Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Education Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

PDF

Journal of Education Studies

Journal

Keyword
Publication Year

Articles 151 - 180 of 2316

Full-Text Articles in Education

การศึกษาสภาพการบริหารโรงเรียนเอกชนตามแนวคิดองค์การที่สร้างความผูกพันของครูและนักเรียน, ผาสุก สุมามาลย์กุล, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์, ปองสิน วิเศษศิริ Apr 2021

การศึกษาสภาพการบริหารโรงเรียนเอกชนตามแนวคิดองค์การที่สร้างความผูกพันของครูและนักเรียน, ผาสุก สุมามาลย์กุล, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์, ปองสิน วิเศษศิริ

Journal of Education Studies

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อ 1) ศึกษากรอบแนวคิดโรงเรียนที่สร้างความผูกพันครูและนักเรียน 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น ในการบริหารโรงเรียนเอกชน และ 3) วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคามของการบริหารโรงเรียนเอกชน ตามแนวคิดองค์การที่สร้างความผูกพันของครูและนักเรียน ตัวอย่าง คือ โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา จำนวน 330 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหาร ครู และนักเรียนรวม 873 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI modified) ผลการวิจัย พบว่า 1) กรอบแนวคิดโรงเรียนที่สร้างความผูกพันมี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การทำงานที่มีความหมาย (2) ฝ่ายบริหารร่วมปฏิบัติงานและตัดสินใจอย่างเหมาะสม (3) สภาพแวดล้อมการทำงานเชิงบวก (4) การให้โอกาสก้าวหน้า (5) การมีความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำ (6) การปฏิบัติอย่างเป็นธรรม 2) สภาพปัจจุบันของการบริหารโรงเรียนเอกชนตามแนวคิดองค์การที่สร้างความผูกพันของครูและนักเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ในภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด 3) จุดแข็ง คือ โรงเรียนสามารถสร้างความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำให้แก่ครูและนักเรียน จุดอ่อน คือ การให้โอกาสความก้าวหน้าแก่ครูและนักเรียน สภาพสังคมและเทคโนโลยีเป็นโอกาส การเมืองและนโยบายของรัฐบาล และสภาพเศรษฐกิจเป็นภาวะคุกคาม


ปัจจัยและระดับความเข้าใจวัฒนธรรมไทยของนักศึกษาจีนที่มีต่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ไฉ่เตี๋ย จาง, เชษฐภูมิ วรรณไพศาล, ชรินทร์ มั่งคั่ง Apr 2021

ปัจจัยและระดับความเข้าใจวัฒนธรรมไทยของนักศึกษาจีนที่มีต่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ไฉ่เตี๋ย จาง, เชษฐภูมิ วรรณไพศาล, ชรินทร์ มั่งคั่ง

Journal of Education Studies

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยของนักศึกษาจีน 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อระดับความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยของนักศึกษาจีน 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยส่งเสริมทักษะความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยของนักศึกษาจีน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือนักศึกษาจีนที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 391 คน โดยมีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการวิเคราะห์สถิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลวิจัย พบว่า 1) ระดับความเข้าใจของนักศึกษาจีนต่อวัฒนธรรมไทยอยู่ในระดับปานกลาง (M = 3.04) 2) ปัจจัยด้านชั้นปีที่กำลังศึกษา ประสบการณ์ในประเทศไทย ประสบการณ์การเรียนภาษาไทย ความสนใจในวัฒนธรรมไทยที่แตกต่างกันมีผลต่อระดับความเข้าใจวัฒนธรรมไทยแตกต่างกัน ซึ่งปัจจัยด้านความจำเป็นของการสอนวัฒนธรรมไทย และความสนใจในการสอนวัฒนธรรมไทยที่แตกต่างกันมีผลต่อระดับความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยไม่แตกต่างกัน 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาจีนต่อการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยส่งเสริมทักษะความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยอยู่ในระดับมาก (M = 3.67)


การประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วยข้อสอบมาตรฐานในการสอบปลายปี ปีการศึกษา 2561 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1, ศศิธร ชุตินันทกุล Apr 2021

การประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วยข้อสอบมาตรฐานในการสอบปลายปี ปีการศึกษา 2561 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1, ศศิธร ชุตินันทกุล

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประมวลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานในการสอบปลายปีของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2561 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างนักเรียน จำนวน 442,847 คน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงที่สุด (ร้อยละ 44.35) รองลงมาคือ วิทยาศาสตร์ (ร้อยละ 38.71) โดยกลุ่มสาระภาษาไทยและวิทยาศาสตร์ นักเรียนส่วนใหญ่มีผลการประเมินในระดับพอใช้ รองลงมาคือ ระดับดี ส่วนกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับพอใช้ รองลงมาคือ ระดับปรับปรุง ผลการประเมินจำแนกตามสังกัด พบว่า นักเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มสาระภาษาไทย วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เมื่อพิจารณาตามขนาดโรงเรียน พบว่า โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงสุดทุกกลุ่มสาระ เช่นเดียวกันกับนักเรียนในภาคตะวันตก แต่นักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละต่ำสุด สำหรับรูปแบบของข้อสอบ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ทำข้อสอบเชิงซ้อนได้มากที่สุด แต่ทำข้อสอบแบบตอบสั้นและตอบอิสระได้น้อย สำหรับผลการวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบ ได้ค่าความเที่ยงของกลุ่มสาระภาษาไทย เท่ากับ 0.78 คณิตศาสตร์ เท่ากับ 0.66 วิทยาศาสตร์ เท่ากับ 0.76 และ ภาษาอังกฤษ เท่ากับ 0.82 โดยทุกกลุ่มสาระยกเว้นกลุ่มสาระภาษาไทยมีจำนวนข้อสอบยากและค่อนข้างยากเกินกว่าร้อยละ 50


