Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Law Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Articles 1 - 30 of 46

Full-Text Articles in Law

Proposing A Constructivist Approach To Resolving Trade Conflicts Under The African Continental Free Trade Area Agreement (Afcfta): A Cross-Jurisdictional Analysis, Oluwayesi Sanni Oct 2020

Proposing A Constructivist Approach To Resolving Trade Conflicts Under The African Continental Free Trade Area Agreement (Afcfta): A Cross-Jurisdictional Analysis, Oluwayesi Sanni

LLM Theses

Essentially a research of an interdisciplinary nature, this thesis seeks to carefully combine budding thoughts from two different areas of scholarship in order to present a unique underlying perspective. On the one hand, there is the study of conflict and its resolution from such intrinsic standpoint as to appreciate it as constitutive of the Society with the aim of achieving more wholesome outcomes that accentuates the uniqueness of each society. On the other hand, the recent coming to force of AfCFTA has left so much for scholars to grapple with, including how its dispute settlement regime could reflect more on …


The Province Of (Substantive) Legitimate Expectation In Nigeria's Tax Administration: A Law And Policy Evaluation, Okanga Ogbu Okanga Oct 2020

The Province Of (Substantive) Legitimate Expectation In Nigeria's Tax Administration: A Law And Policy Evaluation, Okanga Ogbu Okanga

LLM Theses

The interplay between tax administration and legitimate expectation has been the subject of debate and scholarship in many jurisdictions. Questions around how much discretion tax authorities should be allowed and whether courts should uphold the (substantive) legitimate expectations of taxpayers – by implication, bind the tax authority – when the tax authority reverses itself on a guidance, promise, position, etc. feature prominently in this conundrum. In Nigeria, the disposition of both the tax authority and the court appears to lean towards outright dismissal of legitimate expectation. Put differently, it seems that the tax authority does not consider itself bound by …


Towards A Better Explanation Of Law And Economics: Revisiting Rational Choice Theory And The Market As A Framework For Legal Decisions, Sophie Stoyan Sep 2020

Towards A Better Explanation Of Law And Economics: Revisiting Rational Choice Theory And The Market As A Framework For Legal Decisions, Sophie Stoyan

Master of Laws Research Papers Repository

As one of the most popular and influential legal ideologies since its inception in the late 1950s and early 1960s, there is a vast wealth of law and economics scholarship with remarkable breadth encompassing nearly every area of law. Yet despite the abundance of scholarship examining legal issues through a law and economics lens, there is comparatively little literature explaining law and economics itself. This paper seeks to overcome this gap in the literature by more clearly explaining the economic concepts on which the theory is built and the connections between these concepts. In other words, this paper aims to …


Economic Analysis Of Vessel Sox Emission Reduction Measures In The Context Of China, Peng Guan Aug 2020

Economic Analysis Of Vessel Sox Emission Reduction Measures In The Context Of China, Peng Guan

World Maritime University Dissertations

No abstract provided.


The Ncaa's Breaking Point For Equal Opportunity: A Title Ix Perspective On Name, Image, And Likeness Sponsorship Legislation, Joshua C. Sorbe Apr 2020

The Ncaa's Breaking Point For Equal Opportunity: A Title Ix Perspective On Name, Image, And Likeness Sponsorship Legislation, Joshua C. Sorbe

Honors Thesis

This paper analyzes the efficacy of Title IX when considering national name, image, and likeness (NIL) legislation and NCAA Division I athletic department expenditure behavior. To answer this question, I analyzed Title IX’s legislative history, current compliance rules, recent litigation, and academic literature. Using publicly-available data reported to the US Department of Education, I performed regression analysis on institutional characteristics and expenditure behaviors to assess the impact that spending behavior has on gender equity. My results show that revenue-generating sports had a large impact on spending equity, and disparities in expenditures are more distinct than participation. Ultimately, the market-based exceptions …


ผลกระทบของการควบคุมความสูงอาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่มีต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ศุภฤกษ์ ไชยมาตย์ Jan 2020

ผลกระทบของการควบคุมความสูงอาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่มีต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ศุภฤกษ์ ไชยมาตย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ในปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ได้มีการเติบโตและพัฒนาเป็นอย่างมาก ทั้งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามย่านธุรกิจต่างๆ และตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร ที่ง่ายต่อการเดินทาง และสะดวกต่อการเข้าถึงนั้น ทำให้ภาคเอกชนต้องการที่จะเข้ามาลงทุน และพัฒนาที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้เป็นพื้นที่เหล่านั้นมีการเติบโตในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก ทั้งจากผู้ลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดความต้องการในตัวที่ดินเพื่อที่จะนำมาพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ราคาที่ดินต่อตารางวาเพิ่มขึ้นในทุกๆปี จากความต้องการในการใช้ที่ดินของผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำการพัฒนาที่ดิน เพื่อพัฒนาในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ตามรูปแบบของธุรกิจที่ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องการจะลงทุน ภายใต้ข้อกำหนดของพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ซึ่งก็คือการสร้างในพื้นที่ที่สามารถสร้างอาคารอยู่อาศัยรวม และอาคารขนาดใหญ่ ได้ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติข้างต้น โดยที่ปัจจุบันหลายโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอาคารสำนักงานให้เช่าในพื้นที่ธุรกิจใจกลางเมือง ( CBD : Central Business District ) ซึ่งโดยเฉพาะอาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A เช่นในเขตพื้นที่เพลินจิต ชิดลม อโศก สีลม และสาทร เป็นต้น พบว่ามีอัตราการเช่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ให้เช่า โดยพบว่าความต้องการของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเพื่อประกอบธุรกิจนั้น เพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 ตารางเมตร ในทุกๆปี โดยมีการคาดว่าพื้นที่อาคารสำนักงานที่ถูกเช่าเพิ่มขึ้นในแต่ละปีจะอยู่ที่ระดับนี้ต่อไป ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการพื้นที่สำนักงานที่มาจากทั้งบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติที่ต้องการเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทย ทำให้มีความต้องการในพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานมากขึ้น และเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นที่น่าสนใจในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งหากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตัดสินใจลงทุนและได้เข้าพัฒนาโครงการ โดยใช้ประโยชน์ในที่ดินตามความสามารถในการพัฒนาที่ดินของผู้ประกอบการแล้วนั้น จะสามารถเพิ่มพื้นที่เช่า และส่งผลต่อรายได้ค่าเช่า และกำไรของกิจการโดยตรงจากการให้เช่าในพื้นที่เช่าได้ตามขนาดการลงทุนของผู้ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยสภาพของการใช้พื้นที่ในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครในปัจจุบันนั้น โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมือง หรือศูนย์กลางเขตธุรกิจ จะพบว่าที่ดินมีราคาค่อนข้างสูงและยากที่จะหาพื้นที่ที่ใหญ่พอจะสร้างอาคารสูงสำหรับพัฒนาโครงการได้ จึงมีโอกาสเป็นไปได้ยากที่จะมีการสร้างอาคารใหม่ๆ ที่มีขนาดใหญ่ได้ ซึ่งหากต้องการพัฒนาที่ได้ในพื้นที่ดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจเลือกที่จะทำการทุบอาคารเดิมของโครงการที่มีอยู่ก่อน เพื่อทำการลงทุนสร้างอาคารใหม่ในพื้นที่เดิม เช่น โครงการโรงแรมดุสิตธานี เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้มีค่าใช่จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับปรับที่ดินให้มีความพร้อมก่อนที่จะเริ่มเข้าไปทำการพัฒนาพื้นที่และพัฒนาโครงการใหม่เกิดขึ้น ผู้ศึกษามองว่า ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ซึ่งจะพบว่าตัวข้อกำหนดมีลักษณะล้าหลัง หากเทียบกับ ความรู้ความสามารถในการก่อสร้าง หรือเทคโนโลยีต่างๆในปัจจุบัน โดยเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์โดยรวม ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงด้านความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งผู้ศึกษามองว่าหากผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหริมทรัพย์สามารถจัดทำ และดูแลกำกับควบคุม ให้โครงการต่างๆ ภายใต้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น การควบคุมความสูงของอาคาร จึงไม่จำเป็นมากนัก หากมีการออกแบบที่เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการก่อสร้างต่างๆ มีการพัฒนาไปอย่างมากการที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องการที่จะสร้างตึกที่สูง แต่สามารถดูแลด้านต่างๆตามที่ข้อกฎหมายได้กำหนดไว้แล้วนั้น ข้อกฎหมายในส่วนที่กำหนดถึงความสูงของอาคารข้างต้น อาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการออกแบบและสร้างอาคาร หากเพียงแค่พิจารณาเฉพาะด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องแทน


การกำกับดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ : กรณีศึกษามาตรการ Ltv (Loan To Value Ratio), นิสาชล กะการัมย์ Jan 2020

การกำกับดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ : กรณีศึกษามาตรการ Ltv (Loan To Value Ratio), นิสาชล กะการัมย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่องการกำกับดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์: กรณีศึกษา มาตรการ LTV (Loan to Value Ratio) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสาระสำคัญของประกาศธนาคาร แห่งประเทศไทยที่ สนส.24/2561 และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส.1/2563 เรื่อง หลักเกณฑ์การกํากับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ลง วันที่ 11 ธันวาคม 2561 และลงวันที่ 20 มกราคม 2563 ตามลําดับ (2) ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส.24/2561 และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 1/2563 เรื่องหลักเกณฑ์การกํากับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่ อยู่อาศัย ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินให้กับลูกค้ารายย่อย (3) ศึกษาถึงรูปแบบของการกํากับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ ในการกํากับดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่ อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และ (4) นําเสนอ ข้อเสนอแนะ และแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย สําหรับการดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน การศึกษานี้เป็นการศึกษาค้นคว้าเชิงเอกสาร โดยการรวบรวมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง หลากหลายประเภททั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เพื่อนำมาศึกษาวิเคราะห์สาระสำคัญของ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินให้แก่ลูกค้ารายย่อย โดยวิธีการใช้มาตรการ (Loan to Value Ratio: LTV) ของประเทศไทย เปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย และวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกรณีการกํากับ ดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ ผลการศึกษา พบว่า หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับมาตรการ LTV ซึ่งมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 พบว่าสัญญาณการเก็งกําไร และความไม่สมดุลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับ ลดลงสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรการ ในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอาคารชุดมีแนวโน้มปรับ ลดลงและผู้ประกอบการเริ่มชะลอการเปิดโครงการใหม่ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอาคารชุดในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ต่างชาติ และมีอุปทานคงค้าง อยู่ในระดับสูงตั้งแต่ก่อนการประกาศใช้มาตรการ LTV อาจต้องใช้เวลานานขึ้นในการปรับตัว จึงยังต้อง ติดตามการปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลงใน อนาคตต่อไป อันมีรายละเอียดสำคัญ คือ การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์หลังการปรับมาตรการและ การประเมินประสิทธิผลของมาตรการ LTV ช่วงปี 2560-2561 ของภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยพบว่า …


การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านการทำสัญญา ศึกษากรณีธุรกิจขายห้องชุด, ธนบดี ธิแก้ว Jan 2020

การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านการทำสัญญา ศึกษากรณีธุรกิจขายห้องชุด, ธนบดี ธิแก้ว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เอกัตศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านการทำสัญญา ศึกษา กรณีธุรกิจขายห้องชุด เนื่องจากปัจจุบันที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมได้รับความนิยม เพิ่มมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของประชาชนเพื่อเข้ามาทำงานและประกอบ อาชีพในเขตเมือง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบค่านิยมการอยู่อาศัยของสังคมไทย เมื่อธุรกิจ ขายห้องชุดเติบโตมากขึ้น ผู้ประกอบธุรกิจก็รีบทำห้องชุดออกขาย และอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญ ในการทำสัญญาและอำนาจในการต่อรองจัดทำสัญญาสำเร็จรูปในการซื้อขายห้องชุดไว้ล่วงหน้า โดยกำหนดข้อสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ซื้อห้องชุดไม่ได้รับความเป็น ธรรมในการทำสัญญา อย่างไรก็ตาม แม้รัฐจะได้เข้าแทรกแซงและควบคุมการทำสัญญาในธุรกิจขาย ห้องชุด และได้กำหนดแบบสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด หรือแบบ อ.ช. 22 เอาไว้ แต่ก็ยังพบว่า มีประชาชนผู้ซื้อห้องชุด ซึ่งถือว่าอยู่ในฐานะผู้บริโภคเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งพบว่ายังมีปัญหาการควบคุมและบังคับใช้ แบบสัญญามาตรฐาน ปัญหาหน่วนงานของรัฐในการกำกับดูแลการทำสัญญา และปัญหา มาตรการลงโทษ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ด้านการทำสัญญาในธุรกิจขายห้องชุดยังไม่เหมาะสม จึงท าให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้านการทำสัญญา จากการศึกษาพบว่า ในการำาสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง ไม่ได้ก าหนดให้ต้องท าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดิน และยังไม่ได้กำหนดแบบของสัญญาจะซื้อจะขายเอาไว้ ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถตกลงทำ สัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกันได้เอง แม้ไม่ได้ท าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆะ และพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที ่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งได้กำหนดไว้ว่า กรณีที่สัญญาจะซื้อจะขายไม่ทำตามแบบสัญญาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและไม่เป็นคุณต่อผู้จะซื้อ ให้ถือว่าสัญญาส่วนนั้นไม่มีผลใช้บังคับ แต่หากข้อสัญญาเป็นคุณต่อผู้จะซื้อแม้ไม่ได้ทำตามแบบสัญญาก็ถือว่าสัญญา ส่วนนั้นมีผลใช้บังคับได้ จึงทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แบบของสัญญาได้ ทำให้ไม่สามารถควบคุมและบังคับใช้แบบสัญญาได้อย่างเด็ดขาดผู้ประกอบธุรกิจ จึงอาศัยช่องว่างทางกฎหมายดังกล่าวในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อสัญญาที่เอาเปรียบและไม่เป็นคุณแก่ ผู้ซื้อ และยังหลีกเลี่ยง ไม่ใช้แบบสัญญามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับกรมที่ดินซึ่งเป็น หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจโดยตรงในการกำกับดูแลด้านสัญญาในธุรกิจขายห้องชุด และได้กำหนดให้ ใช้แบบสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด หรือแบบ อ.ช. 22 เอาไว้ แต่กลับไม่มีหน่วยงานโดยเฉพาะใน การควบคุมกำกับดูแลและตรวจสอบการท าสัญญาในธุรกิจซื้อขายห้องชุด และไม่มีพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะในการตรวจสอบการทำสัญญา อีกทั้ง ยังไม่มีอำนาจในการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลแทน ผู้ซื้อ จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมและบังคับใช้กฎหมายได้อย่างจริงจัง สำหรับในเรื่องมาตรการลงโทษ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจได้ฝ่าฝืนไม่ใช้แบบสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด หรือแบบ อ.ช. 22 ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา …


การจัดทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจครอบครัว, รัฐพงษ์ วัฒนาพร Jan 2020

การจัดทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจครอบครัว, รัฐพงษ์ วัฒนาพร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลกและต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย มีการประมาณการว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจบนโลกใบนี้คือธุรกิจครอบครัว สำหรับประเทศไทย มีการประมาณว่า 72 เปอร์เซ็นต์ของระบบเศรษฐกิจไทยคือธุรกิจครอบครัว ธุรกิจครอบครัวเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยและทำให้เกิดการจ้างแรงงานมากมายเพื่อมาปฏิบัติการในองค์กรธุรกิจครอบครัวเหล่านี้ อาการส่งต่อธุรกิจครอบครัวไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และธุรกิจครอบครัวเกิดความล่มสลาย นอกจากจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยแล้วยังส่งผลต่อภาคแรงงานส่วนใหญ่ ก่อให้เกิดภาวะการว่างงานและกลายเป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลที่ต้องเพิ่มมาตรการเยียวยาและใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา ในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาธุรกิจครอบครัวในประเทศไทยเกิดคดีความมากมายที่สืบเนื่องมาจากการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์การชิงอำนาจการบริหารงานระหว่างสมาชิกกันเอง โดยปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดในสมาชิกรุ่นที่ 2 เส้นทางให้การส่งต่อธุรกิจครอบครัวไปยังรุ่นที่ 3 เป็นไปได้ยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลย ความขัดแย้งกันในบางกรณีเป็นการฟ้องร้องกันและให้กฎหมายเป็นผู้ตัดสิน แต่ในบางกรณีก็บานปลายจนกระทบความสัมพันธ์ของครอบครัวจนเลือกที่จะใช้ความรุนแรงถึงขั้นจ้างวานฆ่าสมาชิกในครอบครัวเพื่อจบปัญหา ในขณะเดียวกันก็มีธุรกิจครอบครัวไทยที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งการส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่นความสามารถในการเป็นผู้บริหารเจ้าของกิจการและบริหารคนในครอบครัวไปพร้อมกัน ความสามารถของทายาทที่จะรับช่วงสืบทอดธุรกิจ ความสามารถในการบริหารความขัดแย้งเป็นต้น นอกจากให้ความสำคัญกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความอยู่รอดของธุรกิจครอบครัวแล้ว ยังต้องมีการนำหลักและวิธีการทางกฎหมายเข้ามาจัดการและบังคับภายในองค์กรธุรกิจครอบครัวอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะลดความขัดแย้งในครอบครัวรวมถึงส่งเสริมให้ธุรกิจไทยสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน กฎหมายอาจเป็นเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นในการสร้างแผนสืบทอดธุรกิจครอบครัวรวมถึงช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัวไทยดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและจากการสันนิษฐานนี้ จึงเป็นที่มาของการศึกษาเพื่อค้นหาเรื่อง การจัดทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจครอบครัว โดยกำหนดคำถามวิจัยไว้ว่า การจัดทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนในธุรกิจครอบครัวได้อย่างแท้จริง และควรเผยแผ่ ชักจูงให้ธุรกิจครอบครัวไทยหันมาให้ความสำคัญและเริ่มจัดทำแผนการสืบทอดธุรกิจรวมถึงเอกสารทางกฎหมาย เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางบังคับให้สมาชิกในครอบครัวหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาให้กับธุรกิจ เป็นแผนรับมือเบื้องต้นเมื่อเกิดปัญหา และหากปัญหานั้นไม่สามารถจัดการกันได้เองภายในครอบครัว ยังสามารถนำเอกสารที่สร้างขึ้นจากกฎหมายนี้เข้าจัดการแทนได้


การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไข เพิ่มเติม ในมุมมองของภาคเอกชนที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ, ศุภมาศ พงษ์ภาคิน Jan 2020

การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไข เพิ่มเติม ในมุมมองของภาคเอกชนที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ, ศุภมาศ พงษ์ภาคิน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่รวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ใน หลายๆ ด้าน ซึ่งรวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกรรมจากการ ติดต่อโดยตรง ไปสู่การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เนื่องจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มีความ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มีสถานะทางกฎหมาย จึงมีการตรา พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมขึ้น มีเจตนารมณ์เพื่อรับรอง การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และส่งเสริมการทำธุรกรรมของผู้ประกอบการเอกชนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นในการมุ่งศึกษาปัญหาของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส พ.ศ. 2544 การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมเบื้องต้นในการปรับปรุงเพิ่มเติมแก้ไขกฎหมายและ แนวทางการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย จากการประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับ แก้ไขเพิ่มเติม ในมุมมองของภาคเอกชนที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ พบว่า ผู้ประกอบการเห็นถึงความจำเป็นของการ ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม แต่ในมิติของการบังคับ ใช้กฎหมายพบว่า พบว่า ปัจจุบันกฎหมายยังไม่สามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความไม่พร้อม ของภาครัฐที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น จึงมีข้อเสนอแนะดังนี้ ภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ สามารถรับรองธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์โดย ผลักดันภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้สร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคลากรภาครัฐในหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดความรู้ความ เข้าใจ รวมไปถึงความจำเป็นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การรับรองพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้การปฏิบัติจริงสอดคล้องกับกับเจตนารมณ์ทางกฎหมาย แม้ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มีเจตนารมณ์เพื่อรองรับผลทางกฎหมายของ ข้อความที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความเท่าเทียมทางกฎหมายให้เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่ในรูปของ เอกสารกระดาษ การเพิ่มเติมส่วนของกระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมายให้ชัดเจนมากขึ้น โดยการมีหลักเกณฑ์ที่ ชัดเจนในการเปรียบเทียบระหว่างผลกระทบและผลสัมฤทธิ์ รวมถึงแนวทางในการนำผลสัมฤทธิ์มาไปพิจารณา ต่อไป การส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจดิจิทัลและธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนและ ส่งเสริมการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ หน่วยงานรัฐควรมีการ ส่งเสริมและสนันสนุนให้ผู้ประกอบการมีการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ ผู้ประกอบการ โดยออกแนวทางหรือมาตรฐานที่ครอบคลุมและมีความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละธุรกิจ


การสำคัญผิดในสาระสำคัญของข้อเท็จจริงในข้อยกเว้นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ และผลทางกฎหมายอาญา, ณภัทร์กมล ศรีสกุลภิญโญ Jan 2020

การสำคัญผิดในสาระสำคัญของข้อเท็จจริงในข้อยกเว้นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ และผลทางกฎหมายอาญา, ณภัทร์กมล ศรีสกุลภิญโญ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ยังมีปัญหาในเรื่องการพิเคราะห์เจตนาของ ผู้กระทําความผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของการสําคัญผิดในสาระสําคัญของข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ ความผิดตามมาตรา ๖๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หากผู้กระทําผิดสําคัญผิดว่าตนเองนั้นมีเหตุในการยกเว้น การขอคํายินยอมตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ผลในทางกฎหมาย จะเป็นเช่นไร และการบัญญัติข้อยกเว้นในลักษณะดังกล่าวจะเป็นไปได้เพียงใดที่จะก่อให้เกิดความสําคัญผิดขึ้นได้ การศึกษาของรายงานฉบับนี้จะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัญหาในการสําคัญผิดในสาระสําคัญของข้อเท็จจริงใน ข้อยกเว้นความยินยอมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา ๒๔(๓) และมาตรา ๒๔(๕) ประกอบ กับทฤษฎีองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๒ ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(e-Commerce) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการศึกษาของรายงานฉบับนี้จะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัญหาในการสําคัญ ผิดในสาระสําคัญของข้อเท็จจริงในข้อยกเว้นความยินยอมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา ๒๔(๓) และมาตรา ๒๔(๕) ประกอบกับทฤษฎีองค์ประกอบความรับผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๒ ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์e-Commerce โดยใช้วิธีศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางเอกสาร และรวบรวมข้อมูลต่างจาก ตําราวิชาการ บทความ และแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือทางอินเตอร์เน็ต พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๒๔ (๓) และ มาตรา ๒๔(๕) ห้ามมิให้ผู้ ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลทําการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วน บุคคล เว้นแต่ เป็นการจําเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการ ดําเนินการตามคําขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทําสัญญานั้นและฐานผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมาย การตีความข้อยกเว้นความยินยอมฐานผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายมีความอ่อนไหวในการใช้งานต้อง มีการตีความตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญาโดยจะใช้ฐานการสําคัญผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย อาญาและเนื่องจากการในพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่มีข้อยกเว้นสําหรับการพัฒนาธุรกิจและข้อยกเว้นในการขอ ความยินยอมก็มีความไม่ชัดเจนในขอบเขตการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลจึงนําไปสู่ความเสี่ยงในการทําผิดหมาย คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากความเข้าใจผิดในสาระสําคัญของผู้ประกอบการ


ปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เป็นธรรม : ศึกษากรณีใช้ที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชยกรรมแบบไม่มีหน้าร้าน, กรรณิการ์ โสวรรณี Jan 2020

ปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เป็นธรรม : ศึกษากรณีใช้ที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชยกรรมแบบไม่มีหน้าร้าน, กรรณิการ์ โสวรรณี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อรูปแบบของการดําเนินชีวิตและการดําเนินธุรกิจ มากขึ้นจนเกิดเป็นช่องทางใหม่ในการดําเนินธุรกิจผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์E-Commerce การดําเนินธุรกิจในรูปแบบผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ สามารถดําเนินธุรกิจที่บ้านก็ได้โดยไม่จําเป็นที่จะต้องมีหน้าร้านเหมือนการค้าขายสมัยก่อนที่ต้องมี หน้าร้านให้เห็นชัดเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ การใช้ที่อยู่อาศัยดําเนินธุรกิจในรูปแบบพาณิชยกรรมแบบไม่มีหน้าร้านจะถูกจัดเป็นการใช้ ประโยชน์หลายประเภท โดยการคํานวณภาษีจะเก็บตามสัดส่วนการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในแต่ละ ประเภทโดยที่ดินจะคํานวณเป็นตารางวาและสิ่งปลูกสร้างเป็นตารางเมตร ซึ่งตามพระราชบัญญัติ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มีการกําหนดประเภทของการใช้ประโยชน์ไว้อย่างชัดเจน แต่ การสํารวจและประเมินเพื่อเรียกเก็บภาษีของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจจะมีข้อจํากัดใน ด้านบุคคลากรด้านการสํารวจ ซึ่งรูปแบบการขายสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้น เจ้าของที่ดินหรือ สิ่งปลูกสร้างอาจจะไม่ได้ระบุว่า ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยและเพื่อการพาณิชยกรรม ทําให้อาจจะถูก ประเมินเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีลักษณะทางกายภาพของ หน้าร้าน โดยพื้นที่ภายในของที่อยู่อาศัยอาจมีการประกอบธุรกิจเพื่อการพาณิชยกรรม เช่น การขาย สินค้าผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือมีสินค้าเก็บไว้ภายในที่อยู่อาศัย เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างจาก เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชยกรรมแบบมีหน้าร้านที่มีลักษณะทาง กายภาพของร้านเห็นได้อย่างชัดเจน จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยเห็นว่า ภาครัฐควรเพิ่มมาตรการที่มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถทราบข้อมูลอื่นเพิ่มเติม ในอันที่จะเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีตามสัดส่วนของการใช้ประโยชน์จากเจ้าของที่ดินและหรือ สิ่งปลูกสร้างที่ใช้ที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชยกรรมแบบไม่มีหน้าร้าน เช่น การใช้ฐานข้อมูลเพื่อ เชื่อมโยงกันเป็นระบบของภาครัฐ ได้แก่ กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมที่ดินและรวมถึง ผู้ให้บริการขายสินค้าออนไลน์ เช่น Facebook เป็นต้น ในอันที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นสําหรับเป็นฐานข้อมูลในการทราบถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของเจ้าของที่ดินและ หรือสิ่งปลูกสร้างโดยจะส่งผลถึงประเภทของการใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้างนั้นให้สามารถจัดเก็บ ภาษีได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับความจริงและเป็นธรรมต่อผู้เสียภาษีรายอื่น


ปัญหาการประเมินเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562, ภารวี เกียรติเสรีธรรม Jan 2020

ปัญหาการประเมินเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562, ภารวี เกียรติเสรีธรรม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ประเทศไทยจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติภาษี ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ซึ่งมีวิธีการประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แตกต่างไปจากพระราชบัญญัติ โรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ที่เคยใช้ในการจัดเก็บมาก่อน กรมส่งเสริมการปครองท้องถิ่นให้ความเห็น ว่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่างไปจากที่ ผ่านมา เพราะการประเมินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 เสาส่งสัญญาณ โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่งที่ต้องจัดเก็บภาษี การไม่จัดเก็บภาษีสำหรับเสาส่งสัญญาณ โทรศัพท์เคลื่อนที่ อาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้หน่วยงานท้องถิ่นสูญเสียรายได้ เอกัตศักษาเล่มนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อศึกษาถึงหลักการที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีในประเทศไทย และ การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินของนครนิวยอร์ก (New York City) มลรัฐนิวยอร์ก (New York State) ประเทศ สหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาวิเคราะห์ความเหมาะสมและแนวทางในการประเมินเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในประเทศไทย จากการศึกษา พบว่า เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีลักษณะเป็นทรัพย์สินที่มีความคงทนถาวร มี มูลค่าที่วัดได้ ก่อให้เกิดประโยชน์และรายได้ต่อผู้เป็นเจ้าของ บุคคลอื่นใช้ประโยชน์ทางอ้อมจากระบบสัญญาณ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ให้บริการ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของทรัพย์สินที่จะต้องน ามาเสียภาษี ดังนั้นเสาส่งสัญญาณ โทรศัพท์เคลื่อนที่ จึงควรถูกประเมินเป็นสิ่งปลูกสร้าง และถูกจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษที่ดินและสิ่งปลูกสร้า พ.ศ. 2562 ดังนั้น กรมส่งเสริมการปกรครองท้องถิ่นควรสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้อง เพื่อแก้ไขความเข้าใจที่ผิดพลาดในการจัดเก็บ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยออกประกาศ หลักเกณฑ์หรือแนวทาง ปฏิบัติในการจัดเก็บภาษี เพื่อทำให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีและผู้มีหน้าที่จัดเก็บภาษีมีความเข้าใจที่ตรงกัน และนำ วิธีประการเมินมูลค่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ของมลรัฐนิวยอร์ก มาปรับใช้ในการกำหนดราคาประเมินของเสา ส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย


ปัญหาของการรับรู้รายได้และรายจ่ายในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทประกันชีวิต, ณัฐพงษ์ บุญรังษี Jan 2020

ปัญหาของการรับรู้รายได้และรายจ่ายในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทประกันชีวิต, ณัฐพงษ์ บุญรังษี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การรับรู้รายได้และรายจ่ายของธุรกิจประกันชีวิตต้องอาศัยการคำนวณโดยใช้การประมาณ การและสมมติฐานที่สำคัญ เช่น สมมติฐานทางคณิตศาสตร์ประกันภัย ความเสี่ยงทางด้านการเงิน ความเสี่ยงจากตัวสัญญาประกันภัย และการคิดลดมูลค่าเงินปัจจุบัน เป็นต้น เมื่อทำการศึกษาการรับรู้ รายได้และรายจ่ายเพื่อคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากรที่กำหนดให้ ใช้เกณฑ์สิทธิ์โดยให้รับรู้รายจ่ายสำรองประกันชีวิตและรายจ่ายสำรองเบี้ยของสัญญาที่ไม่ใช่สัญญา คุ้มครองชีวิตเฉพาะส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 65 และ 40 ของจำนวนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับในรอบ ระยะเวลาบัญชีหลังจากหักเบี้ยประกันภัยซึ่งเอาประกันต่อออกแล้ว ตามลำดับ หลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับลักษณะการรับรู้รายได้และรายจ่ายตามรูปแบบการ ดำเนินธุรกิจของบริษัท รวมถึงการรับรู้รายได้และรายจ่ายทางบัญชีรูปแบบใหม่ตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงินฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2567 และ กำหนดให้บริษัทรับรู้รายได้และรายจ่ายจากการรับประกันภัยสำหรับความคุ้มครองที่เหลืออยู่โดย สะท้อนการให้การบริการตามสัญญาและสิ่งตอบแทนที่บริษัทคาดว่าจะมีสิทธิได้รับจากการให้บริการ ดังกล่าวโดยใช้หลักการปันตามการล่วงของเวลา ความแตกต่างดังกล่าวส่งผลให้เกิดผลต่างระหว่าง กำไร (ขาดทุน) สุทธิทางภาษีและกำไรที่ (ขาดทุน) ที่แท้จริงจากการดำเนินธุรกิจ ทำให้เกิดต้นทุนค่า เสียโอกาสในการนำเงินรายได้เบี้ยประกันภัยไปลงทุนเพื่อให้เกิดผลตอบแทนส่วนเพิ่มและเงินสำรอง ของบริษัทที่ควรกันไว้สำหรับผู้เอาประกันภัย เมื่อทำการศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้และรายจ่ายของบริษัท ประกันชีวิตของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐเกาหลีพบว่ามี ความสอดคล้องกันระหว่างกับลักษณะการรับรู้รายได้และรายจ่ายตามรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ บริษัทประกันชีวิต รวมถึงหลักการทางบัญชีและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานการบัญชีและ มาตรฐานการรายงานทางการเงินและรายงานตามข้อบังคับที่บริษัทถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้ รายจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดขึ้นมีความสมเหตุสมผลและไม่เป็นภาระที่เกินความจำเป็น ดังนั้น การแก้ไขบทบัญญัติตามกฎหมายให้บริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยสามารถรับรู้ รายได้และรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจ ตามที่ได้มีการ ปฏิบัติในต่างประเทศ นอกจากจะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ภาคธุรกิจในเรื่องของภาระรายจ่ายภาษี เงินได้ ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่อง เงินสำรองและเงินทุนสะสม เพื่อใช้ในการลงทุนและเกิดประโยชน์ต่อผู้ เอาประกันภัย


มาตรการควบคุมการจำหน่ายอาหารในลักษณะสตรีทฟู้ด กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร, นันทวรรณ อินทรักษ์ Jan 2020

มาตรการควบคุมการจำหน่ายอาหารในลักษณะสตรีทฟู้ด กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร, นันทวรรณ อินทรักษ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เอกัตศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการควบคุมการจำหน่ายอาหารในลักษณะ สตรีทฟู้ด กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจำหน่ายอาหารสตรีทฟู้ด และศึกษามาตรการควบคุมการจำหน่ายอาหารในลักษณะสตรีทฟู้ดในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อ นำมาพัฒนาและส่งเสริมการประกอบธุรกิจสตรีทฟู้ด และทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงการบริโภคอาหารที่ ปลอดภัย อร่อย สะดวกและราคาไม่แพงมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่สังคมไทยต้อง เผชิญทั้งในระบบเศรษฐกิจ สุขอนามัยและชีวิตความเป็นอยู่ ฐานะการเงินในการดำรงชีวิต อีกทั้ง วิกฤตการณ์โควิด 19 อย่างไรก็ตามกฎหมายของไทยที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายอาหารสตรีทฟู้ด รัฐได้กำหนดข้อ กฎหมายตั้งแต่พระราชบัญญัติไปจนถึงประกาศกรุงเทพมหานคร และมีลักษณะของเนื้อหากฎหมาย เพื่อกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสตรีทฟู้ดในรูปแบบมาตรการควบคุม มีกฎเกณฑ์สำหรับการดำเนิน ธุรกิจ มีการใช้ระบบใบอนุญาต และกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และมีการ บังคับใช้กฎหมายตามแต่เขตพื้นที่นั้น แต่ปัจจุบันพบว่ากฎหมายในเนื้อหาบางส่วนที่บังคับใช้ใน ปัจจุบันยังคงไม่คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่ยังคงไม่เป็นระบบ จากการศึกษามาตรการควบคุมการจำหน่ายอาหารในลักษณะสตรีทฟู้ดในประเทศ สหรัฐอเมริกา ผู้วิจัยเห็นว่าสามารถนำมาปรับใช้กับกรุงเทพมหานครได้ โดยกำหนดข้อกฎหมายทั้งข้อ ปฏิบัติและข้อห้ามปฏิบัติเกี่ยวกับสุขลักษณะอนามัยของการจำหน่ายอาหารในลักษณะสตรีทฟู้ด ส าหรับมาตรการควบคุมของภาครัฐเชิงพื้นที่และเชิงการบริหารจัดการ มีการน าเอาเทคโนโลยีเช่น ระบบกำหนดตำแหน่งที่ตั้ง ระบบการกำหนดพื้นที่จำหน่ายอาหารในที่สาธารณะ ระบบการสมัครยื่น ขอหรือต่อใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจสตรีทฟู้ดผ่านช่องทางออนไลน์มาใช้ในการปฏิบัติงาน รวมถึงจัดทำคู่มือเกี่ยวกับขั้นตอนการจำหน่ายอาหารในลักษณะสตรีทฟู้ดในรูปแบบที่มีเนื้อหาชัดเจน และคลอบคลุมผ่านสื่อออนไลน์ มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและผู้เกี่ยวข้องที่มีความชำนาญ เฉพาะในการสร้างองค์ความรู้ การวางแผนนโยบายต่าง ๆ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐ ท าให้ผู้บริโภคได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยและช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสตรีทฟู้ดมีโอกาสในการ ประกอบกิจการมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาและส่งเสริมให้ธุรกิจสตรีทฟู้ดของ กรุงเทพมหานครให้เติบโตในระดับสากลมากยิ่งขึ้น


