Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Operations Research, Systems Engineering and Industrial Engineering Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Operational Research

2020

Institution
Keyword
Publication
Publication Type

Articles 61 - 90 of 104

Full-Text Articles in Operations Research, Systems Engineering and Industrial Engineering

Employee Engagement And Job Satisfaction’S Impact On Productivity In The Distribution Industry, Jessica Copeland Jan 2020

Employee Engagement And Job Satisfaction’S Impact On Productivity In The Distribution Industry, Jessica Copeland

Walden Dissertations and Doctoral Studies

Productivity deficiencies in distribution services are detrimental to profitability, annually causing billions of dollars in reporting losses industry-wide. Understanding employees’ motivating factors in meeting metric-based expectations is essential to enhancing overall performance. Grounded in the motivation-hygiene theory, the purpose of this correlational study was to examine the relationships among employee engagement, job satisfaction, and productivity within the distribution industry. Electronic survey data were analyzed for 47 participants who completed the Mensah Employee Engagement Survey, Mensah Job Satisfaction Survey, and Utrecht Work Employee Engagement Survey. The results of the multiple linear regression were significant, F(2, 44) = 36.84, p = .001, …


Transit Agencies Performance Assessment And Implications, Parisa Hajibabaee Jan 2020

Transit Agencies Performance Assessment And Implications, Parisa Hajibabaee

Graduate Theses, Dissertations, and Problem Reports

Although most transit systems operate in small urban and rural areas in the United States, these systems have rarely received the same attention as their urban counterparts, both in terms of ensuring the efficiency and effectiveness of their operations and understanding the factors that affect their performance. This thesis's main goals are to assess the performance of rural and small urban public transit agencies and help them evaluate adopting a ridehailing program, thereby improving their performance. We applied operations research and decision-making tools to two public transit projects in small urban and rural areas. The first project focuses on three …


Metaheuristics For The Generalized Quadratic Assignment Problem, Roseline Mostafa Jan 2020

Metaheuristics For The Generalized Quadratic Assignment Problem, Roseline Mostafa

Graduate Theses, Dissertations, and Problem Reports

The generalized quadratic assignment problem (GQAP) is the task of assigning a set of facilities to a set of locations such that the sum of the assignment and transportation costs is minimized. The facilities may have different space requirements, and the locations may have varying space capacities. Also, multiple facilities may be assigned to each location such that space capacity is not exceeded. In this research, an application of the GQAP is presented for assigning a set of machines to a set of locations on the plant floor. Two meta-heuristics are proposed for solving the GQAP: tabu search (TS) and …


การประเมินผู้จัดหาโดยกรอบแนวคิดฟัซซี่ Topsis ในสามมิติ, นิธิมา บุญส่ง Jan 2020

การประเมินผู้จัดหาโดยกรอบแนวคิดฟัซซี่ Topsis ในสามมิติ, นิธิมา บุญส่ง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้นำเสนอแนวคิดฟัซซี่ TOPSIS เพื่อประเมิน และจัดกลุ่มผู้จัดหาตามประสิทธิภาพการดำเนินงาน ผ่านเกณฑ์การประเมินใน 3 มิติ ได้แก่ ด้านต้นทุน คุณภาพ และเวลาที่ใช้ในการผลิต หรือการให้บริการ โดยงานวิจัยดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อที่สำคัญในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่จะยังผลให้เกิดความสำเร็จต่อองค์กรในระยะยาว ในการดำเนินงานวิจัย ได้ประยุกต์ใช้แนวคิดฟัซซี่ TOPSIS ในการประเมินประสิทธิภาพของผู้จัดหาในแต่ละด้านแยกกัน โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 10 ปี จำนวน 5 คน ทำการคัดเลือกเกณฑ์ประเมินจากเริ่มต้น 48 เกณฑ์ พบว่ามีเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 24 เกณฑ์ จำนวน 5 13 และ 6 เกณฑ์ ในด้านต้นทุน ด้านคุณภาพ และด้านเวลา ตามลำดับ พบว่า วิธีการประเมินดังกล่าวสามารถจัดกลุ่มผู้จัดหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และง่ายต่อการวางแผนกลยุทธ์เพื่อพัฒนาผู้จัดหาของบริษัท เนื่องจากผลการประเมิน สามารถระบุได้ว่า ผู้จัดหาแต่ละรายมีผลการดำเนินงานต่างจากรายอื่นๆ ในแต่ละมิติมากน้อยเพียงใด สำหรับผลการประเมินผู้จัดหาทั้งหมด 33 ราย ของบริษัทกรณีศึกษา พบว่า ผู้จัดหาทั้งหมดมีประสิทธิภาพการดำเนินงานในด้านคุณภาพที่ดี หากแต่มีความแตกต่างกันไปในแง่ของผลการดำเนินงานด้านต้นทุน และการบริหารจัดการเวลา โดยมีผู้จัดหาจำนวน 6 รายที่จำเป็นต้องปรับปรุงการดำเนินงานด้านต้นทุน หรือด้านเวลาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในขณะที่มีผู้จัดหาเพียงรายเดียวที่จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงการดำเนินงานทั้งในด้านของต้นทุน และด้านเวลา ซึ่งผลดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 คน เนื่องจากบริษัทมีระบบการตรวจสอบ และการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด หากแต่ยังมีข้อบกพร่องในแง่การควบคุมต้นทุน และเวลาการให้บริการของผู้จัดหา


กระบวนการเลือกเครื่องจักรสำหรับกระบวนการออกแบบระบบการผลิตแบบช่วงตอน, พิณลดา บัวทอง Jan 2020

กระบวนการเลือกเครื่องจักรสำหรับกระบวนการออกแบบระบบการผลิตแบบช่วงตอน, พิณลดา บัวทอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวางแผนกำลังการผลิตเป็นการวางแผนระยะยาวเพื่อให้ได้กำลังการผลิตตามต้องการ โดยเกี่ยวข้องกับการเลือกเครื่องจักรและทรัพยากรที่จำเป็นในการผลิตเป็นหลักสำหรับระบบการผลิตแบบช่วงตอน ซึ่งเป็นระบบการผลิตที่สามารถรองรับผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่หลากหลายได้ ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตสามารถเลือกใช้เครื่องจักรในการผลิตได้หลากหลาย ดังนั้นการเลือกเครื่องจักรจึงเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาความรู้และความสามารถจากผู้เชี่ยวชาญ ใช้ระยะเวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งยังเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนในด้านปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรและทรัพยากรการผลิตที่เลือกมาใช้ในกระบวนการผลิตจึงควรมีความเหมาะสมและยืดหยุ่น ผู้วิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการเลือกโดยพิจารณาวัตถุประสงค์ด้านค่าใช้จ่ายและความยืดหยุ่น โดยค่าใช้จ่ายพิจารณาจาก ราคาเครื่องจักร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผลิต และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ส่วนความยืดหยุ่นพิจารณาจากความสามารถในการปรับกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของปริมาณความต้องการ โดยกระบวนการเลือกเครื่องจักรประกอบด้วยสามส่วน เริ่มจากกระบวนการแปลงข้อมูล จากนั้นนำข้อมูลที่ผ่านการแปลงมาใช้ในกระบวนการหาผลลัพธ์เริ่มต้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด จากนั้นเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงผลลัพธ์ โดยการพิจารณาแบบถ่วงน้ำหนักทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและความยืดหยุ่น โดยกระบวนการได้ถูกทดสอบด้วยโจทย์ตัวอย่าง และทำการเปรียบเทียบค่าวัตถุประสงค์ที่สูงที่สุดระหว่างวิธีทางฮิวริสติกสำหรับกระบวนการเลือกเครื่องจักรที่พัฒนาและวิธีการหาผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด ค่าวัตถุประสงค์ที่ได้จากวิธีการทั้งสองมีค่าเท่ากัน แสดงว่ากระบวนการเลือกเครื่องจักรที่พัฒนาสามารถหาผลลัพธ์ได้ถูกต้องและใช้เวลาในการหาผลลัพธ์เพียง 2.75 นาที และช่วยให้ผู้ที่ต้องการเลือกเครื่องจักรตัดสินใจและนำไปประยุกต์ใช้กับระบบการผลิตได้