ปัจจัยแห่งความสำเร็จของมหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืน, โมทนา สิทธิพิทักษ์, สิริฉันท์ สถิรกุล เตชพาหพงษ์, พันธ์ศักดิ์ พลสารัมย์ Apr 2021

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของมหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืน, โมทนา สิทธิพิทักษ์, สิริฉันท์ สถิรกุล เตชพาหพงษ์, พันธ์ศักดิ์ พลสารัมย์

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จในการพัฒนาไปสู่มหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืน ซึ่งศึกษาข้อมูลการดำเนินการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนงาน และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จของมหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืนมี 4 ปัจจัย ประกอบด้วย ปัจจัยที่ 1 การกําหนดนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวหรือมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืน ที่ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งทางด้านกายภาพและการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาคมในมหาวิทยาลัย ปัจจัยที่ 2 การมีส่วนร่วมของทุกคน โดยเฉพาะผู้บริหารรวมถึงการแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อดําเนินการตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจน ปัจจัยที่ 3 การกําหนดตัวชี้วัด เป้าหมาย การติดตาม ประเมินผลการโครงการและกิจกรรม โดยใช้กระบวนการคุณภาพ (P-D-C-A) ปัจจัยที่ 4 การเรียนรู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วนของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรสายสนับสนุน รวมถึงนิสิตนักศึกษา ให้ใส่ใจ มีความรู้ ความตระหนักและพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม


แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น, ชมพูนุช จูฑะเศรษฐ์, สุรพงษ์ บ้านไกรทอง Apr 2021

แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น, ชมพูนุช จูฑะเศรษฐ์, สุรพงษ์ บ้านไกรทอง

Journal of Education Studies

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ครูผู้สอนวิชาดนตรีไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนทฤษฎีดนตรีไทย จำนวน 6 ท่าน สังเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้การสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (analytic induction) ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การกำหนดจุดประสงค์ ควรชัดเจนและมุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะ ความรู้และทัศนคติที่ดีในทางดนตรีไทย 2) การกำหนดเนื้อหาสาระ ควรกำหนดให้เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผู้สอนควรให้นักเรียนรู้จักประเภทและหน้าที่ของวงดนตรีไทย ประเภทของเพลงไทยเดิม โดยเน้นการฟังเพลงมากกว่าการสอนบรรยาย มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องเสียงของเครื่องดนตรีไทย เน้นการปูพื้นฐานความรู้ด้านดนตรีเบื้องต้นเพื่อสุนทรียภาพ เช่น วิธีการฟังเพลงไทยและการอ่านโน้ต โดยเริ่มจากเพลงที่ง่ายไปสู่เพลงที่ซับซ้อน 3) การกำหนดรูปแบบวิธีการสอน เน้นการเรียนรู้ทฤษฎีผ่านกิจกรรมการสอนแบบ Active learning ที่สนุกสนาน น่าสนใจ เข้ากับชีวิตประจำวันและสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มุ่งการสร้างผู้ฟังดนตรีไทยให้มากกว่าการสร้างนักดนตรีไทยมืออาชีพ 4) วิธีการวัดประเมินผล ควรจะใช้วิธีการที่หลากหลาย ปรับเปลี่ยนได้ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การอภิปรายในชั้นเรียน และการประเมินผลตามสภาพจริง


การออกแบบสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านม่วงฝ้าย จังหวัดสระบุรี, อัธยานันท์ จิตรโรจนรักษ์, มณฑล จันทร์แจ่มใส Apr 2021

การออกแบบสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านม่วงฝ้าย จังหวัดสระบุรี, อัธยานันท์ จิตรโรจนรักษ์, มณฑล จันทร์แจ่มใส

Journal of Education Studies

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำต้นแบบทางเลือกสนามเด็กเล่นที่ส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาทักษะการเรียนรู้แก่เด็กปฐมวัย ขั้นตอนการดำเนินการ ประกอบด้วย (1) การประสานความร่วมมือและเตรียมความพร้อมของเครือข่าย (2) การสำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูล (3) การวิเคราะห์ข้อมูล (4) การสังเคราะห์ข้อมูลและออกแบบทางเลือก (5) การออกแบบและผลิตผลงานขั้นสุดท้าย และ (6) การประเมินผลและสรุปผล ผลการวิจัย พบว่า ต้นแบบทางเลือกสนามเด็กเล่น จำนวน 6 รูปแบบ คำนึงถึงการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ประกอบด้วยองค์ประกอบของสนามเด็กเล่นที่ดี 4 ส่วน ได้แก่ สนามเด็กเล่นอเนกประสงค์ บ่อทราย บริเวณเงียบสงบ และสถานที่เล่นเกมส์ มีอุปกรณ์ที่เป็นไม้ไผ่และยางรถยนต์ตามข้อเสนอแนะของทางโรงเรียน


เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Ai กับการแบ่งกลุ่มข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการเรียนรู้การแบ่งกลุ่มข้อมูลชนิด K-Mean, สุริยัน เขตบรรจง, วิลัยวรรณ มาวัน Apr 2021

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Ai กับการแบ่งกลุ่มข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการเรียนรู้การแบ่งกลุ่มข้อมูลชนิด K-Mean, สุริยัน เขตบรรจง, วิลัยวรรณ มาวัน

