพที่เก็บทำการวิเคราะห์ภาพตามมาตรฐานด้วยโปรแกรม ISCV หลังจากนั้นมีการวิเคราะห์ภาพของหัวใจห้องล่างขวาเพิ่มเติมด้วยวิธี 2D-3D RV speckle tracking โดยโปรแกรม Tomtec หลังจากการนั้นทำการวิเคราะห์ผลเปรียบด้วยวิธีการทางสถิติ ผลการศึกษา จากการศึกษารวบรวมผู้ป่วยได้ทั้งหมด 20 ราย โดย 90% เป็นผู้ป่วยหญิง อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 58.9 ± 14.5 ปี ส่วนใหญ่มีอาการมาด้วยอาการหอบเหนื่อย โดยตรวจพบว่ามีหัวใจเต้นผิดจังหวะ(Atrial fibrillation) และภาวะหัวใจทำงานล้มเหลว(Heart failure) ได้ถึง 60% โดยพบว่าพื้นที่หน้าตัดของลิ้นเพิ่มขึ้นหลังจากการรักษาจาก 0.9 ± 0.28 ตารางเซนติเมตร ถึง 1.61 ± 0.27 ตารางเซนติเมตร โดยมีค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 0.71 (0.6 ถึง 0.82, p<0.001) ส่วนค่า Endocardial global longitudinal strain (GLS) ของหัวใจห้องขวาล่างมีการเปลี่ยนแปลงลดลงคือจาก -15.9 ± 3.6 ถึง -23.1 ± 3.4, p=<0.001 ซึ่งการที่ค่าลดลง บ่งบอกว่าการทำงานของหัวใจห้องขวาล่างทำงานดีขึ้น รวมไปถึงค่า Free wall strain และ Fractional area change ต่างมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน สรุป การศึกษานี้พบว่าการทำงานของหัวใจห้องขวาล่างในผู้ป่วยโรคหัวใจไมตรัลตีบชนิดรูมาติกที่มีความรุนแรงมีความผิดปกติ โดยเมื่อได้รับการรักษาด้วยการขยายลิ้นด้วยบอลลูน พบว่าการทำงานของหัวใจห้อง


การศึกษาประสิทธิผลของยาถ่านกัมมันต์ ในการดูดซับยาปฏิชีวนะเซฟไตรแอกโซนในหลอดทดลอง จากอุจจาระของผู้ที่ได้รับยาทางหลอดเลือด, ปัทมา ต.วรพานิช Jan 2019

การศึกษาประสิทธิผลของยาถ่านกัมมันต์ ในการดูดซับยาปฏิชีวนะเซฟไตรแอกโซนในหลอดทดลอง จากอุจจาระของผู้ที่ได้รับยาทางหลอดเลือด, ปัทมา ต.วรพานิช

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มา: ยาปฏิชีวนะซึ่งออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ไม่จำเพาะแต่แบคทีเรียก่อโรค แต่รวมถึงแบคทีเรียประจำถิ่นในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ด้วย การดูดซับยาปฏิชีวนะส่วนเกินในลำไส้จึงเป็นแนวคิดหนึ่งในการปกป้องสมดุลของจุลชีพประจำถิ่น วัตถุประสงค์: ศึกษาประสิทธิผลของยาถ่านกัมมันต์ ที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดเพื่อรักษาภาวะอาหารเป็นพิษ ในการดูดซับยาปฏิชีวนะเซฟไตรแอกโซนในหลอดทดลอง จากอุจจาระของผู้ที่ได้รับยาทางหลอดเลือด วิธีการศึกษา: เปรียบเทียบสัดส่วนค่าเฉลี่ยของระดับยาเซฟไตรแอกโซนในอุจจาระระหว่างผสมและไม่ได้ผสมยาถ่านกัมมันต์ ในหลอดทดลอง โดยวิธีการวัดระดับยา indirect competitive enzyme-linked immunoassay และมีการเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างยาถ่านกัมมันต์ 3 ยี่ห้อ และความเข้มข้นของยาถ่านกัมมันต์ที่ขนาดแตกต่างกันอีกด้วย ผลการศึกษา: ทำการศึกษาในรพ.จุฬาลงกรณ์ (ม.ค. - มี.ค. 2563) ได้ตัวอย่างอุจจาระจากผู้ป่วย 8 ราย เบื้องต้นพบว่ายี่ห้อ C มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสัดส่วน geometric mean reduction ของความเข้มข้นยาในอุจจาระเมื่อผสมยาถ่านกัมมันต์ยี่ห้อ C 30 มิลลิกรัม/กรัมอุจจาระ คือ 0.53 (95% CI 0.33 – 0.85, p-value < 0.001) กล่าวคือดูดซับยาได้ร้อยละ 47 และดูดซับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 71 และ 87 ด้วยความเข้มข้นของยาถ่านกัมมันต์ที่สูงขึ้น 150 และ 500 มิลลิกรัม/กรัมอุจจาระตามลำดับ สรุปผล: ยาถ่านกัมมันต์มีประสิทธิผลในการดูดซับยาเซฟไตรแอกโซนในอุจจาระของผู้ป่วยที่ได้รับยาทางหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งยุทธวิธีในการปกป้องสมดุลของจุลชีพประจำถิ่น