การพยากรณ์การบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปกลุ่มหลักของประเทศไทยด้วยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง, พิศาล สามัง Jan 2020

การพยากรณ์การบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปกลุ่มหลักของประเทศไทยด้วยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง, พิศาล สามัง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากการบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปเป็นหลักในภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน การพยากรณ์การบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใช้ตัดสินใจการวางแผนบริหารจัดการน้ำมันสำเร็จรูปให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต งานวิจัยนี้นำเสนอและเปรียบเทียบตัวแบบการพยากรณ์เพื่อใช้สำหรับการพยากรณ์ปริมาณการบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปกลุ่มหลักของประเทศไทย ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งเป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่มีปริมาณการบริโภคมากที่สุด 3 อันดับแรก วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือเพื่อศึกษาวิธีการพยากรณ์และเลือกตัวแบบที่เหมาะสมสำหรับการพยากรณ์ปริมาณการบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปกลุ่มหลักของประเทศไทยโดยการเปรียบเทียบผลการพยากรณ์ของตัวแบบอนุกรมเวลาเชิงสถิติ ตัวแบบการพยากรณ์เชิงสาเหตุ ตัวแบบการเรียนรู้ของเครื่อง และตัวแบบผสม ความแม่นยำของการพยากรณ์จะถูกเปรียบเทียบโดยใช้ค่าเฉลี่ยของร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (MAPE) ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้เป็นข้อมูลรายไตรมาสในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2536 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ตัวแบบที่ศึกษาในงานวิจัยนี้ได้แก่ Holt-Winters, SARIMA, SARIMAX, Multiple Linear Regression (MLR), RANSAC Regression, K-nearest Neighbor Algorithm (KNN), Support Vector Regression (SVR), Adaboost (ADA), Artificial Neural Network (ANN) และตัวแบบผสม ผลการศึกษาพบว่าตัวแบบผสม SARIMAX-ANN-SVR-RANSAC-REG ตัวแบบผสม SARIMAX-ANN-RANSAC-REG และตัวแบบผสม SARIMAX-SVR มีความแม่นยำสูงและเหมาะสมที่สุดในการพยากรณ์ปริมาณการบริโภคน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และน้ำมันเครื่องบิน ตามลำดับ และมีค่า MAPE เท่ากับ 2.2785% 1.9966% และ 3.5055% ตามลำดับ


Uas For Public Safety Operations: A Comparison Of Uas Point Clouds To Terrestrial Lidar Point Cloud Data Using A Faro Scanner, Joseph S. Cerreta, Scott S. Burgess, Jeremy Coleman Jan 2020

Uas For Public Safety Operations: A Comparison Of Uas Point Clouds To Terrestrial Lidar Point Cloud Data Using A Faro Scanner, Joseph S. Cerreta, Scott S. Burgess, Jeremy Coleman

International Journal of Aviation, Aeronautics, and Aerospace

Unmanned Aircraft Systems (UAS) can be useful tools for public safety agencies during crime or vehicle accident scene investigations if it can provide value to the resource-constrained agency. The speed of data collection, while minimizing first responder risk, while sustaining an acceptable level of accuracy and precision compared to other tools is where the agency may find value. During a recent homicide investigation in Florida, a UAS provided saved 81% in law enforcement labor hours with an acceptable level of accuracy compared to traditional methods. The purpose of this research was to compare UAS to determine if there were differences …


Multiple Criteria Decision-Making Approach To Support Timber Transportation Planning – Case Study In Brazil, Marinna Lopes Ferreira Gomes Jan 2020

Multiple Criteria Decision-Making Approach To Support Timber Transportation Planning – Case Study In Brazil, Marinna Lopes Ferreira Gomes

Cal Poly Humboldt theses and projects

Timber transportation is one of the costliest activities for a forest company in Brazil and in many other countries, and it is a determining factor for the success of the forest enterprise. Thus, decision support tools are commonly used as methods to reduce these costs. The purpose of this study was to develop and analyze mathematical models to define the weekly timber transport schedule based on the monthly demands of the customers. The goal is to minimize the operational costs of forest transportation related to distances, timber freshness and road qualities. The decision process was made in two steps; the …


Optimization Model For Project Manager Assignments, Neeti Verma, Poonam Ganoskar, Pallavi Gusain, Thanvi Vemulapally, Sai Kalyan, Bala Krishnamoorthy, Sai Kalyan Krishna Gali Jan 2020

Optimization Model For Project Manager Assignments, Neeti Verma, Poonam Ganoskar, Pallavi Gusain, Thanvi Vemulapally, Sai Kalyan, Bala Krishnamoorthy, Sai Kalyan Krishna Gali

Engineering and Technology Management Student Projects

The main objective of every project in an organization is to maximize its profit. This maximization of profit can be achieved through proper allocation of project managers to projects in an organization. But assigning a project to a project manager is still considered a difficult issue and is not yet fully addressed in the literature. However, in high-tech industries various project assignment methodologies are used to assign project managers to multiple projects and reassignment during new-product development projects. The aim of the optimization model created in this project is to develop a framework for project assignments to project managers including …


การพยากรณ์ความตรงในกระบวนการกลึงซีเอ็นซีสำหรับชิ้นงานเหล็กและอะลูมิเนียมโดยการประยุกต์ใช้โครงข่ายประสาทเทียม, วริศรา หลายวัฒนไพศาล Jan 2020