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาผลการจัดกลุ่มข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI แบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็น กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง กลุ่มอ่อน และเพื่อศึกษาผลการจัดกลุ่มข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI แบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของรายวิชาเป็น กลุ่มเด่น กลุ่มกลาง กลุ่มด้อย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนสามเสนนอก (ประชาราษฎร์อนุกูล) สำนักงานเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร จำนวน 33 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายด้วยวิธีจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI โดยใช้วิธีการเรียนรู้การแบ่งกลุ่มข้อมูลชนิด K-mean ผลการวิจัย พบว่า การแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็น กลุ่มเก่ง 11 คน กลุ่มปานกลาง 11 คน กลุ่มอ่อน 11 คน และการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของรายวิชาเป็น กลุ่มเด่น 4 รายวิชา กลุ่มกลาง 3 รายวิชา กลุ่มด้อย 3 รายวิชา โดยมีรายวิชาที่เด่นสุดคือ วิชาประวัติศาสตร์ รองลงมาคือ วิชาการงานอาชีพ และรายวิชาที่ด้อยสุดคือ วิชาภาษาอังกฤษ


การศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา, ทัศพร ปูมสีดา, ชญาพิมพ์ อุสาโห, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ Apr 2021

การศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา, ทัศพร ปูมสีดา, ชญาพิมพ์ อุสาโห, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์

Journal of Education Studies

งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบแนวคิดการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ตัวอย่าง คือ โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จํานวน 375 โรง ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จํานวน 500 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ คkาความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ลําดับความตqองการจําเป็น โดยใช้ PNImodified ผลการวิจัย พบว่า 1) กรอบแนวคิดการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย 2 แนวคิด ได้แก่ 1.1) การบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ประกอบด้วย การบริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป 1.2) คุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2) สภาพปัจจุบันของการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมพบว่าอยู่ในระดับ มาก (3.82) ในขณะที่สภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (4.68) ยิ่งไปกว่านั้นสภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยสูง กว่าสภาพปัจจุบันในทุกด้าน ส่วนค่าความต้องการจําเป็นเมื่อพิจารณาตามขอบข่ายการบริหารงาน พบว่า ด้าน การบริหารวิชาการ (0.235) มีค่าความต้องการจําเป็นสูงสุด เมื่อพิจารณาตามคุณภาพการศึกษา พบว่า ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (0.246) มีค่าความต้องการจําเป็นสูงสุด


การจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติเพื่อพัฒนาความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 รายวิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน, อลงกรณ์ เกิดเนตร, สมยศ เผือดจันทึก Apr 2021

การจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติเพื่อพัฒนาความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 รายวิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน, อลงกรณ์ เกิดเนตร, สมยศ เผือดจันทึก

Journal of Education Studies

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาก่อนและหลังการทดลอง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติ เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติ แบบประเมินความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติ ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติสามารถพัฒนานักศึกษาให้มีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมได้ในระดับดี (Mu = 4.42, Sigma = .13) 2. การจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติสามารถพัฒนาความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง (d = +26.53) 3. นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติในระดับมากที่สุด (Mu = 4.70, Sigma = .31) โด โดยมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุดเท่ากัน 4 รายการ (Mu = 4.82, Sigma = .39) ได้แก่ 1) นักศึกษาได้รับการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ 2) ผู้สอนมีความสามารถในการอธิบายและถ่ายทอดความรู้ 3) ผู้สอนเปิดโอกาสให้สอบถามและแสดงความคิดเห็น 4) ผู้สอนมีเวลาให้เข้าพบหรือปรึกษานอกเวลา


การนำเสนอแนวทางสำหรับครูในการพัฒนาคุณลักษณะเด็กอนุบาลไทยสู่ประชาคมอาเซียน, ปนัฐษรณ์ จารุชัยนิวัฒน์, นัทธมน บุญสิงห์ Apr 2021

การนำเสนอแนวทางสำหรับครูในการพัฒนาคุณลักษณะเด็กอนุบาลไทยสู่ประชาคมอาเซียน, ปนัฐษรณ์ จารุชัยนิวัฒน์, นัทธมน บุญสิงห์

Journal of Education Studies

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของครูในการพัฒนาคุณลักษณะเด็กอนุบาลไทยสู่ประชาคมอาเซียน และ 2) เสนอแนวทางสำหรับครูในการพัฒนาคุณลักษณะเด็กอนุบาลไทยสู่ประชาคมอาเซียน ตัวอย่าง คือ ครูอนุบาลโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 397 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแนวคำถามในการประชุมกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าเฉลี่ยการพัฒนาคุณลักษณะเด็กอนุบาลไทยสู่ประชาคมอาเซียนในสภาพที่เป็นจริงแตกต่างจากสภาพที่ควรจะเป็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกด้าน 2) แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะเด็กอนุบาลไทยสู่ประชาคมอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ 2.1) ครูควรจัดเวลาในการดูแลตนเองเพื่อเป็นแบบอย่างในการมีสุขภาวะทางกายและใจที่ดี และกระทรวงศึกษาธิการควรจัดทำคู่มือครู 2.2) ครูควรจัดกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นมิตรไมตรีต่อกัน และผู้บริหารโรงเรียนควรพัฒนาความรู้ความเข้าใจของครู 2.3) ครูควรปรับเปลี่ยนวิธีสอนเกี่ยวกับอาเซียนโดยเริ่มจากเรื่องราวใกล้ตัวเด็ก จากนั้นจึงสอนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศในอาเซียน และผู้บริหารโรงเรียนควรกำหนดการสร้างเจตคติที่ดีต่ออาเซียนไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา


การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4, พิชญา กล้าหาญ, วิสูตร โพธิ์เงิน Apr 2021

การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4, พิชญา กล้าหาญ, วิสูตร โพธิ์เงิน