มาตรการความช่วยเหลือต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019, กิตติพัฒน์ เพียรธรรม Jan 2020

มาตรการความช่วยเหลือต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019, กิตติพัฒน์ เพียรธรรม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมานั้น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และของทุกประเทศ และทุกธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งนับได้ว่าเป็นภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย สถานการณ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นี้มีผลต่อเนื่องถึงภาคเศรษฐกิจอื่นมากมาย รวมทั้งมีความสำคัญสูงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์หรือหลักประกันที่สำคัญของภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวของภาคอสังหาริมทรัพย์ จะส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศ ซึ่งรัฐจำเป็นต้องเร่งผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงสามารถอยู่รอดกลับมาเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้ยั่งยืนต่อไป มาตรการทางภาษีหลักๆ ที่ใช้กอบกู้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงทั่วโลกคือการ "เลื่อน" และ "ลด" สำหรับประเทศไทย ได้เลื่อนการชำระภาษีนิติบุคคลออกไปสามเดือนและหนึ่งเดือนสำหรับภาษีประเภทอื่นๆ ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก และแทบไม่ช่วยผู้ประกอบการเท่าที่ควร เพราะช่วงเวลาใหม่ที่กำหนดให้ชำระภาษีนั้น ยังอยู่ในห้วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งภาคเอกชนย่อมต้องการสงวนเงินสดไว้กับตัวเพื่อรักษาสภาพคล่อง หลังจากเจ็บหนัก จากการประกาศล็อกดาวน์ในช่วงเดือนเมษายน ส่วนนโยบายลดภาษีของไทย ถือว่าแทบไม่ช่วยอะไร เพราะการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3 เปอร์เซ็นต์เป็น 1.5 เปอร์เซ็นต์ แทบไม่ได้มีสาระสำคัญ หากหันไปมองมาตรการทางภาษีของเหล่าประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก จะเห็นว่าทิ้งห่างไทยไปแบบไม่เห็นฝุ่น เช่น ในประเทศเกาหลีใต้ ที่เลื่อนระยะเวลาชำระภาษีไป 9 เดือน ส่วนญี่ปุ่นเลื่อนให้ 12 เดือน หากรายได้ของธุรกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่นโยบายลดภาษีของต่างประเทศก็มีเนื้อมีหนัง เช่น จีน ที่ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 เปอร์เซ็นต์ และยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบหนักอย่างการท่องเที่ยว เกาหลีใต้ ก็มีการลดภาษีให้ธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง ส่วน สิงคโปร์ ประกาศคืนภาษีบางส่วนให้ผู้ประกอบการหลายคนอาจสงสัยว่าถ้ารัฐบาลทั้งลดทั้งเลื่อนแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาบริหารประเทศ มาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและระบบการเงิน รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกันวางแนวทางเพื่อรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน ในสภาวการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็น ผู้จ้างแรงงานร้อยละ 80 ของประเทศ ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง จึงอาจส่งผลให้มีการเลิกจ้างงานและผิดนัดชำระหนี้ ในขณะเดียวกันความผันผวนในตลาดการเงินอาจทำให้บริษัทที่มีคุณภาพ ไม่สามารถไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดได้ จนกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและลดประสิทธิภาพในการระดมทุน มาตรการทางการเงิน ในส่วนของการเยียวยาผู้ประกอบการของไทยมีการเยียวยาเพื่อลดค่าใช้จ่ายและการพยายามเพิ่มเงินสด (Cash flows) ให้กับผู้ประกอบการ โดยรัฐบาลและธนาคารกลางได้ให้ความช่วยเหลือผ่าน (1) ทางด้านภาษี โดยเป็นการเลื่อนภาษี ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย …


มาตรการทางกฎหมายภาษีเพื่อส่งเสริมการแยกขยะขวดน้ำพลาสติก ชนิดกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ได้, ธัญชนก ภัทรรังษี Jan 2020

มาตรการทางกฎหมายภาษีเพื่อส่งเสริมการแยกขยะขวดน้ำพลาสติก ชนิดกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ได้, ธัญชนก ภัทรรังษี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของสังคมเมือง ทำให้ปัจจัยความต้องการอุปโภคและบริโภคมีปริมาณมากขึ้น และเกิดบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีปริมาณและขนาดสำหรับพกพาและการบริโภคที่สะดวกรวดเร็ว เน้นรูปแบบวัสดุ ที่น้ำหนักเบา ยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะได้ตามความต้องการ ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งเกิดจากการแข่งขันพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อที่จะแสวงหากำไรของผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงแค่การทำให้ต้นทุนต่ำเพื่อให้ราคาสินค้ามีราคาต่ำที่สุด เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคมาบริโภคสินค้าของตน จากสาเหตุดังกล่าวส่งผลให้เกิดขยะบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งมีปริมาณมากขึ้น และขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปเผาและฝังกลบรวมกับขยะมูลฝอยทั่วไป ซึ่งจะใช้พื้นที่ในการฝังกลบมากกว่าขยะเศษอาหารประมาณ 3 เท่า เนื่องจากขยะพลาสติก มีปริมาตรสูง เมื่อเทียบกับน้ำหนักและมีความสามารถทนต่อแรงอัดได้ ทำให้ต้องสิ้นเปลืองพื้นที่ ฝังกลบ นอกจากนี้หากเกิดการรั่วไหลของสารปรุงแต่งหรือสารประกอบที่เป็นพิษของพลาสติก ก็จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนตามมา เช่น ส่งกลิ่นเหม็น เกิดน้ำเสียจากน้ำชะขยะปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดิน ทำให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคและเกิดมลพิษทางอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ปัญหาการจัดการขยะพลาสติก ยังเกิดจากประชาชนขาดองค์ความรู้และจิตสำนึกเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ที่จะลดและคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทางหรือแหล่งกำเนิดอย่างถูกวิธี ส่งผลให้ปริมาณขยะมูลฝอยเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นมีสัดส่วนองค์ประกอบที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 โดยสามารถนำมาแปรรูปใช้ใหม่ได้ร้อยละ 30-35 และนำมาหมักทำปุ๋ยได้ร้อยละ 45-50 แต่ปัจจุบันอัตราการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ มีเพียงร้อยละ 18 ซึ่งยังคงเป็นอัตราที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขยะมูลฝอยที่มีศักยภาพในการนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้วัสดุจากการรีไซเคิลที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนวัตถุดิบใหม่กลับเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมยังมีน้อย ดังนั้นผู้วิจัยเห็นควรให้ประเทศไทยนำมาตรการที่มีลักษณะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจ ให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมากขึ้น ซึ่งมาตรการที่มีลักษณะดังกล่าว ได้แก่ การจัดเก็บภาษีบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม ประกอบกับการใช้ระบบมัดจำขวด ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคเกิดความใส่ใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาขยะขวดน้ำพลาสติกให้นำกลับมาแปรรูปใช้ใหม่มากขึ้นได้ ดังตัวอย่างเช่น ในประเทศนอร์เวย์ที่ได้มีการจัดเก็บภาษีบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มควบคู่ไปกับระบบมัดจำ ในวงจรระบบ รีไซเคิล โดยเริ่มต้นจากผู้ประกอบการสินค้าเครื่องดื่มจะถูกเก็บภาษีบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม และหากเข้าสู่ระบบมัดจำก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ลดอัตราภาษีหรือยกเว้นภาษีบรรจุภัณฑ์ตามอัตราส่วนการนำกลับมาใช้ใหม่ของขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม และหากสามารถรีไซเคิลขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มได้มากกว่าร้อยละ 95 ก็จะไม่ต้องเสียภาษี โดยจะมีองค์กร Infinitum เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมค้าปลีก เป็นผู้ดูแลระบบการรับคืนบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม รวมทั้งจัดระบบการคืนมัดจำขวด ขนส่ง คัดแยก และนำเข้าโรงงานรีไซเคิล ฯลฯ นอกจากนี้สำหรับผู้บริโภคสินค้าเครื่องดื่มที่มีค่ามัดจำบรรจุภัณฑ์รวมไปในราคาจำหน่าย สามารถคืนขวดได้ตามเครื่องแลกขวดอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ตามร้านค้าต่าง ๆ หรือสถานีบริการน้ำมัน โดยเครื่องรับคืนขวดจะอ่านข้อมูลบาร์โค้ดบนฉลากก่อนออกใบเสร็จคืนเงินให้ เพื่อนำไปขึ้นเงินสด ใช้จ่ายแทนเงินสด หรือสามารถบริจาคได้ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มประกอบกับการใช้ระบบมัดจำ จะสามารถเข้ามามีส่วนช่วยในการคัดแยกขยะโดยทุกภาคส่วนและเป็นระบบมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ประกอบการบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม ผู้ค้าปลีก ตลอดจนผู้บริโภค


มาตรการทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับลูกจ้างแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19), ชมพูนุท ขาวนวล Jan 2020

มาตรการทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับลูกจ้างแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19), ชมพูนุท ขาวนวล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ในเวลาต่อมา จีนและองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้คือ "เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่" ซึ่งเชื่อว่ามีต้นตอมาจากตลาดสดที่ขายอาหารทะเลและอาหารป่าในเมืองอู่ฮั่น โดยหลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้นำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ สำหรับประเทศไทยรู้จักไวรัสในตระกูลนี้มาแล้วจากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือ โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโคโรนา และพบการระบาดครั้งแรกปลายปี ค.ศ. 2002 ที่ประเทศจีนเช่นกัน ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่พบผู้ติดเชื้อไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่นอกจีนแผ่นดินใหญ่ โดยกระทรวงสาธารณสุขรายงานเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 พบว่ามีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อรายแรกเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน อายุ 61 ปีเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นถึงไทยวันที่ 3 มกราคม 2563 โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบจากการคัดกรองด้วยเครื่องเทอร์โมสแกน จากนั้นได้ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูรจนหายและตรวจไม่พบเชื้อ ก่อนที่จะเดินทางกลับจีนวันที่ 18 มกราคม 2563 ประเทศไทยเผชิญอยู่กับวิกฤตการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี และดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังจะดีขึ้นแต่ก็กลับชะงักลงอีกครั้ง หลังจากพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกในระลอกที่ 2 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่พบหญิงไทยวัย 67 ปี อาชีพค้าขายที่ตลาดกลางกุ้ง ในตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร ติดเชื้อโดยไม่มีประวัติการเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งหมายความว่าผู้ติดเชื้อรายนี้ไม่ได้เป็น "ต้นเชื้อ" ทางกรมควบคุมโรคจึงได้พยายามค้นหาต้นเชื้อหรือสาเหตุการติดเชื้อของหญิงรายนี้ ซึ่งคาดว่าเป็นการติดเชื้อจากแรงงานชาวเมียนมาในตลาดกลางกุ้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแรงงานเมียนมาอยู่อย่างหนาแน่น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าการกระจายของเชื้อในรอบนี้ไม่ใช่สายพันธุ์จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนแล้ว แต่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ G ซึ่งแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม 8 - 9 เท่าตัว จึงเป็นเหตุให้คนไทยกลับมาเผชิญกับวิกฤตการณ์ของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง ซึ่ง ณ วันที่ทำวิจัยฉบับนี้สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ก็ยังคงไม่มีแนวโน้มที่จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง แม้ว่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านการทดลองในคนในระยะที่ 3 และมีการอนุมัติให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินอยู่ในหลายประเทศ ในเวลานี้มีอยู่ด้วยกัน 6 ตัวด้วยกัน คือ ไฟเซอร์/ไบออนเทค, โมเดอร์นา, แอสทราเซเนกา, สปุตนิควี, …


มาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ของประเทศไทย, เฟื่องลดา มนตรีสา Jan 2020

มาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ของประเทศไทย, เฟื่องลดา มนตรีสา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เนื่องจากในระหว่างปี พ.ศ. 2563 ทั่วโลกได้เผชิญกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ระบาดไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ทำให้ส่งผลกระทบทั้งต่อวิถีการ ดำรงชีวิตของผู้คนทั่วไป รวมไปถึงสภาพเศรฐกิจของแต่ละประเทศก็ได้รับกระทบเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกัน ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นการอย่างมาก ทั้งในด้านการลงทุนจากในประเทศและนอกประเทศ การท่องเที่ยวที่ซบเซา ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มหยุดชะงักไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยความเสียหาย จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อเศรษฐกิจนั้นกระทบภาคธุรกิจหลายกิจการทั้งใน ส่วนของภาคบริการและการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวลง ทำให้เกิดการเลิกจ้างแรงงาน จะเห็นว่าจากผลกระทบในส่วนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้ลามมากระทบในส่วนของภาคประชาชน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ทางรัฐบาลจึงได้มีเร่งออกมาตรการช่วงเหลือต่างๆ ทั้งในส่วนของภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเม็ดเงินไหลเวียนใน ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการช่วยเหลือบรรเทาในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถดำเนิน กิจการต่อไปได้แต่อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังคงมีการระบาด อย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน และไม่มีสัญญาณว่าจะบรรเทาลงในเร็ววัน จึงได้ มีการศึกษามาตรการทางภาษีเงินได้ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 ของต่างประเทศ เพื่อหาแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้อง กับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน เอกัตศึกษาเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษามาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย และศึกษา วิเคราะห์เปรียบเทียบมาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 ของประเทศออสเตรเลียและเมียนมา เพื่อจะนำแนวทางมาตรการทางภาษีมาปรับ ประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบัน โดยจากการศึกษาพบว่ามาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยยังมีบางมาตรการ ที่มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ไม่ชัดเจน ให้สิทธิประโยชน์ในทรัพย์สินแค่บางประเภท บางกลุ่มธุรกิจ หรือให้สิทธิประโยชน์สำหรับการจ้างแรงงานเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก จาการกล่าวมาจึง จะเห็นได้ว่ามาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ประกาศใช้แล้วในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพ และความชัดเจนเพียงพอในการส่งเสริมการลงทุน รวมไปถึงไม่ได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตมาก เท่าที่ควร ผู้เขียนจึงได้เสนอแนวทางมาตรการทางภาษีประเทศออสเตรเลียและประเทศเมียนมาบาง มาตรการมาปรับประยุกต์ใช้ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น โดยมาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนในทรัพย์สินที่ควรจะส่งเสริมการลงทุนในทุก ประเภทของทรัพย์สินและทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในทรัพย์สินและ การจ้างแรงงานที่สามารถให้ตัดรายจ่ายได้มากขึ้นในปีที่ธุรกิจประสบกับสภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกจากจะเป็นการช่วยส่งเสริมการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้ว ยังเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีและยังช่วยให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนในบริษัทมากขึ้นอีกด้วย เพื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนั้น ๆ จะได้ดำเนินกิจการผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจนี้ไปได้


สิทธิของธนาคารในฐานะผู้ออกหนังสือค้ำประกันต่างประเทศ: ศึกษากรณีลูกหนี้นำเงินฝากมา เป็นหลักประกัน และอยู่ระหว่างกระบวนการฟื้นฟูกิจการ, พลชา บูรณกาญจน์ Jan 2020