การพยากรณ์ความตรงในกระบวนการกลึงซีเอ็นซีสำหรับชิ้นงานเหล็กและอะลูมิเนียมโดยการประยุกต์ใช้โครงข่ายประสาทเทียม, วริศรา หลายวัฒนไพศาล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ในปัจจุบันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและรองรับการผลิตขั้นสูง เนื่องจากสถานการณ์การแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ดังนั้นเครื่องจักรกลอัจฉริยะและระบบการผลิตแบบอัจฉริยะจึงถูกคาดหวังว่าจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตอันใกล้ เครื่องกลึงซีเอ็นซีถูกใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการผลิตขึ้นสูงที่หลากหลาย ความตรงเป็นพารามิเตอร์ที่มีความสำคัญในกระบวนการกลึง เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อการประกอบชิ้นงาน อย่างไรก็ตามการควบคุมและการตรวจติดตามความตรงขณะกลึงชิ้นงานทำได้ยาก นอกจากนี้เครื่องกลึงซีเอ็นซียังไม่สามารถปรับตั้งค่าได้แบบทันทีทันใดขณะกลึงชิ้นงานโดยไม่หยุดเครื่องจักร ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีจุดประสงค์ในการพัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์ความตรงในกระบวนการกลึงซีเอ็นซีสำหรับชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอนและอะลูมิเนียมเพื่อที่จะปรับปรุงกระบวนการควบคุมและตรวจติดตามความตรงโดยการประยุกต์ใช้โครงข่ายประสาทเทียมสองชั้นแบบป้อนข้อมูลไปข้างหน้า ซึ่งถูกสอนด้วยอัลกอริทึมแบบแพร่ย้อนกลับของเลเวนเบิร์ก-มาร์คอร์ด อัตราส่วนแรงตัดถูกนำมาใช้ในการคำนวณความตรงภายใต้เงื่อนการตัดต่าง ๆ การแปลงเวฟเลทแบบดอเบชีส์ถูกใช้ในการแยกแรงตัดพลวัตออกเป็น 10 ระดับ เพื่อที่จะกำจัดสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ทำให้แบบจำลองมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ปัจจัยในการตัดที่เกี่ยวข้องประกอบไปด้วยความเร็วตัด อัตราป้อนตัด ความลึกตัด รัศมีจมูกมีดตัด และมุมคายเศษโลหะ แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับพยากรณ์ความตรงของชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอนและอะลูมิเนียมที่พัฒนาขึ้นจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับแบบจำลองการพยากรณ์ความตรงแบบอื่น ๆ คือ แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับพยากรณ์ความตรงของชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอน แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับพยากรณ์ความตรงของชิ้นงานอะลูมิเนียม และวิธีการวิเคราะห์ด้วยการถดถอยแบบพหุคูณ จากผลการวิจัยพบว่า แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับพยากรณ์ความตรงของชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอนและอะลูมิเนียมที่ถูกเสนอนั้นมีความแม่นยำที่ 76.27% สำหรับชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอนและอะลูมิเนียม มีความแม่นยำที่ 82.57% สำหรับชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอน และมีความแม่นยำที่ 69.97% สำหรับชิ้นงานอะลูมิเนียม ในขณะที่วิธีการวิเคราะห์ด้วยการถดถอยแบบพหุคูณมีความแม่นยำที่ 74.23% แม้ว่าแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับพยากรณ์ความตรงของชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอนและแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับพยากรณ์ความตรงของชิ้นงานอะลูมิเนียมจะมีความแม่นยำที่มากกว่าที่ 86.53% และ 70.70% ตามลำดับ แต่ผลการพยากรณ์ความตรงของแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมทั้งสามแบบจำลองไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญเมื่อทดสอบใน Paired t-Test


The Impact Of E-Commerce On The Development Of Entrepreneurship In Saudi Arabia, Khulood Al-Mani Jan 2020

The Impact Of E-Commerce On The Development Of Entrepreneurship In Saudi Arabia, Khulood Al-Mani

Journal of International Technology and Information Management

This paper is based on a Ph.D. study investigating the critical challenges facing e-commerce adoption by entrepreneurs in Saudi Arabia, identifying the major driving factors, barriers, motivations, perceived advantages, potential problems and some practical solutions as well as future expectations from entrepreneurs’ perspectives. From the study findings, a set of practical recommendations were derived for the government, entrepreneurs and investors in Saudi Arabia to consider, to promote ecommerce entrepreneurship in the county.

The research was undertaken using a qualitative approach. Data collection techniques involved in-depth, semi-structured interviews, with (1) e-commerce entrepreneurs, and (2) government authorities, educational initiatives and private support …


Determinants Of Startup Funding: The Interaction Between Web Attention And Culture, Jie Ren, Viju Raghupathi, Wullianallur Raghupathi Jan 2020

Determinants Of Startup Funding: The Interaction Between Web Attention And Culture, Jie Ren, Viju Raghupathi, Wullianallur Raghupathi

Journal of International Technology and Information Management

Technology empowers entrepreneurs to pursue alternative funding through platforms like crowdfunding. This research explores significant startup funding factors using Crunchbase. Controlling for common factors (acquisition/funding-rounds/IPO), the research uniquely focuses on web attention - the visibility on social media - and its impact on funding. It also examines the moderating influence of startup’s home country culture (individualism/collectivism). Findings show stronger positive impact of web attention on startup funding for collectivist countries. While individualistic investors value personal goals, collectivists value collaborative goals - inclinations that align with crowdfunding behavior. Therefore while increasing web attention, crowdfunding efforts can be targeted towards collectivist countries.


Table Of Contents Jitim Vol 29 Issue 1, 2020 Jan 2020

Table Of Contents Jitim Vol 29 Issue 1, 2020

Journal of International Technology and Information Management

Table of contents


Assessment Of The Needs Of Ict Skills On Employability In Smes: A Vft Approach, Renatus Michael Mushi Jan 2020

Assessment Of The Needs Of Ict Skills On Employability In Smes: A Vft Approach, Renatus Michael Mushi

Journal of International Technology and Information Management

the globalised economy comes with extra demand of ICT skills among the graduates. This is due to the demand if ICT technicalities in performing a number of basic activities in the workplaces. Majority of studies which concentrate with ICT skills on employability deals with technical enterprises. In non-technical companies such as construction, manufacturing and agriculture, ICT is studied as among the basic skill-set of graduates. However, recently, there has been special demand of graduates with basic ICT knowledge on recruitment processes. This indicates the growing demand of basic ICT skills among a broad range of professions. However, the type of …


Evaluating Students Information System Success Using Delone And Mclean’S Model: Student’S Perspective, Majaliwa Mkinga, Herman Mandari Jan 2020

Evaluating Students Information System Success Using Delone And Mclean’S Model: Student’S Perspective, Majaliwa Mkinga, Herman Mandari

Journal of International Technology and Information Management

System success is considered to be an important element in accomplishing the goals of the organization; therefore evaluation of system success needs to be done in order to ensure that investment in Information System is successful. Most of Higher Learning Institutions (HLIs) in Tanzania have adopted the use of IS in providing service to their customers. Nevertheless, there is less evidence that system success evaluation has been done in order to identify the desired characteristics which could make IS more effective. Due to that, this study evaluates the effectiveness of Student Information System (SIS) used at the Institute of Finance …


Table Of Contents Jitim Vol 29 Issue 2, 2020 Jan 2020

Table Of Contents Jitim Vol 29 Issue 2, 2020

Journal of International Technology and Information Management

Table of contents


Table Of Contents Jitim Vol 29 Issue 3, 2020 Jan 2020

Table Of Contents Jitim Vol 29 Issue 3, 2020

Journal of International Technology and Information Management

Table of contents


A Study Of Customers' Willingness To Purchase Organic Fresh Milk In Thailand, Jeerawan Punwaree Jan 2020

A Study Of Customers' Willingness To Purchase Organic Fresh Milk In Thailand, Jeerawan Punwaree