Journal of Education Studies

การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน 2) เพื่อประเมินความเป็นนวัตกรของนักเรียนหลังจากจัดกิจกรรมเรียนรู้ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเป็นนวัตกร แบบประเมินผลงาน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน มีลักษณะมุ่งเน้นให้นักเรียนทำความเข้าใจกับปัญหาโดยผ่านการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาหรือสถานการณ์ปัญหา อาศัยการทำงานร่วมกัน มีการวางแผนดำเนินการ ค้นคว้า วิเคราะห์ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ พัฒนาเป็นชิ้นงานหรือผลงานเพื่อแก้ปัญหาโดยอาศัยความรู้และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นเตรียมการและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง 2) ขั้นตั้งกรอบปัญหา 3) ขั้นการวางแผน/ระดมความคิด 4) ขั้นสร้างต้นแบบ และ 5) ขั้นทดสอบและประเมิน กิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.28/83.86 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ผลการประเมินความเป็นนวัตกรอยู่ในระดับดี และผลงานของนักเรียนอยู่ในระดับดี 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานภาพรวมอยู่ในระดับมาก


ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเสริมต่อศักยภาพการเรียนรู้ที่มีต่อความรับผิดชอบและทักษะการตีโต้หน้ามือในกีฬาเทเบิลเทนนิส, เอก แซ่จึง, รุ่งระวี สมะวรรธนะ Apr 2021

ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเสริมต่อศักยภาพการเรียนรู้ที่มีต่อความรับผิดชอบและทักษะการตีโต้หน้ามือในกีฬาเทเบิลเทนนิส, เอก แซ่จึง, รุ่งระวี สมะวรรธนะ

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเสริมต่อศักยภาพการเรียนรู้ที่มีต่อความรับผิดชอบและทักษะการตีโต้หน้ามือในกีฬาเทเบิลเทนนิส ตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบทดสอบความรับผิดชอบและแบบวัดทักษะการตีโต้หน้ามือ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการตีโต้หน้ามือหลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีคะแนนความรับผิดชอบหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการตีโต้หน้ามือหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่มีคะแนนความรับผิดชอบหลังการทดลองไม่แตกต่างจากก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการตีโต้หน้ามือและความรับผิดชอบหลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ผลการใช้กิจกรรม "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" โดยใช้ศิลปะมวยไทยที่่มีต่อทักษะการป้องกันตนเองของนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาตอนต้น, กิตติศักดิ์ เพ็ญโรจน์, จินตนา สรายุทธพิทักษ์ Jan 2021

ผลการใช้กิจกรรม "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" โดยใช้ศิลปะมวยไทยที่่มีต่อทักษะการป้องกันตนเองของนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาตอนต้น, กิตติศักดิ์ เพ็ญโรจน์, จินตนา สรายุทธพิทักษ์

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้กิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้โดยใช้ศิลปะมวยไทยที่มีต่อทักษะการป้องกันตนเองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 60 คน โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน ใช้แผนกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ โดยใช้ศิลปะมวยไทย และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน ใช้แผนแบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบทดสอบทักษะการป้องกันตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการป้องกันตนเอง หลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการป้องกันตนเอง หลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


การเตรียมความพร้อมเพื่อการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร, ฐิตินันทน์ ผิวนิล Jan 2021

การเตรียมความพร้อมเพื่อการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร, ฐิตินันทน์ ผิวนิล

Journal of Education Studies

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อการสอบ O-NET ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร และ 2) ศึกษาแนวทางเสริมสร้างความพร้อมเพื่อการสอบ O-NET สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามกับนักเรียน จำนวน 731 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลกลุ่มครูและผู้บริหารโรงเรียนด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 18 คน และสัมภาษณ์กลุ่มนักเรียน จำนวน 15 คน พื้นที่ในการศึกษา คือ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครที่มีการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 9 แห่ง ดำเนินการวิจัยในเดือนมีนาคม-สิงหาคม 2562 ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการเตรียมความพร้อมของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การมีเจตคติเชิงบวกต่อการสอบ การสนับสนุนจากผู้ปกครอง และการสนับสนุนจากโรงเรียน โดยตัวแปรการได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากที่สุด สำหรับแนวทางในการเสริมสร้างความพร้อมเพื่อการสอบ O-NET สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นั้น ควรการส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างครู ผู้ปกครอง และโรงเรียน โดยส่งเสริมบทบาทของผู้ปกครองในการสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของนักเรียนให้มากขึ้น


การเรียนรู้ของชุมชนภายใต้โครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร, พรทิพย์ ติลากานันท์, อุบลวรรณ หงส์วิทยากร, สันติ ศรีสวนแตง Jan 2021

การเรียนรู้ของชุมชนภายใต้โครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร, พรทิพย์ ติลากานันท์, อุบลวรรณ หงส์วิทยากร, สันติ ศรีสวนแตง

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้าง-ปฏิสัมพันธ์ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหารของชุมชน และวิเคราะห์การเรียนรู้ของชุมชนภายใต้โครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ใช้วิธีการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสำรวจข้อมูลจากผู้ผลิตและผู้บริโภคในชุมชนที่มีการปฏิบัติดี (best practice) จำนวน 6 ชุมชน จาก 6 ภูมิภาค วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า โครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหารของชุมชน แบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ 1) แบบกลุ่มการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหารในชุมชน 2) แบบชุมชนพึ่งตนเอง 3) แบบเครือข่ายชุมชน ซึ่งในแต่ละแบบมีช่วงของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ภายใต้โครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ฯ แบ่งการเรียนรู้ของชุมชนได้เป็น 3 แบบ คือ 1) แบบกลุ่มการสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหารในชุมชน 2) แบบชุมชนเป็นฐาน 3) แบบเครือข่ายชุมชน ซึ่งแบ่งการเรียนรู้ได้เป็น 3 ระยะ คือ (1) การเรียนรู้เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิต วิถีชุมชนและการพึ่งตนเองฯ (2) การเรียนรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนชุมชนสู่การสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร และ (3) การเรียนรู้ร่วมกันของชุมชนเพื่อสร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร


สู่ความสำเร็จของการนิเทศด้วยพฤติกรรมการนิเทศที่เหมาะสม, ศุภวิชญ์ ศิริผลวุฒิชัย, จุไรรัตน์ สุดรุ่ง Jan 2021