สิทธิของธนาคารในฐานะผู้ออกหนังสือค้ำประกันต่างประเทศ: ศึกษากรณีลูกหนี้นำเงินฝากมา เป็นหลักประกัน และอยู่ระหว่างกระบวนการฟื้นฟูกิจการ, พลชา บูรณกาญจน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันธนาคารในประเทศไทย ได้มีการให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ในหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อภายในประเทศ เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Notes: PN) หรือสินเชื่อสำหรับการเข้าทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เช่น สินเชื่อเพื่อการนำเข้าและส่งออก (Trade Finance) รวมไปถึงการให้บริการการออกหนังสือค้ำประกันต่างประเทศ (Standby Letter of Credit: SBLC) โดยการให้บริการออกหนังสือค้ำประกันต่างประเทศ หรือ Standby Letter of Credit (“SBLC”) ของธนาคารนั้น มีวัตถุประสงค์สำหรับกรณีที่ลูกหนี้จะเข้าทำนิติกรรมสัญญากับบุคคลอื่น ไม่วาจะเป็นสัญญาการดำเนินงาน หรือสัญญาที่มีข้อผูกพันต้องชำระเงินต่างๆ โดยคู่สัญญาอีกฝ่ายนั้นจะมีความเสี่ยงจากการที่ลูกหนี้จะไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้อย่างครบถ้วน และก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น ไม่สามารถปฎิบัติหรือส่งมอบงานได้ตามกำหนดเวลา หรือไม่สามารถชำระเงินได้ครบตามที่กำหนดไว้ เป็นต้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวคู่สัญญาอีกฝ่ายจึงได้มีข้อกำหนดให้ลูกหนี้ต้องนำหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารวางเข้าค้ำประกันสำหรับการดำเนินงาน หรือการเข้าทำสัญญาต่างๆ ดังนั้นลูกหนี้จึงมีคำขอออกหนังสือค้ำประกันมายังธนาคารที่ตนมีวงเงินสินเชื่ออยู่ เพื่อให้ธนาคารออกหนังสือค้ำประกันต่างประเทศและเข้าไปผูกพันตนในฐานะผู้ค้ำประกันให้แก่ลูกหนี้บนสัญญาประธานต่างๆ ที่ลูกหนี้ได้เข้าทำนิติกรรมกับคู่สัญญาอีกฝ่าย ต่อมาหากลูกหนี้ไม่สามารถปฎิบัติตามสัญญาประธานดังกล่าวได้ คู่สัญญาอีกฝ่ายในฐานะผู้รับผลประโยชน์มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ธนาคารชำระหนี้แทนตามจำนวนเงินที่ระบุในหนังสือค้ำประกันต่างประเทศแต่ละฉบับ ดังนั้นการที่ธนาคารเข้าผูกพันตนในฐานะผู้ค้ำประกันผ่านการออกหนังสือค้ำประกันต่างประเทศ จะเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้รับผลประโยชน์ว่าหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้วก็จะสามารถเรียกให้ธนาคารชำระหนี้แทนได้ และธนาคารก็มีสิทธิที่จะมาไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ตามในภายหลังได้ ทั้งนี้หากลูกหนี้ตามสัญญาสินเชื่อของธนาคารเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และอยู่ในสภาวะการพักชำระหนี้ (Automatic Stay) ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2541) มาตรา 90/12 คำสั่งสภาวะการพักชำระหนี้ตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีผลไปถึงคู่สัญญาที่อยู่ในต่างประเทศ ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือหากลูกหนี้ได้มีการเข้าทำสัญญาที่มีข้อผูกพันต้องชำระเงินแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ โดยสัญญาดังกล่าวถูกค้ำประกันโดยหนังสือค้ำประกันต่างประเทศที่ออกจากธนาคารในประเทศไทย ต่อมาหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประธาน เจ้าหนี้ต่างประเทศยังคงบังคับชำระหนี้ดังกล่าวผ่านการเรียกร้องให้ชำระหนี้ใต้ความผูกพันตามหนังสือค้ำประกันต่างประเทศที่ธนาคารได้มีการออกเพื่อค้ำประกันไว้ ซึ่งโดยทั่วไปธนาคารมีหน้าที่ที่จะต้องชำระทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิดของลูกหนี้ โดยปัจจุบันเกิดปัญหาขึ้นว่าธนาคารสามารถมาไล่เบี้ยกับลูกหนี้ขณะที่ลูกหนี้อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการได้อย่างไร และกรณีที่ลูกหนี้ได้มีการมอบหลักประกันเป็นการจดทะเบียนทางธุรกิจหลักประกันบัญชีเงินฝากไว้ ธนาคารสามารถบังคับหลักประกันดังกล่าวเพื่อมาชำระหนี้ได้ทันทีหรือไม่ หรือจะต้องมีการยื่นขอรับชำระหนี้ตามกระบวนการฟื้นฟูกิจการ และรอรับชำระหนี้ตามแผนของลูกหนี้ในภายหลัง ซึ่งธนาคารในฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันอาจจะไม่ได้รับชำระหนี้ตามที่ควรจะเป็นซึ่งจะขึ้นอยู่กับแผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้นำแผนจะนำส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และจะต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของเจ้าหนี้ทั้งหมด จากประเด็นปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าคำสั่งสภาวะการพักชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2541) ยังไม่สามารถระงับการบังคับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ประเทศได้ อันส่งผลให้เกิดความเสียหายและความเสี่ยงต่อธนาคารในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกัน รวมถึงตัวลูกหนี้เองที่อาจจะไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการฟิ้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรศึกษาถึงบทบัญญัติของกฎหมายไทยที่จะเข้ามาคุ้มครองลูกหนี้และธนาคารจากการเรียกรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่างประเทศระหว่างที่ลูกหนี้อยู่ในระหว่างกระบวนการฟื้นฟูกิจการ


แนวทางในการนำการวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 40 (ปรับปรุง 2562) มาใช้กับการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล, คุณานนท์ ปราสาทวัฒนา Jan 2020

แนวทางในการนำการวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 40 (ปรับปรุง 2562) มาใช้กับการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล, คุณานนท์ ปราสาทวัฒนา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การใช้มูลค่ายุติธรรม (Fair Value) สำหรับการรายงานข้อมูลทางการเงินเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งพบได้จากการที่มาตรฐานการบัญชีให้ความสำคัญต่อการใช้มูลค่ายุติธรรมในการวัดมูลค่าสินทรัพย์โดยเชื่อว่ามูลค่ายุติธรรมช่วยส่งเสริมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ (Relevance) ของผู้ใช้งบการเงินมากกว่าราคาทุนเดิม (Historical Cost) แต่อย่างไรก็ตาม ราคาทุนเดิมเป็นมูลค่าในอดีตที่แสดงให้เห็นหลักฐานอันเที่ยงธรรม และเป็นหลักเกณฑ์การวัดมูลค่าพื้นฐานที่ใช้ในการวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรก (Initial Measurement) ในขณะเดียวกันราคาทุนเดิม เป็นจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่กิจการจ่าย หรือมูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนอื่นที่กิจการมอบให้เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ ณ เวลาที่ได้สินทรัพย์นั้นมาหรือ ณ เวลาที่ก่อสร้างสินทรัพย์นั้น ซึ่งทางภาษีอากรใช้ราคาทุนเดิมในการรับรู้รายการทางภาษีอากร เพราะถือว่าเป็นมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่เกิดรายการ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป มูลค่าของสินทรัพย์ที่เคยบันทึกไว้ในราคาทุนเดิมย่อมมีมูลค่าที่แตกต่างไปจากวันที่เกิดรายการ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัยเช่น สภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง การถือครองอสังหาริมทรัพย์มีวัตถุประสงค์การถือครองฯ ที่แตกต่างกัน เช่น การถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้งาน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้เผื่อขาย และการถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือเรียกอีกอย่างคือหาประโยชน์จากรายได้ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ หรือจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของทรัพย์สิน (Capital Gain) หรือทั้งสองอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม การถือครองอสังหาริมทรัพย์ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน จะส่งผลต่อการใช้วิธีการปฏิบัติทางการบัญชีที่แตกต่างกัน เพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินที่แสดงอยู่บนงบการเงินสามารถสะท้อนมูลค่าที่เหมาะสม และผู้ใช้งบการเงินสามารถใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสม เพื่อใช้ในการตัดสินใจ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” เป็นสินทรัพย์ที่กิจการมีไว้เพื่อหาประโยชน์ในการหารายได้ค่าเช่า หรือจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์หรือทั้งสองอย่าง ทั้งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการผลิตหรือจัดหาสินค้าหรือบริการ หรือใช้ในการบริหารงานของตนหรือ มีไว้ตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ กิจการจะต้องบันทึกอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ได้มาด้วยราคาทุน หลังจากนั้นกิจการสามารถเลือกวิธีการวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยวิธีมูลค่ายุติธรรม หรือวิธีราคาทุน แต่ต้องใช้วิธีเดียวกันสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนทั้งหมดที่กิจการมีอยู่ ซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนนั้นมีลักษณะพิเศษกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่นและมีการกำหนดวัตถุประสงค์ในการถือครองที่แตกต่างจากสินทรัพย์ทั่วไป โดยบริษัทที่มีอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนส่วนมากเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง มีเงินทุนสูง เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจะอยู่บริเวณพื้นที่ที่มีความเจริญ ได้รับการพัฒนาแล้ว อยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ง่ายต่อการปล่อยเช่า หรือถือครองไว้เพื่อเก็งกำไร หวังการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์ และพร้อมที่จะขายเมื่อทรัพย์สินสามารถสร้างกำไรจนถึงระดับที่พอใจ ดังนั้นจะพบว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้งานเองหรือไว้เพื่อดำเนินกิจการเอง ลักษณะพิเศษของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนนี้ยังถูกแยกแสดงรายการบนงบการเงินอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเกิดความเข้าใจ บ่งบอกถึงความสำคัญของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนนี้อย่างเด่นชัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะที่แตกต่างจากสินทรัพย์ทั่วไป การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินของสรรพากรจะจัดเก็บต่อเมื่อขายทรัพย์สินไป ส่วนกำไรจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ยังไม่สามารถนำมาใช้ในทางภาษีได้ ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่มีมาแต่เนิ่นนานและไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชากรส่วนมากทำอาชีพเกษตรกรรม ที่ดินส่วนมากจึงไม่ได้รับการพัฒนาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรมเท่าที่ควร จึงทำให้ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ไม่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จึงไม่มีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีอากรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สิน แต่ในปัจจุบันนักธุรกิจต่างมองหาโอกาสและจังหวะจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ เพราะกำไรของอสังหาริมทรัพย์นั้นหากวัดเป็นตัวเงินจะมีมูลค่ามหาศาลจึงเป็นที่ต้องการของนักธุรกิจ ประเทศไทยได้เห็นถึงปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สิน โดยเริ่มนำแนวคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีจากมูลค่าทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าทรัพย์สินนั้นจะยังไม่ถูกขายหรือจำหน่ายไป โดยมีการศึกษาและการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างพระราชบัญญัติภาษีการที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ” โดยเนื้อหาสรุปได้ว่า การจัดเก็บภาษีในปัจจุบันของประเทศไทย ไม่สะท้อนต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากมูลค่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มีการปรับมูลค่าเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศโปแลนด์ ฮ่องกง และประเทศสหรัฐอเมริกามีการจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้ที่เรียกว่า ภาษีลาภลอยเช่นกัน ดังนั้นเห็นได้ว่า …