การศึกษาการกระตุ้นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอีลอยด์โดย Thrombin Generation Assay, ภาวินี น้อยนารถ Jan 2019

การศึกษาการกระตุ้นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอีลอยด์โดย Thrombin Generation Assay, ภาวินี น้อยนารถ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มาและความสำคัญ : ผู้ป่วยมะเร็งทางโลหิตวิทยาพบความผิดปกติของการกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดได้บ่อย ทำให้เกิดปัญหาเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือเลือดแข็งตัวผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการกระตุ้นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติจากเซลล์มะเร็งเอง หรือเกิดจากการรักษาโดยยาเคมีบำบัด ซึ่งจากความผิดปกติดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนต่างๆในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอีลอยด์ได้ วิธีการดำเนินงานวิจัย : ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัย AML รายใหม่ทุกรายจะได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจ thrombin generation assay และค่าปัจจัยการแข็งตัวของเลือดต่างๆ ได้แก่ PT, aPTT, vWFAg, TFAg, D-dimer และคำนวณ DIC score และจะติดตามผลต่างๆระหว่างการรักษาจนจบการรักษา โดยมีการเปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกัน Results: การศึกษานี้เริ่มทำการศึกษาผู้ป่วยตั้งแต่ มี.ค. 2562 ถึง เม.ย. 2563 พบผู้ป่วย AML 32 ราย ไม่พบความแตกต่างกันของค่า thrombin generation assay ของกลุ่มผู้ป่วยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม เช่นเดียวกับค่า fibrinogen ที่ไม่พบความแตกต่างกันในสองกลุ่ม ค่า d-dimer และ TFAg มีค่าสูงกว่าในกลุ่มผู้ป่วย AML เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยยะสำคัญ พบผู้ป่วย 9 รายจาก 32 รายได้รับการวินิจฉัย overt disseminated intravascular coagulation (DIC) จากค่า ISTH-DIC score. เมื่อติดตามผู้ป่วยหลังจากการรักษาวันที่ 7, 30, 180 ตามลำดับ พบว่าค่า d-dimer ค่อยๆ ลดต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญตามระยะเวลาของการรักษา ผู้ป่วย 13 ราย (ร้อยละ 40) มีภาวะเลือดออกผิดปกติ ณ ช่วงเวลาที่ได้รับการวินิจฉัย อย่างไรก็ตามไม่พบแตกต่างของค่า endogenous thrombin potential และ peak thrombin generation ในกลุ่มที่มีเลือดออกผิดปกติและกลุ่มที่ไม่มีเลือดออก โดยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีเลือดออกมีค่ามัธยฐานของเกล็ดเลือดที่ต่ำว่ากลุ่มที่ไม่มีเลือดออก ในขณะที่ค่า d-dimer สูงกว่าในกลุ่มที่มีเลือดออกด้วยเช่นกัน โดยบริเวณที่เกิดเลือดออกในผู้ป่วยกลุ่มนี้มากที่สุดได้แก่ ในช่องปากและเหงือก ในการศึกษานี้ไม่พบผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะลิ่มเลือดอุดตัน …


อุบัติการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระจายของมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็กไปสมองในคนไข้ที่มีการกลายพันธุ์ของอีจีเอฟอาร์, รัตนาวดี เตียวเจริญ Jan 2019

อุบัติการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระจายของมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็กไปสมองในคนไข้ที่มีการกลายพันธุ์ของอีจีเอฟอาร์, รัตนาวดี เตียวเจริญ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มา: การกระจายของมะเร็งไปสมองยังคงเป็นปัญหาสำคัญของผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็กที่มีการกลายพันธุ์ของ Epidermal Growth Factor Receptor (EGFR) วัตถุประสงค์: เพื่อหาอุบัติการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระจายของมะเร็งไปสมองในผู้ป่วยกลุ่มนี้ วิธีการศึกษา: การศึกษาแบบย้อนหลัง หาปัจจัยทางคลินิก พยาธิวิทยา และตรวจหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (E-cadherin และ vimentin) จากชิ้นเนื้อของผู้ป่วย วิเคราะห์หาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็งกระจายไปสมอง ผลการศึกษา: จากผู้ป่วย 449 ราย ตรวจพบ EGFR mutation 67.7% และตรวจพบมะเร็งกระจายไปสมอง 49% ผลจาก multivariate analysis พบว่าอายุน้อยกว่า 60 ปี และมีอวัยวะที่โรคกระจายไป ≥3 ตำแหน่งเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระจายไปสมองตั้งแต่แรก ในขณะที่อายุน้อย เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระจายไปสมองในภายหลัง vimentinย้อมติดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีมะเร็งกระจายไปสมองมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีมะเร็งกระจายไปสมอง (67.4% และ 32.6% ตามลำดับ, OR 2.88, 95% CI 1.35 – 6.16; p= 0.006) และบอกการพยากรณ์โรคที่แย่กว่าในผู้ป่วยที่มี EGFR mutation สรุปผลการศึกษา: อุบัติการณ์ของมะเร็งกระจายไปสมองในผู้ป่วยมะเร็งปอดที่มี EGFR mutation เท่ากับ 49% ผู้ป่่วยอายุน้อยและมีโรคกระจายไปหลายอวัยวะมีโอกาสเกิดมะเร็งกระจายไปสมองได้สูง vimentinสามารถเอามาใช้คาดการณ์การเกิดมะเร็งกระจายไปสมองรวมทั้งแสดงให้เห็นถึงการพยากรณ์โรคที่แย่กว่า


The Incidence Of Antibiotic-Resistant Staphylococcus Spp. Colonization And Infection In Children And Adults With Atopic Dermatitis, Matchima Laowansiri Jan 2019

The Incidence Of Antibiotic-Resistant Staphylococcus Spp. Colonization And Infection In Children And Adults With Atopic Dermatitis, Matchima Laowansiri

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Atopic dermatitis (AD) is an inflammatory skin disease characterized by chronic and recurrent eczematous rash. AD occurs in both children and adults, but children are more affected. An important aggravating factor is caused by Staphylococcus aureus (S. aureus) infection. Therefore, topical (beta-lactam, macrolides, clindamycin) and systemic (mupirocin and fusidic acid) antibiotics are essential for treatment of AD. However, frequent use of antibiotics results in an increase in the incidence of antibiotic-resistant S. aureus. Methicillin resistance S. aureus (MRSA) becomes a problem in the treatment of skin diseases. It’s found that the change from penicillin binding protein (PBP) to PBP2a with …


Dna Methylation Of The Clusterin Promoter: Associations With Alzheimer’S Disease Risk And Related Phenotypes, Madeline Peretti Jan 2019

Dna Methylation Of The Clusterin Promoter: Associations With Alzheimer’S Disease Risk And Related Phenotypes, Madeline Peretti

Theses: Doctorates and Masters

Background

In 2017 approximately 50 million people worldwide were living with dementia. With Alzheimer’s disease (AD), accounting for 50-70% of dementia cases making this debilitating disease, with no current effective prevention, treatment or cure, a critical healthcare concern. Genome wide association studies (GWAS) have identified a number of risk genes for late onset AD (LOAD); Apolipoprotein E (APOE), a gene involved in the cholesterol/lipid pathway is considered the gene with the greatest risk. The third most associated AD risk gene is Clusterin (CLU), is also involved in the cholesterol/lipid pathway. CLU has been implicated in both …


Changes In Muscle Size, Quality And Power Are Related To Physical Function In Patients With Critical Illness, Kirby Mayer Jan 2019

Changes In Muscle Size, Quality And Power Are Related To Physical Function In Patients With Critical Illness, Kirby Mayer