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Nowadays, most consumers often are care about health due to the COVID-19 and personal needs. Dairy products are specific products that are generally consumed by every age group, from children, teenagers, adults, to the elderly. Organic milk could provide an advantageous alternative for health conscious consumers as it must be certified by government agencies prior to market launching. There are many studies supported that organic milk is more beneficial than conventional milk. Theory of Planned Behavior (TPB) was applied to study the factors affected consumers' willingness to purchase organic fresh milk in Thailand. Through the questionnaire method and analysis by …


การจัดการเชิงกลยุทธ์ของการขนส่งเหล็กเส้นก่อสร้างขาออกในประเทศ, ณิชากร จงสวัสดิ์พัฒนา Jan 2020

การจัดการเชิงกลยุทธ์ของการขนส่งเหล็กเส้นก่อสร้างขาออกในประเทศ, ณิชากร จงสวัสดิ์พัฒนา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันผู้ผลิตจำนวนมากเลือกการใช้บริการผู้ให้บริการขนส่งภายนอกเพื่อบริหารต้นทุนและประหยัดค่าขนส่ง ผู้ผลิตมักต้องการการวางแผนที่เชื่อถือได้และการตรวจสอบที่ครอบคลุม มิฉะนั้นการใช้ผู้บริการขนส่งภายนอกอาจทำให้เกิดสถานการณ์คล้ายกับกรณีศึกษาโรงงานผลิตเหล็กรีไซเคิลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยซึ่งให้บริการจัดส่งสินค้าฟรีภายในพื้นที่จังหวัดเดียวกับโรงงานและพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลโดยใช้ผู้ให้บริการขนส่งภายนอก จากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตพบว่าบริษัทสามารถประหยัดค่าขนส่งได้ถึง 12.97% หากเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมและตรวจสอบปริมาณสินค้าที่จัดส่งในแต่ละเที่ยว จากการตรวจสอบเพิ่มเติมยังพบว่า ค่าใช้จ่ายขนส่งสูงอาจมีสาเหตุจากขาดการวางแผนและ ปราศจากแนวทางที่ชัดเจน ดังนั้นงานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางในการจัดการขนส่ง 2 ด้านคือ การดำเนินงานด้านขนส่ง และ การจัดการขนส่งเชิงกลยุทธ์โดยประยุกต์แบบจำลอง SCOR (Supply Chain Operations Reference Model) หรือ BP.118 เป็นต้นแบบในการปรับปรุง 4 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดทำแผนการจองรถบรรทุกล่วงหน้า 2.การตรวจสอบความสามารถในการจัดส่งโดยการประเมินผู้ให้บริการโดยการให้น้ำหนักของปัจจัยตามลำดับความสำคัญจากการสัมภาษณ์ผู้บริการและผู้ที่เกี่ยวข้อง และประเมินโดยพิจารณาจากผลงานเก่าในปีที่ผ่านมา 3.กำหนดตัวชี้วัดในการบริหารงานขนส่ง 4.กำหนดผู้ให้บริการขนส่งหลักในแต่ละเส้นทางโดยประยุกต์ใช้กลยุทธ์ในการจัดซื้อจัดหาโดยการเจรจาต่อรอง จากผลการศึกษาพบว่าหลังจากการปรับปรุงบริษัทกรณีศึกษาสามารถลดอัตราค่าขนส่งลงได้ 54.21 บาท/ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.02 ล้านบาทต่อเดือน และลดเวลานำในการจองรถลง 0.25 วัน


การประยุกต์ใช้วิธีการทางฮิวริสติกส์ในการจัดตารางกระบวนการบรรจุยาเม็ด, ทศพร ประเสริฐพร Jan 2020

การประยุกต์ใช้วิธีการทางฮิวริสติกส์ในการจัดตารางกระบวนการบรรจุยาเม็ด, ทศพร ประเสริฐพร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การจัดตารางกระบวนการบรรจุยาเม็ดเป็นกระบวนการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบรรจุยาเม็ดที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ ของการบรรจุยาเม็ดได้ โดยการจัดตารางกระบวนการบรรจุยาเม็ดที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตแล้ว ยังสามารถช่วยลดต้นทุนเพิ่มเติมด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่มีประสิทธิภาพของแผนการบรรจุได้ การจัดตารางดังกล่าวอาจจัดอยู่ในปัญหาประเภท NP แบบยาก ผู้วิจัยจึงได้ทำการพัฒนาสร้างฮิวริสติกส์ขึ้น โดยอ้างอิงจากขั้นตอนวิธีเชิงพันธุกรรม (Genetic Algorithm) ซึ่งในขั้นตอนแรก ผู้วิจัยได้ทำการสร้างผลเฉลยเบื้องต้น (แผนการบรรจุยาเม็ดเบื้องต้น) จากกฎการจ่ายงานอย่างง่าย กล่าวคือ กฎการจ่ายงานกำหนดส่งมอบที่เร็วที่สุด (Earliest Due Date, EDD) และเวลาบรรจุยาเม็ดที่สั้นที่สุด (Shortest Processing Time, SPT) จากนั้นจึงทำการปรับปรุงผลเฉลยดังกล่าวอย่างเป็นลำดับขั้นด้วยการแลกเปลี่ยนข้าม (Crossover) การกลายพันธุ์ (Mutation) และการปรับปรุงเฉพาะถิ่น (Local Search) แบบต่างๆ จนกระทั่งถึงเงื่อนไขในการหยุดค้นหา ผลการวิจัยปรากฏว่า ขั้นตอนวิธีเชิงพันธุกรรมที่ถูกสร้างขึ้น ให้ผลดีกว่าทั้งในแง่ของเวลาปิดงานและต้นทุนค่าล่วงเวลา เมื่อเปรียบเทียบกับกฎการจ่ายงานอย่างง่าย โดยสามารถปรับปรุงเวลาปิดงานของพื้นที่ Secondary Packaging และลดต้นทุนค่าล่วงเวลาในภาพรวมได้กว่าร้อยละ 18.23 และร้อยละ 31.90 ตามลำดับ นอกจากนั้น ในการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิต พบว่า ผลเฉลยที่ได้สามารถตอบสนองต่อแผนงานการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบัน รวมทั้งยังสามารถนำไปคำนวณความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ต่อไปได้อีกด้วย


การประเมินการลงทุนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมด้วยการบริหารต้นทุนตลอดอายุ, พรสุดา พฤฒพงษ์ Jan 2020

การประเมินการลงทุนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมด้วยการบริหารต้นทุนตลอดอายุ, พรสุดา พฤฒพงษ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันโรงไฟฟ้าในระบบไฟฟ้ามีการเดินเครื่องผลิตพลังงานไฟฟ้าลดลง เนื่องจากการเติบโตและพัฒนาของเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ผู้ประกอบการของโรงไฟฟ้าเดิมในระบบจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเรื่องการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า เพื่อคงความสามารถการแข่งขันในธุรกิจ ซึ่งงานวิจัยนี้นำเสนอกรอบความคิดและแบบจำลองการประเมินการลงทุนเพื่อปรับปรุงโรงไฟฟ้า ด้วยหลักการบริหารต้นทุนตลอดอายุ (Life-Cycle Cost Management: LCCM) และนำเสนอการพยากรณ์ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตรายปีของโรงไฟฟ้า โดยคำนึงถึงกรอบและข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมประเภทเพลาผสม (Multi-shaft combined-cycle power plant) ทั้งนี้ตัวแปรที่งานวิจัยเลือกใช้ในการพยากรณ์เป็นตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตของโรงไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ 1) ค่าความร้อนของโรงไฟฟ้า (Heat Rate: HR) 2) จำนวนชั่วโมงการเดินเครื่องเสริมระบบ (Service Hour: SH) 3) สัดส่วนกำลังผลิตของผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer Share: SPP Share) 4) อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (Growth Domestic Product: GDP) โดยผลการพยากรณ์ปริมาณพลังงานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลตั้งต้นสำหรับคำนวณจำนวนชั่วโมงการเดินเครื่องสะสมเทียบเท่าของกังหันก๊าซ (Equivalent Operating Hour: EOH) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการประมาณรายได้และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าและสามารถนำมาใช้พิจารณาเลือกประเภทงานบำรุงรักษาให้สอดคล้องกับรูปแบบการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นเทคนิคหนึ่งในการจัดการต้นทุนเพื่อให้สามารถบริหารได้อย่างต่อเนื่อง


การปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำอ่อน, อลงกรณ์ ศรกาญจนอัมพร Jan 2020

การปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำอ่อน, อลงกรณ์ ศรกาญจนอัมพร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับปรุงระบบการผลิตน้ำอ่อน โดยมุ่งไปที่การเพิ่มปริมาณน้ำอ่อนต่อรอบและลดปริมาณน้ำกระด้างที่เกินมาตรฐาน ผู้วิจัยได้ทำวิเคราะห์และหาสาเหตุของปัญหาโดยใช้เทคนิคแผนผังก้างปลา และใช้เทคนิค FMEA พบว่ามี 20 ปัจจัย และดำเนินการแก้ไขปรับปรุงสาเหตุของข้อบกพร่องดังแนวทางดังต่อไปนี้ 1) ปรับปรุงระบบการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติ โดยการติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์ความกระด้างของน้ำ ตรวจจับทุก 30 วินาทีและปรับปรุงระบบการฟื้นฟูเรซิ่นให้ฟื้นฟูโดยอัตโนมัติ 2) จัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน 3) ออกแบบการทดลองเพื่อหาค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสม โดยศึกษาทั้ง 4 ปัจจัยที่มีนัยสำคัญดังนี้ อัตราการไหลเข้าศึกษาที่ระดับ 30 ถึง 50 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ระยะเวลาในการฟื้นฟูเรซินศึกษาที่ระดับ 5 ถึง 15 นาที อัตราการไหลล้างกลับศึกษาที่ระดับ 5 ถึง 15 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และความเข้มข้นน้ำเกลือศึกษาที่ระดับ 5 ถึง 15 % จากการทดลองพบว่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมของทั้ง 4 ปัจจัยเป็นดังนี้ อัตราการไหลเข้า 42 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ระยะเวลาในการฟื้นฟูเรซิน 15 นาที อัตราการไหลล้างกลับ 15 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และความเข้มข้นน้ำเกลือ 15 % ผลที่ได้จากการปรับปรุง ปริมาณน้ำอ่อนที่เกินมาตรฐานลดลงจาก 4,437 ลิตร เป็น 502 ลิตร คิดเป็น 88.69 % ปริมาณน้ำอ่อนต่อรอบเรซิ่นเพิ่มขึ้นจาก 1,681 ลูกบาศก์เมตร เป็น 1,992 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 18.5 % ความสามารถพิ้นฐานในการกำจัดความกระด้างของเรซิ่นเพิ่มขึ้นจากเดิม 49.98 กรัมต่อลิตร เป็น 59.22 กรัมต่อลิตร และค่าความเสี่ยงชี้นำลดลง 88.38%


การพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมือง: กรณีศึกษาบริษัทเหมืองถ่านหิน, ธนวิทย์ สรวิเชียร Jan 2020

การพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมือง: กรณีศึกษาบริษัทเหมืองถ่านหิน, ธนวิทย์ สรวิเชียร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ราคาซื้อขายถ่านหินลดลง 42.09% เหลือเพียง 67.75 เหรียญสหรัฐฯต่อตันในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 อีกทั้งผลกระทบด้านลบจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ธุรกิจเหมืองถ่านหินเริ่มปรับปรุงการดำเนินงานและใช้แนวคิดการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน และการลดต้นทุนเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ การวัดและติดตามประสิทธิผลโดยรวมของการดำเนินการจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติมีเพียงตัวชี้วัดที่ระบุประสิทธิผลของเครื่องจักรหรือของทีมทำงานโดยเฉพาะ ซึ่งไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์การปฏิบัติงานในภาพรวมและไม่สามารถระบุพื้นที่สำหรับการปรับปรุงได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้โดยตรงกับอุตสาหกรรมเหมือง ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดวัดประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมือง กรณีศึกษาบริษัทเหมืองถ่านหิน การกำหนดตัวชี้วัดประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมือง(OME) แบ่งออกเป็น 3 ระดับของการวัด ได้แก่ระดับองค์กร ระดับเหมืองและระดับกิจกรรม งานวิจัยนี้ได้ประยุกต์ใช้แนวคิดการคำนวณประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร(OEE) ในการกำหนดสูตรการคำนวณค่าประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมือง(ความพร้อมการทำงาน ประสิทธิภาพการทำงาน และคุณภาพการทำงาน) รายละเอียดการคำนวณประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมือง ได้รับการปรับแต่งตามลักษณะบริบทการทำงานสำหรับทั้งในพื้นที่กระบวนการผลิตหลักและพื้นที่ในส่วนสนับสนุนในการทำเหมืองถ่านหิน ตัวขับเคลื่อนหลักในแต่ละพื้นที่การวัดประสิทธิผลโดยรวมของการทำเหมืองมีไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงในอนาคต การศึกษานี้เกี่ยวข้องกับการจัดหาเครื่องมือสำหรับการประเมินและตรวจสอบประสิทธิผลโดยรวมในอุตสาหกรรมเหมือง เพื่อสร้างความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงาน ซึ่งผลการอภิปรายได้ถูกแสดงไว้ในงานวิจัยนี้


การลดของเสียประเภทสีแตกในกระบวนการพ่นสีชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์, ชนิกานต์ รักธงไทย Jan 2020