สู่ความสำเร็จของการนิเทศด้วยพฤติกรรมการนิเทศที่เหมาะสม, ศุภวิชญ์ ศิริผลวุฒิชัย, จุไรรัตน์ สุดรุ่ง

Journal of Education Studies

การนิเทศเป็นการพัฒนาครูให้สามารถปฏิบัติงานของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลไปถึงผู้เรียนได้อย่างชัดเจน ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ผู้นิเทศควรมีความรู้ความเข้าใจและมีความสามารถในการนิเทศ โดยเฉพาะการใช้พฤติกรรมการนิเทศให้เหมาะสมสอดคล้องกับความแตกต่างของครูผู้รับการนิเทศ พฤติกรรมการนิเทศ ประกอบด้วย 1) พฤติกรรมการนิเทศแบบชี้นำควบคุม 2) พฤติกรรมการนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูล 3) พฤติกรรมการนิเทศแบบร่วมมือ และ 4) พฤติกรรมการนิเทศแบบไม่ชี้นำ การที่ผู้นิเทศตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พฤติกรรมการนิเทศให้สอดคล้องกับความแตกต่างและความคาดหวังของครูผู้รับการนิเทศจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้การนิเทศประสบความสำเร็จได้


รูปแบบการจัดการห้องสมุดดิจิทัลที่มีประสิทธิผลสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ, อุไรวรรณ เสียงล้ำ, วีระวัฒน์ อุทัยรัตน์ Jan 2021

รูปแบบการจัดการห้องสมุดดิจิทัลที่มีประสิทธิผลสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ, อุไรวรรณ เสียงล้ำ, วีระวัฒน์ อุทัยรัตน์

Journal of Education Studies

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพ กำหนดรูปแบบการจัดการห้องสมุดดิจิทัลที่มีประสิทธิผลสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ตัวอย่าง คือ ห้องสมุดดิจิทัล จำนวน 290 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหาร หัวหน้าครูบรรณารักษ์ รวมทั้งสิ้น 580 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี principal-component analysis (PC) และวิธีหมุนแกนออโธกอนอลแบบวาริแมกซ์ (varimax orthogonal) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า สภาพการจัดการห้องสมุดดิจิทัลฯ ในภาพรวมมีประสิทธิผลในระดับมาก รูปแบบการจัดการห้องสมุดดิจิทัลฯ เป็นชุดของเนื้อหา วัตถุประสงค์ กระบวนการ วิธีการ และการประเมินผล โดยมีองค์ประกอบด้านการจัดการ ได้แก่ ด้านการวางแผน ด้านการปฏิบัติ ด้านการกำกับ และตรวจประเมิน รูปแบบการจัดการห้องสมุดดิจิทัลฯ ที่สร้างขึ้น ในภาพรวมมีความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ขณะที่ข้อมูลมีการกระจายตัวน้อย


ผลของการสอนแบบอุปนัยในรายวิชาการสอนแบบมอนเตสซอรี่ที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย, สุทธิพรรณ ธีรพงศ์, จุฬินฑิพา นพคุณ, ขวัญใจ จริยาทัศน์กร Jan 2021

ผลของการสอนแบบอุปนัยในรายวิชาการสอนแบบมอนเตสซอรี่ที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย, สุทธิพรรณ ธีรพงศ์, จุฬินฑิพา นพคุณ, ขวัญใจ จริยาทัศน์กร

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาที่เรียนรายวิชาการสอนแบบมอนเตสซอรี่ด้วยวิธีการสอนแบบอุปนัย และความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนในรายวิชาตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการสอนแบบมอนเตสซอรี่ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 48 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ 5 ด้าน และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า หลังเรียนรายวิชาการสอนแบบมอนเตสซอรี่ด้วยวิธีการสอนแบบอุปนัย ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยคะแนนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อรายวิชาอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงที่สุด คือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ รองลงมาคือ ด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน ด้านบรรยากาศในการเรียน และด้านการจัดการความรู้ ตามลำดับ


การพัฒนากระบวนการสอบ E-Testing ของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย, สุภมาส อังศุโชติ, รัชนีกูล ภิญโญภานุวัฒน์, รัชกฤช ธนพัฒนดล, ศิริรัตน์ จำแนกสาร Jan 2021

การพัฒนากระบวนการสอบ E-Testing ของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย, สุภมาส อังศุโชติ, รัชนีกูล ภิญโญภานุวัฒน์, รัชกฤช ธนพัฒนดล, ศิริรัตน์ จำแนกสาร

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจความต้องการระบบ E-testing ของมหาวิทยาลัยที่ร่วมจัดการเรียนการสอนในโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย 2) ออกแบบระบบ E-testing ของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย 3) จำลองการสอบโดยใช้โมเดลต้นแบบ (prototype model) ระบบ E-testing ของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ตัวอย่าง คือ อาจารย์ที่รับผิดชอบชุดวิชาที่เปิดสอนออนไลน์ และเจ้าหน้าที่ที่ทำการผลิตบทเรียนออนไลน์ จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้างและแบบบันทึกการระดมความคิดเห็น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการของระบบ E-testing ได้ผลสรุปภาพรวมเกี่ยวกับ (1) วัตถุประสงค์ของการสอบ (2) คุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนสอบ (3) ค่าธรรมเนียมการสอบ (4) ช่วงเวลาการสอบ (5) การเป็นศูนย์สอบ (6) ข้อสอบที่ใช้สอบ 2) ระบบ E-testing ของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 7 ระบบ ได้แก่ (1) ระบบสมัครสมาชิกและลงทะเบียนสอบ (2) ระบบจัดการสอบ (3) ระบบจัดการข้อสอบและแบบทดสอบ (4) ระบบควบคุมการสอบ (5) ระบบทดสอบ (6) ระบบตรวจข้อสอบอัตนัย (7) ระบบรายงานผลและข้อมูลสถิติ 3) ผลการใช้งานระบบ E-testing เพื่อจำลองการทดสอบ พบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงผลลัพธ์ของหน้าจอได้ถูกต้องตามที่ได้ออกแบบไว้ทุกประการ