Theses and Dissertations--Rehabilitation Sciences

Patients admitted to intensive care unit (ICU) are known to develop significant impairments in physical function. Patients with critical illness suffer up to 30% reductions in muscle size within the first ten days of admission to the ICU. Muscle strength testing, Medical Research Council-sum score, is current gold-standard to diagnosis ICU-acquired weakness and predicts risk of mortality and long-term physical function. Muscle power different from muscle strength in that it accounts for velocity of movement, is potentially a better independent predictor of function that has not been studied in this population. In addition, we hypothesize that muscle size and quality …


The Role Of Cd8 T Cell Immunodominance And Regulatory T Cells In Neonatal Immunity To Influenza Virus, Luke Heil Jan 2019

The Role Of Cd8 T Cell Immunodominance And Regulatory T Cells In Neonatal Immunity To Influenza Virus, Luke Heil

Theses and Dissertations--Microbiology, Immunology, and Molecular Genetics

Neonates are more susceptible to influenza virus infection than adults, resulting in increased morbidity and mortality as well as delayed clearance of the virus. Efforts to improve influenza infection outcomes in neonates typically center on prevention, although current vaccines fall short of complete protection and can only be administered in humans after 6 months of life. We propose that as the neonatal immune system responds differently than the adult immune system, interventions that are efficacious or tolerable in adults cannot be guaranteed to perform the same in neonates. T cell vaccines that target conserved influenza virus epitopes have been proposed …


Successful Brace Treatment Of Pectus Carinatum In Osteogenesis Imperfecta Using The Dynamic Compression System., Beth A. Orrick, Amy L. Pierce, Charles L. Snyder, Uri S. Alon Jan 2019

Successful Brace Treatment Of Pectus Carinatum In Osteogenesis Imperfecta Using The Dynamic Compression System., Beth A. Orrick, Amy L. Pierce, Charles L. Snyder, Uri S. Alon

Manuscripts, Articles, Book Chapters and Other Papers

Osteogenesis imperfecta (OI) is a genetic disorder of collagen resulting in a "fragile" skeleton with increased fracture risk and other complications, dependent on the specific variant. Pectus deformities of the chest wall, while not common, can be associated with OI. The use of a pectus carinatum brace in a patient with OI poses unknown risks for fractures and adverse treatment outcomes. We successfully applied external compression bracing using the dynamic compression system to one such patient. This case illustrates the ability to treat an OI patient with pectus carinatum using a nonsurgical brace, without complications, resulting in an excellent cosmetic …


Leucine Supplementation In Cuprizone-Induced Oligodendrocyte Toxicity, Michael Ley Jan 2019

Leucine Supplementation In Cuprizone-Induced Oligodendrocyte Toxicity, Michael Ley

Williams Honors College, Honors Research Projects

Cuprizone is a copper chelator that induces demyelination in the central nervous system when fed to mice. This compound is thought to target Complex IV and disrupt mitochondrial metabolism leading to loss of myelin-producing oligodendrocytes. In this proposal, we further examine the chemical and toxicological properties of cuprizone. Immunofluorescence imaging and microarray data on MO3.13 cells treated with cuprizone revealed the possibility of alterations in lysosomal function, as well as mitochondrial disruption via mTOR and Electron Transport Chain (ETC) related pathways. Cell viability assays conducted suggest that addition of Branched-Chain Amino Acids, most commonly used from literature, leucine, can increase …


Kangaroo Mother Care And Traditional Care, Arianna Smola, Kirsten Lawson Jan 2019

Kangaroo Mother Care And Traditional Care, Arianna Smola, Kirsten Lawson

Williams Honors College, Honors Research Projects

Prematurity and low birth weight are leading causes of infant death. Throughout recent years care methods for this population have evolved from incubator care to Kangaroo Mother Care (KMC). The purpose of this systematic review was to answer the following PICO question: in the case of preterm and low birth weight (LBW) infants, how does the technique of Kangaroo Mother Care (KMC) compare to traditional incubator use, regarding long and short-term outcomes of preterm and LBW infant recovery. Methods of this study included the selection of twenty peer-reviewed articles that studied the effect of incubators and KMC on premature and …


Chronic Low Intensity Continuous And Interval Training Prevent Heart Failure-Related Coronary Artery Stiffness, An Ouyang Jan 2019

Chronic Low Intensity Continuous And Interval Training Prevent Heart Failure-Related Coronary Artery Stiffness, An Ouyang