การลดของเสียประเภทสีแตกในกระบวนการพ่นสีชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์, ชนิกานต์ รักธงไทย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดสัดส่วนของเสียและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องประเภทสีแตกในกระบวนการพ่นสีชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ โดยการนำแนวคิดซิกซ์ ซิกมา (Six Sigma) มาประยุกต์ใช้การดำเนินงานวิจัย เริ่มจากการศึกษาสภาพปัญหาและกระบวนการทำงาน ต่อมาทำการวิเคราะห์ความแม่นยำและถูกต้องของระบบการวัดโดยการตรวจสอบข้อบกพร่องประเภทสีแตกด้วยสายตา จากนั้นทำการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาด้วยแผนภาพแสดงเหตุและผล และเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัย โดยใช้ตารางแสดงเหตุและผล และทำการคัดเลือกปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลต่อการเกิดปัญหาสีแตก ซึ่งมีทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่อุณหภูมิในการล้างชิ้นงาน ความดันในการล้างชิ้นงาน แรงดันไฟฟ้าในการชุบสี ED และวิธีการขัดผิวชิ้นงาน จากนั้นในขั้นตอนปรับปรุงกระบวนการ ได้แบ่งการทดลองออกเป็น 2 ส่วน คือ ทดสอบสมมติฐานของวิธีการขัดผิวชิ้นงาน พบว่า วิธีการขัดทั้งแนวนอนและแนวตั้งเกิดสัดส่วนของเสียน้อยกว่าวิธีการขัดเฉพาะแนวนอนอย่างมีนัยสำคัญ จึงได้ทำการปรับปรุงวิธีการขัดเป็นแบบขัดทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ในส่วนของอุณหภูมิในการล้างชิ้นงาน ความดันในการล้างชิ้นงาน และแรงดันไฟฟ้าในการชุบสี ED ทำการออกแบบพื้นผิวผลตอบแบบบ็อกซ์-เบห์นเคน จากนั้นทำการหาค่าระดับปัจจัยที่เหมาะสม ซึ่งค่าปัจจัยที่เหมาะสม คือ อุณหภูมิในการล้างชิ้นงาน เท่ากับ 40 องศาเซลเซียส ความดันในการล้างชิ้นงาน เท่ากับ 1.4 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร และแรงดันไฟฟ้าในการชุบสี ED เท่ากับ 180 โวลต์ หลังจากนั้นนำค่าปัจจัยที่เหมาะสมนี้ไปปรับใช้จริงในกระบวนการ เพื่อยืนยันผลการทดลองที่ได้ และจัดทำแผนควบคุมและวิธีการปฏิบัติงานใหม่หลังจากปรับปรุงกระบวนการ พบว่า สามารถลดสัดส่วนของเสียประเภทสีแตกจาก 3.82 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.97 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลดลงไปได้ 2.85 เปอร์เซ็นต์ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องประเภทสีแตกลดลงจาก 132,898 บาท เหลือ 27,603 บาท ซึ่งลดลงไปได้ 105,295 บาท


การลดของเสียจากข้อบกพร่องประเภทครีบและรอยในกระบวนการขึ้นรูปฝาครอบถังน้ำมัน, ณัฐชนันท์ ชูสมบัติ Jan 2020

การลดของเสียจากข้อบกพร่องประเภทครีบและรอยในกระบวนการขึ้นรูปฝาครอบถังน้ำมัน, ณัฐชนันท์ ชูสมบัติ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดสัดส่วนของเสียและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการแก้ไขชิ้นงานจากข้อบกพร่องประเภทครีบและรอย ในกระบวนการขึ้นรูปโลหะแบบแผ่น เพื่อเป็นชิ้นส่วนในการประกอบถังน้ำมัน โดยการดำเนินงานได้ใช้หลักการ DMAIC ในการปรับปรุงกระบวนการ โดยมีเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนของเสียให้เหลือร้อยละ 3 ของปริมาณการผลิตปัจจุบัน ผู้วิจัยได้ศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องประเภทครีบ ได้แก่ ลักษณะของระนาบ แรงกำหนดของเครื่องปั๊มตัดเจาะ และอายุการใช้งานแท่งตัด และได้ปรับปรุง โดยจัดทำระนาบพันช์ใหม่โดยการเจียระไนพันช์ให้เรียบก่อนการปั๊มเจาะรูชิ้นงาน เนื่องจากเดิมเมื่อปั๊มระนาบชิ้นงานพบว่าชิ้นงานไม่เรียบทำให้เกิดช่องว่างขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดครีบสูง ต่อมาจึงปรับปรุงเรื่องแรงกำหนดที่เหมาะสมสำหรับช่วงสโตรกการทำงานต่างๆ โดยใช้แรงกำหนด 150 ตัน ในสโตรกที่ 1 - 13,000 แล้วจึงเปลี่ยนแรงกำหนดเป็น 220 ตัน ตั้งแต่สโตรกที่ 13,001 - 23,000 แล้วจึงเจียระไนแท่งตัดและดายตัดเพื่อเริ่มนับสโตรกใหม่ ในส่วนข้อบกพร่องประเภทรอย ได้ปรับปรุงการขนย้ายชิ้นงานโดยใช้อุปกรณ์ขนย้ายชิ้นงานที่เล็กลงและใช้พลาสติกแทนเหล็ก การติดตั้งท่อลมเป่าเศษให้แก่กระบวนการผลิตเพื่อเป่าเศษชิ้นงานหลังจากการตัดเฉือน และจัดทำมาตราฐานการทาน้ำมันที่ตัวชิ้นงานและพันช์ คือ การทาน้ำมันเมื่อปั๊มชิ้นงานครบทุก 3 ชิ้น หลังการปรับปรุงพบว่า สามารถลดสัดส่วนของเสียเหลือร้อยละ 0.08 ของปริมาณการผลิตปัจจุบัน ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายรวมที่เกี่ยวข้องกับข้อบกพร่องประเภทครีบและรอยลงได้ 199,378 บาทต่อการผลิต 138,000 ชิ้นงาน


การลดความแปรปรวนของความหนืดในการเตรียมน้ำแป้งมันสำปะหลัง, อธิตา บุญพร้อม Jan 2020

การลดความแปรปรวนของความหนืดในการเตรียมน้ำแป้งมันสำปะหลัง, อธิตา บุญพร้อม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ในกระบวนการผลิตกระดาษ ขั้นตอนการเคลือบผิวของกระดาษเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อให้กระดาษมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น และทำให้ภาพที่ถูกพิมพ์ลงมาบนกระดาษมีความคมชัด โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการเคลือบผิวหน้ากระดาษคือ น้ำแป้งมันสำปะหลัง โดยจะต้องทำการควบคุมค่าความหนืดของน้ำแป้งมันสำปะหลังให้อยู่ในค่าควบคุมในขั้นตอนการเตรียมน้ำแป้งมันสำปะหลังก่อนที่จะถูกเคลือบลงบนผิวหน้ากระดาษของเครื่องจักร จากปัญหาที่เกิดขึ้น พบว่าค่าความหนืดของแป้งมีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.46 และมีค่าความหนืดของน้ำแป้งอยู่นอกเหนือค่าควบคุมเท่ากับ 41.43% พร้อมทั้งส่งผลให้เกิดของเสียในกระบวนการผลิตกระดาษจากคุณภาพความแข็งแรงต่ำกว่าค่าควบคุมถึง 230 ตันต่อปี โดยในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ต้องการศึกษาตัวแปรนำเข้า (Factor) ที่ส่งผลต่อค่าความหนืดของน้ำแป้งมันสำปะหลัง เพื่อลดความแปรปรวนของความหนืดในการเตรียมน้ำแป้งมันสำปะหลัง และลดของเสียในกระบวนการผลิตกระดาษ โดยในการทดลองได้ทำการศึกษาตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อค่าความหนืดของแป้งมันสำปะหลัง คือ ปริมาณสารละลายไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (H2O2) ปริมาณสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต (CuSO4) และความเข้มข้นของน้ำแป้ง (%Solid Content) โดยผลการศึกษาสามารถลดความแปรปรวนของความหนืดโดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.38 และมีค่าความหนืดของน้ำแป้งอยู่ในค่าควบคุม พร้อมทั้งไม่ส่งผลให้เกิดของเสียในกระบวนการผลิตกระดาษด้วย