รูปแบบการเรียนรู้บนฐานทุนทางสังคมเพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ, นิสรา ใจซื่อ, จรูญศรี มาดิลกโกวิท Jan 2021

รูปแบบการเรียนรู้บนฐานทุนทางสังคมเพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ, นิสรา ใจซื่อ, จรูญศรี มาดิลกโกวิท

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทุนทางสังคมของชุมชนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ 2) วิเคราะห์การเรียนรู้การใช้ทุนทางสังคมของชุมชนเพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ 3) นำเสนอรูปแบบการเรียนรู้บนฐานทุนทางสังคมของชุมชนเพื่อตั้งรับ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาภาคสนาม 2 ชุมชน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัย พบว่า 1) ทุนทางสังคม ประกอบด้วย ทุนมนุษย์ ทุนประเพณี วัฒนธรรม และทุนสถาบัน 2) การเรียนรู้การใช้ ทุนทางสังคมเพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วย วิธีการเรียนรู้ จำนวน 11 วิธี เนื้อหา/ องค์ความรู้ จำนวน 15 เรื่อง แหล่งเรียนรู้ จำนวน 10 แหล่ง และกลไกการขับเคลื่อนการเรียนรู้ จำนวน 9 กลไก 3) รูปแบบการเรียนรู้บนฐานทุนทางสังคมของชุมชนเพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วย 1) รูปแบบผู้นำขับเคลื่อนชุมชน 2) รูปแบบสมาชิกในชุมชนขับเคลื่อนชุมชน และ 3) รูปแบบหน่วยงานภายนอกขับเคลื่อนชุมชน


กลยุทธ์การกำหนดนโยบายและการนำนโยบายสู่การปฏิบัติสำหรับนโยบายการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน, ศรีดา ตันทะอธิพานิช, ชญาพิมพ์ อุสาโห, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ Jan 2021

กลยุทธ์การกำหนดนโยบายและการนำนโยบายสู่การปฏิบัติสำหรับนโยบายการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน, ศรีดา ตันทะอธิพานิช, ชญาพิมพ์ อุสาโห, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์

Journal of Education Studies

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคาม และพัฒนากลยุทธ์การกำหนดนโยบายและการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ สำหรับนโยบายการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน ตัวอย่าง คือ คณะกรรมการบริหารนโยบาย จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 145 แห่ง โรงเรียน 345 โรง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยสถิติพื้นฐาน PNImodified และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบาย คือ นักการเมือง สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ ได้แก่ การประชุมหารือ สำรวจความพร้อม และวางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน 2) จุดแข็ง ได้แก่ นโยบายเป็นประโยชน์ต่อสังคม กำหนดเป้าหมาย แบบแผนการควบคุม กลไกการกำกับติดตาม และค่านิยมการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ จุดอ่อน ได้แก่ การขาดการมีส่วนร่วม การกำหนดเกณฑ์ของความสำเร็จและขั้นตอนการปฏิบัติ นโยบายด้านการศึกษาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นโอกาส สภาพเศรษฐกิจและสังคมเป็นภาวะคุกคาม 3) กลยุทธ์การกำหนดนโยบาย (1) ยกระดับการยอมรับ (2) กำหนดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ กลยุทธ์การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ได้แก่ (1) กำหนดความรับผิดชอบในแต่ละระดับ (2) ยึดมั่นหลักธรรมาภิบาล และ (3) กำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน


ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความมุ่งมั่นในการทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2, มารุต ศักดิ์แสงวิจิตร, ทิวัตถ์ มณีโชติ Jan 2021

ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความมุ่งมั่นในการทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2, มารุต ศักดิ์แสงวิจิตร, ทิวัตถ์ มณีโชติ

Journal of Education Studies

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู 2) ศึกษาระดับความมุ่งมั่นในการทำงานของครู และ 3) เพื่อวิเคราะห์ผลของภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความมุ่งมั่นในการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 จำนวน 357 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .987 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู อยู่ในระดับมาก 2) ความมุ่งมั่นในการทำงานของครู อยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความุ่งมั่นในการทำงานของครู พบว่ามี 2 ด้านที่ส่งผล คือ ด้านการสอนงาน และด้านความสามารถในการรับฟัง มีค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์ เท่ากับ .801 อธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 64.20


การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร หมวดวิชาศึกษาทั่วไปของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน, พิชญาวี ทองกลาง, วรกุล เชวงกูล Jan 2021

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร หมวดวิชาศึกษาทั่วไปของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน, พิชญาวี ทองกลาง, วรกุล เชวงกูล

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร หมวดวิชาศึกษาทั่วไปของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่าง จำนวน 76 คน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าเฉลี่ย (M = 7.09) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD = 1.31) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย (M = 16.58) หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (M = 19.20) และมีค่าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการแสดงความพึงพอใจมากที่สุดในแต่ละด้าน พบว่า นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน จัดสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนแบบผสมผสานได้อย่างเหมาะสม มีกิจกรรมการเรียนการสอนทำให้เข้าใจเนื้อหา มีความสนใจศึกษา จดจำเนื้อหาได้นาน สร้างความรู้และความเข้าใจด้วยตนเองได้ โดยมีค่าเฉลี่ย (M = 3.85) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD = 0.69) ภาพรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า อาจารย์สร้างบรรยากาศให้เป็นกันเองกับนักศึกษา กิจกรรมส่งเสริมให้นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนความรู้และแสดงความคิดเห็น การจัดการเรียนการสอนทำให้ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้นและร่วมงานกับผู้อื่นได้


การบริหารงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดการพัฒนาพลเมืองคุณภาพ, เสาวภา นิสภโกมล, วลัยพร ศิริภิรมย์, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ Jan 2021

การบริหารงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดการพัฒนาพลเมืองคุณภาพ, เสาวภา นิสภโกมล, วลัยพร ศิริภิรมย์, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์

Journal of Education Studies

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรอบแนวคิด สภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดการพัฒนาพลเมืองคุณภาพ ตัวอย่าง คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 385 โรง ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ และครู รวม 973 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) กรอบแนวคิดการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การนิเทศการสอน การพัฒนาและการใช้สื่อเทคโนโลยี การวัดและประเมินผล ส่วนกรอบแนวคิดการพัฒนาพลเมืองคุณภาพ ประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ ได้แก่ มีความคิดสร้างสรรค์และมีความคิดเชิงวิพากษ์ มีความสามารถในด้านเศรษฐกิจ มีคุณธรรมและมีความรับผิดชอบ 2) สภาพปัจจุบันของการบริหารงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาฯ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การจัดการเรียนการสอน (M = 3.84) ส่วนสภาพพึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาฯ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การจัดการเรียนการสอน (M = 4.67) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยี (M = 3.74)


การพัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Steam ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรและผลงานสร้างสรรค์หุ่นกระบอก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น, ปรัชญา ซื่อสัตย์, วิสูตร โพธิ์เงิน Jan 2021

การพัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Steam ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรและผลงานสร้างสรรค์หุ่นกระบอก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น, ปรัชญา ซื่อสัตย์, วิสูตร โพธิ์เงิน

Journal of Education Studies

การวิจัยมีวัตถุประสงค์ คือ สร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ชุมนุม หุ่นกระบอก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ประเด็นสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ ชุดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน แบบสังเกตความเป็นนวัตกร แบบประเมินผลงานหุ่นกระบอก และแบบสอบถามความพึงพอใจ ค่าสถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ชุดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมและแผนการจัดการเรียนรู้ คำชี้แจง เนื้อหาและสื่อการสอน และการวัดและประเมินผล หลังการทดลองใช้ชุดกิจกรรม พบว่า (1) ความเป็นนวัตกรของนักเรียน อยู่ในระดับมาก (2) ผลงานสร้างสรรค์หุ่นกระบอกของนักเรียน อยู่ในระดับดีมาก และ (3) ความพึงพอใจของนักเรียน อยู่ในระดับมาก ในการนำชุดกิจกรรมไปใช้ ควรเพิ่มระยะเวลาในการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนได้ทำการทดลองและลองผิดลองถูกในการสร้างสรรค์ผลงาน และควรมีการให้ความรู้เบื้องต้นแก่นักเรียนเกี่ยวกับการทำโครงงาน และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้วางแผนการทำงานของตนเอง


การพัฒนากระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูง, อภิสิทธิ์ พึ่งพร, กรรณิการ์ สัจกุล Jan 2021

การพัฒนากระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูง, อภิสิทธิ์ พึ่งพร, กรรณิการ์ สัจกุล

Journal of Education Studies

วัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อ 1) พัฒนาตัวชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูง 2) วิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูง และ 3) เสนอแนะแนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูง ผลการศึกษา พบว่า ตัวชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูงมี 4 ตัว ได้แก่ การรักษาความเชื่อและค่านิยมของคนกะเหรี่ยงที่มีต่อธรรมชาติ การรักษาวิถีการปลูกข้าวเชิงประเพณี การรักษาภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการรักษาจริยธรรมของชุมชน การพัฒนาให้ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่สูงมีความยั่งยืนได้ จำเป็นต้องฟื้นฟูภูมิปัญญาของชุมชน ประกอบด้วยคุณธรรม 7 ประการ คือ การไม่ครอบครอง การสำนึกในบุญคุณ ความพอเพียง ความเป็นธรรม การช่วยเหลือกัน การเคารพผู้อาวุโสและคนดี และการมีส่วนร่วมของชุมชน และความรู้ 12 เรื่องที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในพื้นที่สูง รวมทั้งการประยุกต์ความรู้ใหม่ด้านการดูแลสุขภาพอนามัยและการบริหารจัดการชุมชน ส่วนวิธีจัดการเรียนรู้นั้นต้องผสมผสานการเรียนรู้เชิงประเพณีของชุมชน 4 รูปแบบไว้ควบคู่ไปกับการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง มีการประสานบทบาทของผู้นำทางการและผู้นำตามธรรมชาติให้สอดคล้องกันในการขับเคลื่อนการพัฒนาและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน


หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล : หลักสูตรในศตวรรษที่ 21, อธิป หัตถกี, จุไรรัตน์ สุดรุ่ง Jan 2021

หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล : หลักสูตรในศตวรรษที่ 21, อธิป หัตถกี, จุไรรัตน์ สุดรุ่ง

Journal of Education Studies

ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ คือ การศึกษา ซึ่งการเพิ่มศักยภาพการจัดการศึกษาไทยให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีโลกในยุคศตวรรษที่ 21 นั้น โรงเรียนต้องเป็นหน่วยบริการทางการศึกษาในมิติที่กว้างขึ้น และหลักสูตรการเรียนการสอนต้องมีความเป็นสากล โรงเรียนมาตรฐานสากลมีจุดเด่น คือ เป็นหลักสูตรที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เน้นการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง การยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากลต้องดำเนินการพัฒนาใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการพัฒนาหลักสูตรให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล 2) ด้านการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ โดยใช้ภาษาอังกฤษ 3) ด้านการพัฒนาครูผู้สอนในสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศที่สอง 4) ด้านการพัฒนาผู้บริหารโรงเรียน และ 5) ด้านการพัฒนาระบบการบริหารโรงเรียน


บทเรียนฝึกทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาสมรรถนะผู้เรียนระดับประถมศึกษา, วิชัย พาณิชย์สวย, สุมน ไวยบุญญา Jan 2021

บทเรียนฝึกทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาสมรรถนะผู้เรียนระดับประถมศึกษา, วิชัย พาณิชย์สวย, สุมน ไวยบุญญา

Journal of Education Studies

โลกปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลและข่าวสาร ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาและข้อมูลข่าวสารได้ง่ายและรวดเร็วผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ มากมาย แต่ผู้เรียนยังขาดทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นในการจัดการกับความรู้ให้สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ขาดกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะที่สำคัญ แนวคิดที่สนับสนุนความสำคัญของสมรรถนะ คือ ความฉลาดทางปัญญา (IQ) ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ดีของผลงานและความสำเร็จโดยรวม แต่สมรรถนะกลับเป็นสิ่งที่สามารถคาดหมายความสำเร็จในงานได้ดีกว่า ทั้งนี้เพราะผู้ประสบความสำเร็จในงานจะสามารถประยุกต์ใช้หลักการหรือความรู้ที่ตนมีอยู่ก่อให้เกิดประโยชน์ในงานที่ตนทำได้ ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาการจัดการศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนจุดเน้นของกระบวนการเรียนรู้จากฐานเนื้อหา (content-based) ไปเป็นฐานสมรรถนะ (competency-based) ครูในฐานะผู้ปฏิบัติจึงมีบทบาทโดยตรงต่อการนำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้สู่ชั้นเรียน บทความนี้จะเสนอบทเรียนที่เน้นฝึกทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่สอดรับกับแนวข้อสอบ PISA ที่เน้นประเมินสมรรถนะผู้เรียน โดยไม่เน้นการประเมินด้านเนื้อหา (content) เพียงด้านเดียว แต่ให้ความสำคัญกับด้านกระบวนการทางคณิตศาสตร์ (process) และด้านสถานการณ์หรือบริบท (contexts) ควบคู่กันไป ซึ่งหลังจากนำบทเรียนนี้ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 850 คน พบว่า ตัวอย่างมีคะแนนความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นสมรรถนะหลักสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 จึงหวังได้ว่า บทเรียนนี้จะช่วยให้ครูใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาสมรรถนะให้เกิดกับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี


แนวทางการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับเด็กปฐมวัย : เหตุการณ์การกราดยิง, ตวงพร เพ็งสกุล, สุพัตรา ตรีวิเศษ, อภิสรา ราชนาวงศ์, อังคณา ห้วยระหาญ, อัญชนา ห้อยมาลา, มานิตา ลีโทชวลิต อรรถนุพรรณ, ธิดาพร คมสัน Jan 2021

แนวทางการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับเด็กปฐมวัย : เหตุการณ์การกราดยิง, ตวงพร เพ็งสกุล, สุพัตรา ตรีวิเศษ, อภิสรา ราชนาวงศ์, อังคณา ห้วยระหาญ, อัญชนา ห้อยมาลา, มานิตา ลีโทชวลิต อรรถนุพรรณ, ธิดาพร คมสัน

Journal of Education Studies

สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน เหตุการณ์การกราดยิงถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งยังไม่มีแนวทางการรับมือที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย บทความนี้นำเสนอแนวทางสำหรับครูปฐมวัยในการรับมือกับเหตุการณ์การกราดยิง ในขณะเกิดเหตุ ครูต้องตั้งสติ พยายามดูแลเด็กให้อยู่ในความสงบ นำเด็กไปหลบในสถานที่ปลอดภัย และเคลื่อนย้ายเด็กให้เร็วและเงียบที่สุด หลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ ครูควรสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็ก โดยประสานขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการสังเกต หากพบพฤติกรรมที่เป็นปัญหาควรหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไข รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้มีความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ดีในการปฏิบัติตนหากต้องประสบกับเหตุการณ์การกราดยิงโดยการบูรณาการในกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม


การพัฒนาหลักสูตรพหุวัฒนธรรมศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายขอบ, พิสิษฏ์ นาสี Jan 2021

การพัฒนาหลักสูตรพหุวัฒนธรรมศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายขอบ, พิสิษฏ์ นาสี

Journal of Education Studies

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการศึกษาจากโครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาหลักสูตรพหุวัฒนธรรมศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายขอบ โดยบทความนี้นำเสนอผลของโรงเรียนเทศบาลวัดดอนแก้ว อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โครงการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหา สถานภาพของหลักสูตรและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้านพหุวัฒนธรรมศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายขอบ 2) พัฒนาหลักสูตรพหุวัฒนธรรมศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายขอบ และ 3) จัดทำคู่มือและสื่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้านพหุวัฒนธรรมศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายขอบ โครงการวิจัยประยุกต์ใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และใช้เทคนิคแบบเจาะจงเพื่อเลือกพื้นที่เป้าหมาย คือ โรงเรียนอนุบาลในสังกัดเทศบาลจำนวน 3 แห่งในพื้นที่ชายขอบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกต และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า หลักสูตรของโรงเรียนก่อนหน้านี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมในพื้นที่ จึงได้พัฒนาหลักสูตรพหุวัฒนธรรมศึกษาจำนวนสองหน่วย พร้อมคู่มือที่เป็นกรอบแนวคิดหลักสูตร และแผนการสอนและสื่อหนึ่งชุด ที่มุ่งเน้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมและพหุวัฒนธรรมศึกษามากขึ้น รวมถึงเชื่อมโยงกับนโยบายของโรงเรียน ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับระดับที่ 3 (การเปลี่ยนหลักสูตร) ตามแนวคิดการบูรณาการเนื้อหาพหุวัฒนธรรมศึกษา 4 ระดับ ของ James Banks