Theses and Dissertations--Kinesiology and Health Promotion

Heart failure (HF) induced by aortic pressure over-load is associated with increased coronary artery stiffness. Perivascular adipose tissue (PVAT) and advanced glycation end products (AGE) both promote arterial stiffness. However, the mechanisms by which coronary PVAT promotes arterial stiffness and the efficacy of exercise to prevent coronary stiffness are unknown. The present study hypothesized both chronic continuous and interval exercise training would prevent coronary artery stiffness associated with inhibition of PVAT secreted AGE. Yucatan mininature swine were divided into four groups: control-sedentary (CON), aortic-banded sedentary heart failure (HF), aortic-banded HF continuous exercise trained (HF+CONT), and aortic-banded HF interval exercise trained …


When Brain Stimulation Backfires, Sarah Beth Bell Jan 2019

When Brain Stimulation Backfires, Sarah Beth Bell

Theses and Dissertations--Psychology

tDCS brain stimulation does not always work in the intended direction. It has been found to sometimes worsen behavior rather than improve it. A preliminary study shows that people high on sensation-seeking and lack of premeditation were prone to reverse effects of tDCS on performance on a Stop Signal Task. Both of these constructs are related to dopamine levels. Study 2 seeks to intentionally cause a reverse effect of tDCS by increasing participants’ dopamine levels via caffeine. There was not a significant interaction between tDCS and caffeine on errors on the Stop Signal Task in this study. However, other factors …


The Copy Number Variation Landscape Of Congenital Anomalies Of The Kidney And Urinary Tract., Miguel Verbitsky, Rik Westland, Alejandra Perez, Krzysztof Kiryluk, Qingxue Liu, Priya Krithivasan, Adele Mitrotti, David A. Fasel, Ekaterina Batourina, Matthew G. Sampson, Monica Bodria, Max Werth, Charlly Kao, Jeremiah Martino, Valentina P. Capone, Asaf Vivante, Shirlee Shril, Byum Hee Kil, Maddalena Marasà, Jun Y. Zhang, Young-Ji Na, Tze Y. Lim, Dina Ahram, Patricia L. Weng, Erin L. Heinzen, Alba Carrea, Giorgio Piaggio, Loreto Gesualdo, Valeria Manca, Giuseppe Masnata, Maddalena Gigante, Daniele Cusi, Claudia Izzi, Francesco Scolari, Joanna A E Van Wijk, Marijan Saraga, Domenico Santoro, Giovanni Conti, Pasquale Zamboli, Hope White, Dorota Drozdz, Katarzyna Zachwieja, Monika Miklaszewska, Marcin Tkaczyk, Daria Tomczyk, Anna Krakowska, Przemyslaw Sikora, Tomasz Jarmoliński, Maria K. Borszewska-Kornacka, Robert Pawluch, Maria Szczepanska, Piotr Adamczyk, Malgorzata Mizerska-Wasiak, Grazyna Krzemien, Agnieszka Szmigielska, Marcin Zaniew, Mark G. Dobson, John M. Darlow, Prem Puri, David E. Barton, Susan L. Furth, Bradley A. Warady, Zoran Gucev, Vladimir J. Lozanovski, Velibor Tasic, Isabella Pisani, Landino Allegri, Lida M. Rodas, Josep M. Campistol, Cécile Jeanpierre, Shumyle Alam, Pasquale Casale, Craig S. Wong, Fangming Lin, Débora M. Miranda, Eduardo A. Oliveira, Ana Cristina Simões-E-Silva, Jonathan M. Barasch, Brynn Levy, Nan Wu, Friedhelm Hildebrandt, Gian Marco Ghiggeri, Anna Latos-Bielenska, Anna Materna-Kiryluk, Feng Zhang, Hakon Hakonarson, Virginia E. Papaioannou, Cathy L. Mendelsohn, Ali G. Gharavi, Simone Sanna-Cherchi Jan 2019