การวิเคราะห์การตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตแทนสำหรับโรงงานผลิตถุงกระสอบพลาสติกกรณีศึกษา, ฐิติวัฒน์ ชุนถนอม Jan 2020

การวิเคราะห์การตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตแทนสำหรับโรงงานผลิตถุงกระสอบพลาสติกกรณีศึกษา, ฐิติวัฒน์ ชุนถนอม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาภายในโรงงานกรณีศึกษาซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระสอบพลาสติกสานแบบครบวงจร จากการศึกษาพบว่าต้นทุนผลิตเองภายในโรงงานมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าจ้างผลิต ทางโรงงานกรณีศึกษาจึงเลือกจ้างผลิตมากกว่าผลิตเองส่งผลให้กำลังการผลิตเฉลี่ยต่ำกว่ากำลังการผลิตรวมและจากการวิเคราะห์วิธีการคำนวณแบบดั้งเดิมไม่คำนวณต้นทุนวัตถุดิบสูญเสียระหว่างกระบวนการ และนำต้นทุนแรงงานรวมในต้นทุนโสหุ้ยส่งผลให้ไม่สามารถสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ถูกต้อง จากการวิเคราะห์ปัญหางานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการคำนวณต้นทุนการผลิตให้สามารถสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ถูกต้อง วิเคราะห์การตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตเพื่อให้สามารถวางแผนการผลิตได้เหมาะสม และนำผลการตัดสินใจออกแบบเครื่องมือสนับสนุนการวางแผนการผลิต โดยผู้วิจัยนำ Cost model และ สมดุลการใช้วัตถุดิบประยุกต์ในการออกแบบการคำนวณต้นทุนการผลิต การตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตได้ทำการร่วมประชุมกับทางผู้บริหาร ผู้จัดการฝ่ายผลิต ผู้จัดการฝ่ายขาย และพนักงานฝ่ายจัดซื้อเพื่อกำหนดเกณฑ์การตัดสินใจ เพื่อให้ความสำคัญและคะแนนสำหรับ 6 เกณฑ์การตัดสินใจ และการออกแบบการวางแผนการผลิตได้ทำการวางแผนตามผลการตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตแทน นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ทำการออกแบบเครื่องมือสนับสนุนการวางแผนการผลิตเพื่อให้สามารถวางแผนได้อย่างรวดเร็ว ผลการวิจัยพบว่าวิธีการคำนวณต้นทุนที่ออกแบบสามารถสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ถูกต้องมากกว่าวิธีการคำนวณต้นทุนแบบดั้งเดิมเนื่องจากได้ทำการคำนวณต้นทุนแต่ละประเภทอย่างถูกต้อง ซึ่งผลลัพธ์วิธีการคำนวณต้นทุนที่ออกแบบมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่ำกว่าวิธีการคำนวณต้นทุนแบบดั้งเดิม 0.42 บาทต่อใบหรือร้อยละ 10 แสดงถึงการตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตในอดีตซึ่งใช้ต้นทุนการผลิตเป็นเกณฑ์การตัดสินใจเพียงเกณฑ์เดียวนั้นมีโอกาสผิดพลาด นอกจากนี้ผลการตัดสินใจผลิตเองหรือจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตคือการจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตมีความเหมาะสมกับโรงงานกรณีศึกษา เมื่อทราบผลการตัดสินใจและเงื่อนไขการจ้างบริษัทอื่นมารับช่วงการผลิตนำผลและเงื่อนไขออกแบบการวางแผนการผลิตเพื่อให้สามารถวางแผนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบ, สิปโปทัย ศรีนิลรัตน์ Jan 2020

การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบ, สิปโปทัย ศรีนิลรัตน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบ โดยอาศัยหลักการออกแบบการทดลอง เพื่อเป็นทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าของกล้วยให้กับเกษตรกร และเป็นแนวทางให้กับผู้ประกอบกิจการในการลดขยะที่เกิดจากการทิ้งไม้ไอศกรีมแบบเดิม โดยไม้ไอศกรีมที่ผลิตได้ต้องมีคุณภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ซึ่งเริ่มจากทำการศึกษาวิธีการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ผง ด้วยการค้นคว้างานวิจัยและทดลองเบื้องต้น โดยพบว่าแป้งสาลีมีคุณสมบัติของตัวประสานที่ดีที่สุด และวิธีการผลิตอ้างอิงจากกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ขนมอบในอุตสาหกรรม จากนั้นทำการศึกษาปัจจัย 3 ปัจจัย คือ สัดส่วนผงกล้วยดิบต่อแป้งสาลีเอนกประสงค์ ปริมาณน้ำตาล และเวลาที่ใช้ในการอบ โดยการออกแบบการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์ ซึ่งทำการทดสอบคุณภาพทางกายภาพด้านความแข็ง ความเปราะ และคุณภาพทางจุลินทรีย์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถสรุปเงื่อนไขที่เหมาะสมในการผลิตไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ได้ดังนี้ คือ สัดส่วนผงกล้วยดิบต่อแป้งสาลีเอนกประสงค์ตั้งแต่ร้อยละ 50:50 จนถึง 80:20 ปริมาณน้ำตาลร้อยละ 40 โดยน้ำหนักส่วนผสมแห้ง และเวลาที่ใช้ในการอบ 40 นาที ซึ่งมีผลของค่าความแข็งเฉลี่ยใกล้เคียงกับไม้ไอศกรีมจากไม้มากที่สุดอยู่ในช่วง 31.49 ± 2.19 นิวตัน ถึง 38.53 ± 4.86 นิวตัน และผลการทดสอบค่าวอเตอร์แอคทิวิตี้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในระหว่างการเก็บรักษาอยู่ในช่วง 0.050 ± 0.002 ถึง 0.112 ± 0.062 นอกจากนี้ ไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบยังสามารถรับประทานได้ ซึ่งได้ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบ โดยการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสจากการทำแบบสอบถาม และผลทดสอบการยอมรับผลิตภัณฑ์ไม้ไอศกรีมจากผงกล้วยดิบในคุณลักษณะด้านต่างๆ ได้แก่ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมพบว่าอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก โดยผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขสัดส่วนผงกล้วยดิบต่อแป้งสาลีเอนกประสงค์ร้อยละ 50:50 ปริมาณน้ำตาลร้อยละ 40 โดยน้ำหนักส่วนผสมแห้ง และ เวลาที่ใช้ในการอบ 40 นาที มีระดับความชอบโดยรวมมากที่สุด และจากการประเมินต้นทุนในการผลิตไม้ไอศกรีมจากกล้วยดิบผงจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยประมาณอยู่ที่ชิ้นละ 1.57 บาท


การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรในงานก่อสร้างถนน โดยใช้เทคนิคการบริหารโครงการ, นูรอัยณี ประเสริฐดำ Jan 2020

การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรในงานก่อสร้างถนน โดยใช้เทคนิคการบริหารโครงการ, นูรอัยณี ประเสริฐดำ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและควบคุมความก้าวหน้าของงานซ่อมในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรในงานสร้างถนน โดยได้มองแต่ละงานซ่อมเป็นแต่ละโครงการและมีการดำเนินโครงการตามหลักการบริหารโครงการ (Project Management) เครื่องมือสำคัญในการบริหารโครงการเป็นเครื่องมือในการบริหารความก้าวหน้าของโครงการ ได้แก่ วิธีการวิถีวิกฤต (Critical Path Method, CPM) แผนภูมิแกนต์ (Gantt Chart) และ S Curve โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยดังนี้ 1) รวบรวมอาการเสียและวิเคราะห์หาสาเหตุและกำหนดวิธีการซ่อมและเวลามาตรฐานของการซ่อม 2) วิเคราะห์กิจกรรมของการซ่อมโดยใช้ CPM 3) สร้างแผนภูมิแกนต์เพื่อแสดงแผนงานของแต่ละโครงการซ่อม 4) ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของแต่ละโครงการซ่อมโดยใช้ S-curve 5) หามาตรการหรือแผนเร่งรัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนงานของแต่ละโครงการซ่อม งานวิจัยนี้ได้ใช้ระบบฐานข้อมูลเพื่อความสะดวกในการสร้างแผนการซ่อม หลังจากหนึ่งปีของการปรับปรุงพบว่าประสิทธิภาพการบริหารงานซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นโดยระบบหยุดทำงานลดลง เวลาหยุดทำงานของระบบโครงสร้าง (Body System) ลดลงจาก 75 วันเป็น 16 วัน คิดเป็น 78.67% เวลาหยุดทำงานของระบบเครื่องยนต์ (Engine System) ลดลงจาก 122 วันเป็น 54 วัน คิดเป็น 55.74% และเวลาหยุดทำงานของระบบช่วงล่าง (Suspension System) ลดลงจาก 30 วันเป็น 23 วัน คิดเป็น 23.33% เวลาหยุดทำงานของระบบส่งกำลัง (Transmission System) ลดลงจาก 30 วันเป็น 16 วัน คิดเป็น 46.67% เวลาหยุดทำงานของระบบไฮดรอลิก (Hydraulic System) ลดลงจาก 17 วันเป็น 13 วัน เป็น 23.53% เวลาหยุดทำงานของระบบไฟฟ้า (Electrical System) ลดลงจาก 20 วันเป็น 10 วัน เป็น 50% ตามลำดับ


ระบบสนับสนุนการจัดการสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจขายสินค้าตกแต่งบ้านผ่านช่องทางออนไลน์, นวัตธนิน ทศานนท์ Jan 2020

ระบบสนับสนุนการจัดการสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจขายสินค้าตกแต่งบ้านผ่านช่องทางออนไลน์, นวัตธนิน ทศานนท์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้นำเสนอวิธีการกำหนดนโยบายสั่งซื้อที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา พร้อมทั้งปรับปรุงและพัฒนาระบบในการสนับสนุนต่อการบริหารสินค้าคงคลังของธุรกิจออนไลน์ขายของตกแต่งบ้านที่ทำจากหินอ่อนเป็นกรณีศึกษา เพื่อรักษาระดับการให้บริการที่ทำให้ไม่เกิดการเสียโอกาสในการขาย งานวิจัยนี้เริ่มตั้งแต่การรวบรวมและศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากนั้นทำการออกแบบนโยบายสั่งซื้อ สำหรับกลุ่มรายการสินค้าในช่วงที่ไม่มีปัจจัยส่งผลต่อยอดขายจะมีการประยุกต์ใช้แบบจำลองที่มีการกำหนดระยะเวลาการสั่งเติมสินค้าที่แน่นอน และมีการพิจารณารอบการสั่งและทบทวนสินค้าโดยมีการจำลองข้อมูลปริมาณความต้องการของปี พ.ศ.2563 และทำการรวมข้อมูลปริมาณต้องการตามรอบการทบทวน ให้ได้ข้อมูลที่มากพอที่สามารถสรุปการแจกแจงปกติ แล้วทำการตัดสินใจเลือกรอบที่เหมาะสมของสินค้าแต่ละรายการ สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีปัจจัยในช่วงที่มีงานแสดงสินค้าส่งผลต่อยอดขายจะทำการแยกปริมาณความต้องการของสินค้าที่มียอดขายในช่วงงานแสดงสินค้า เพื่อหานโยบายการสั่งซื้อในลักษณะเดียวกับกลุ่มรายการสินค้าในช่วงที่ไม่มีปัจจัยส่งผลต่อยอดขาย แต่ในช่วงที่มีการจัดงานแสดงสินค้าไม่สามารถที่จะเติมสินค้าเข้ามาในคลังได้ทันเวลา จึงเป็นนโยบายการสั่งเติมสินค้าเป็นสั่งครั้งเดียว ขั้นตอนถัดมาทำการเลือกนโยบายสั่งซื้อที่เหมาะสมจากการจำลองสถานการณ์ โดยจะทำการสั่งซื้อเมื่อระดับคงคลังต่ำกว่าระดับคงคลังเป้าหมาย หรือระดับ OUL (Order-up-to Level) สำหรับรายการสินค้าที่ไม่มีปัจจัยส่งผลต่อยอดขาย โดยพิจารณาด้วยปริมาณสินค้าคงคลังเป้าหมายในระดับการให้บริการที่เหมาะสมกับรายการสินค้าแต่ละชนิด ที่ไม่ทำให้ระดับสินค้าคงคลังสิ้นงวดเฉลี่ย (Average Ending Inventory) สูง และไม่เกิดการเสียโอกาสในการขาย ในสำหรับรายการสินค้าที่มีปัจจัยที่ส่งผลต่อยอดขายนั้น เมื่อได้นโยบายสำหรับสินค้าแต่ละชนิด จะทำการสั่งเติมในปริมาณสูงสุด และในขั้นตอนสุดท้ายทำการวิเคราะห์ความคงทนของนโยบายสั่งซื้อที่เลือกเพื่อตรวจสอบอัตราการเติมเต็มพัสดุ และระดับการให้บริการตามรอบการสั่ง ทั้งนี้ผลของการวิจัยพบว่า จากเดิมสำหรับระดับปริมาณสินค้าคงคลังเป้าหมายในระดับการให้บริการ (Cycle service level) 99.90% นั้น ในบางรายการจะทำให้ระดับสินค้าคงคลังสิ้นงวดเฉลี่ยสูงเกินไป เมื่อมีการลดระดับปริมาณสินค้าคงคลังเป้าหมายในระดับการให้บริการที่ลดลงสำหรับสินค้าแต่ละรายการพบว่า เมื่อมีการสั่งในระดับปริมาณสินค้าคงคลังเป้าหมายที่เหมาะสมของสินค้าแต่ละรายการจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บได้ และในส่วนทดสอบประสิทธิภาพและความสามารถในการรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการด้วยการจำลองสถานการณ์ พบว่า อัตราการเติมเต็มพัสดุ และระดับการให้บริการตามรอบการสั่ง มีการรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการเมื่อปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น 10% โดยเฉลี่ย ซึ่งอยู่ในระดับการให้บริการ 100% ทุกรายการ แต่เมื่อปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น 20% และ 40% โดยเฉลี่ย จะไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการสำหรับสินค้าบางรายการ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย ในส่วนของปริมาณความต้องการที่เกิดขึ้นจริงของเดือนมกราคม ถึงเมษายน ปี พ.ศ. 2564 ได้ 100% ทุกรายการ