The Copy Number Variation Landscape Of Congenital Anomalies Of The Kidney And Urinary Tract., Miguel Verbitsky, Rik Westland, Alejandra Perez, Krzysztof Kiryluk, Qingxue Liu, Priya Krithivasan, Adele Mitrotti, David A. Fasel, Ekaterina Batourina, Matthew G. Sampson, Monica Bodria, Max Werth, Charlly Kao, Jeremiah Martino, Valentina P. Capone, Asaf Vivante, Shirlee Shril, Byum Hee Kil, Maddalena Marasà, Jun Y. Zhang, Young-Ji Na, Tze Y. Lim, Dina Ahram, Patricia L. Weng, Erin L. Heinzen, Alba Carrea, Giorgio Piaggio, Loreto Gesualdo, Valeria Manca, Giuseppe Masnata, Maddalena Gigante, Daniele Cusi, Claudia Izzi, Francesco Scolari, Joanna A E Van Wijk, Marijan Saraga, Domenico Santoro, Giovanni Conti, Pasquale Zamboli, Hope White, Dorota Drozdz, Katarzyna Zachwieja, Monika Miklaszewska, Marcin Tkaczyk, Daria Tomczyk, Anna Krakowska, Przemyslaw Sikora, Tomasz Jarmoliński, Maria K. Borszewska-Kornacka, Robert Pawluch, Maria Szczepanska, Piotr Adamczyk, Malgorzata Mizerska-Wasiak, Grazyna Krzemien, Agnieszka Szmigielska, Marcin Zaniew, Mark G. Dobson, John M. Darlow, Prem Puri, David E. Barton, Susan L. Furth, Bradley A. Warady, Zoran Gucev, Vladimir J. Lozanovski, Velibor Tasic, Isabella Pisani, Landino Allegri, Lida M. Rodas, Josep M. Campistol, Cécile Jeanpierre, Shumyle Alam, Pasquale Casale, Craig S. Wong, Fangming Lin, Débora M. Miranda, Eduardo A. Oliveira, Ana Cristina Simões-E-Silva, Jonathan M. Barasch, Brynn Levy, Nan Wu, Friedhelm Hildebrandt, Gian Marco Ghiggeri, Anna Latos-Bielenska, Anna Materna-Kiryluk, Feng Zhang, Hakon Hakonarson, Virginia E. Papaioannou, Cathy L. Mendelsohn, Ali G. Gharavi, Simone Sanna-Cherchi

Manuscripts, Articles, Book Chapters and Other Papers

Congenital anomalies of the kidney and urinary tract (CAKUT) are a major cause of pediatric kidney failure. We performed a genome-wide analysis of copy number variants (CNVs) in 2,824 cases and 21,498 controls. Affected individuals carried a significant burden of rare exonic (that is, affecting coding regions) CNVs and were enriched for known genomic disorders (GD). Kidney anomaly (KA) cases were most enriched for exonic CNVs, encompassing GD-CNVs and novel deletions; obstructive uropathy (OU) had a lower CNV burden and an intermediate prevalence of GD-CNVs; and vesicoureteral reflux (VUR) had the fewest GD-CNVs but was enriched for novel exonic CNVs, …


Chemical Composition And Toxicity Of Emissions From Burning Five Vegetation Types Of Western Australia Under Experimental Combustion Conditions, T T Trang Dong Jan 2019

Chemical Composition And Toxicity Of Emissions From Burning Five Vegetation Types Of Western Australia Under Experimental Combustion Conditions, T T Trang Dong

Theses: Doctorates and Masters

This study investigated the emission factors (EFs) for inorganic gases (CO2, CO, SO2, NO and NO2), carbonyls (formaldehyde, acetaldehyde, acetone, propionaldehyde, butyraldehyde and benzaldehyde), volatile organic compounds (VOCs) and particulate matter (PM2.5 and PM10) from laboratory-based fires of vegetation from five typical vegetation types of Western Australia. Species burnt were three grasslands (Spinifex represented by Triodia basedowii, Kimberley grass represented by Sehima nervosum and Heteropogon contortus, and an invasive grass represented by Ehrharta calycina (Veldt grass)), Banksia woodland and Jarrah forest under different combustion conditions. Chemical composition (water-soluble metals and polycyclic aromatic hydrocarbons – PAHs) and in vitro toxicity …


Factors Affecting The Survival And Implantation Of Human Blastocysts Following Vitrification, Hamish Barblett Jan 2019

Factors Affecting The Survival And Implantation Of Human Blastocysts Following Vitrification, Hamish Barblett

Theses: Doctorates and Masters

The increased cell numbers, presence of the blastocoel and rapid cell re-organisation have required the development of specific survival criteria post warm to effectively select the most viable blastocyst for transfer. Pre-freeze blastocyst expansion and post warm re-expansion have been shown to contribute significantly to the chances of an implantation and subsequent live birth. The aim of this study was to explore factors that influence the outcome of blastocyst transfers after vitrification and warming, and hopefully improve outcomes by further applying improvements in future cycles. Variables from 8 years of vitrified/warmed blastocysts were retrospectively compiled and analysed to determine the …