ปัญหาการตรวจสอบการจัดเก็บภาษีกรณีการประกอบธุรกรรมด้วยเงินสด, ปลิดา วัฒนจิราพร Jan 2020

ปัญหาการตรวจสอบการจัดเก็บภาษีกรณีการประกอบธุรกรรมด้วยเงินสด, ปลิดา วัฒนจิราพร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เอกัตศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการตรวจสอบและการจัดเก็บภาษีของ เจ้าหน้าที่สรรพากรความหมายและปัญหาที่เกิดขึ้นใน กรณีการประกอบธุรกรรมด้วยเงินสด แล้วนำมาเปรียบเทียบการตรวจสอบและการจัดเก็บภาษีในต่างประเทศ เพื่อให้ทราบถึงข้อดีข้อเสีย ของมาตรการและวิธีการต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบจากการประกอบธุรกรรมด้วยเงินสด นำไปสู่แนวทาง การแก้ไขและวิธีการ มาตรการในการตรวจสอบและการจัดเก็บภาษีกรณีการประกอบธุรกรรมด้วย เงินสด เพื่อให้การตรวจสอบและการจัดเก็บภาษีถูกต้องและครบถ้วน จากการศึกษา พบว่ามาตรการทางกฎหมายรวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการ บริหารความเสี่ยง การรณรงค์เพื่อเป็นการจูงใจ การสนับสนุน ในเรื่องการทำธุรกรรมเป็นเงินสดยังไม่ มีประสิทธิภาพเพียงพอ ประกอบกับหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบและจัดเก็บภาษีของเจ้าพนักงานยัง ขาดประสิทธิภาพเนื่องจากมีการประเมินความเสี่ยงของผู้เสียภาษีหลังจากการยื่นแบบแสดงรายการ รวมทั้งการใช้อำนาจและดุลยพินิจของเจ้าพนักงานในการประเมินภาษี ทำให้ผู้เสียภาษีมีทัศนคติ ที่ไม่ดีกับผู้ตรวจสอบอีกทั้งยังขาดหลักฐานเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์ของเจ้าพนักงาน ขาดมาตรการจูงใจและการบังคับใช้ ให้ประชาชนมีการลดการใช้เงินสดในการทำธุรกรรม ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์และประเทศสวีเดน มีการนำมาตรการ การบริหารความเสี่ยงมาใช้ก่อนทำการประเมินการตรวจสอบ และมีมาตรการจูงใจและการบังคับ ให้ผู้ประกอบการมีการลดการใช้เงินสดเพื่อจะใช้เป็นฐานข้อมูลในการประเมินความเสี่ยง ตามหลักการบริหารความเสี่ยง ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าควรมีการศึกษาและนำแนวทางการใช้ มาตรการต่าง ๆ ของประเทศสวีเดนและประเทศสิงคโปร์นำมาปรับปรุงและปรับใช้ในประเทศไทย ที่เป็นการตรวจสอบและจัดเก็บภาษีในกลุ่มธุรกิจที่รับชำระเป็นเงินสด เพื่อให้แก้ไขปัญหาการเลี่ยง การตรวจสอบภาษีจากการรับช าระและบริการเป็นเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ


ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการโฆษณาในประเทศไทย : กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, พารณ ธรรมาพิทักษ์กุล Jan 2020

ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการโฆษณาในประเทศไทย : กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, พารณ ธรรมาพิทักษ์กุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันการเติบโตของธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จากความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้น รูปร่างที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่เห็นถึงความต้องการเหล่านี้ รวมถึงผู้ประกอบการจากธุรกิจอื่น ๆ ที่เห็นการเติบโตของความต้องการของตลาดธุรกิจอาหารเสริม นั่นเป็นที่มาที่ทำให้ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกิดขึ้นมากมายในท้องตลาด เมื่อสินค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นมาในท้องตลาด จึงเกิดการแข่งขันกันในการขายสินค้าหรือแข่งขันกันในด้านการแย่งผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัดเมี่อเปรียบเทียบกับจำนวนของผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์สินค้าในท้องตลาด โดยการแข่งขันกันของผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารเสริมคือการเข้าถึงผู้บริโภคหรือให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าของตนเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งวิธีการที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้นั้น หนึ่งในเครื่องมือที่สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร หรือเนื้อหาของสินค้าไปถึงผู้บริโภคได้คือการโฆษณา ในปัจจุบันนอกจากการโฆษณาผ่านป้ายโฆษณา ทีวี หรือวิทยุกระจายเสียงแล้วนั้น การเกิดขึ้นของสื่อออนไลน์ที่มีจำนวนผู้ใช้บริการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์นั้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และเป็นเครื่องมือที่สามารถที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคที่ต้องการได้ ซึ่งเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการสินค้าจำพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในการใช้สื่อเหล่านี้ ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้อื่นใช้สินค้า ซึ่งข้อดีที่เกิดขึ้นคือผู้ประกอบการรายย่อยหรือรายเล็กที่ไม่ได้มีต้นทุนจำนวนมาก สามารถที่จะสร้างธุรกิจของตนเองได้ โดยผลิตสินค้าแล้วใช้ช่องทางออนไลน์ในการโฆษณาสินค้าของตนเองไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งต้นทุนในการโฆษณานั้นต่ำกว่าการโฆษณาผ่านช่องทางทีวี วิทยุ หรือแผ่นป้ายโฆษณาในสมัยก่อน แต่อย่างไรก็ตามในข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียเกิดขึ้น โดยผู้ประกอบการบางรายมีการใช้คำโฆษณาชวนเชื่อ ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง จนทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย จากโฆษณาชวนเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์เหล่านี้ เนื่องจากมีต้นทุนการโฆษณาที่ต่ำ และสามารถที่จะนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่การโฆษณาต่าง ๆ นั้นต้องผ่านบริษัทโฆษณาจำพวกทีวี วิทยุ หรือป้ายโฆษณา ซึ่งต้องมีการตรวจสอบในส่วนของเนื้อหาสำหรับการโฆษณาโดยละเอียด แต่ปัจจุบันนั้นการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์นั้นไม่ได้มีขั้นตอนในส่วนนี้ ทำให้เกิดการโฆษณาเพื่อจูงใจลูกค้าหรือผู้บริโภคด้วยสรรพคุณสินค้าที่เกินความจริงเกิดขึ้น แม้ว่ากฎหมายจะมีมาตรการในการตรวจสอบและลงโทษผู้ที่กระทำความผิดแต่เหมือนว่ากฎหมายและบทลงโทษที่มีในปัจจุบันจะไม่สามารถที่จะควบคุมหรือป้องกันการโฆษณาที่เกินความจริงได้ โดยในกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดนั้นมีพิธีกรท่านหนึ่งที่ทำการโฆษณาสินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์เฟสบุ๊ค โดยมีการรีวิวและอวดอ้างสรรพคุณที่เกินความจริงของสินค้า ต่อมาได้ถูกแจ้งข้อหาทางกฎหมายในการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งจากการสืบประวัติพบว่าพิธีกรท่านนี้ได้ถูกดำเนินการแจ้งข้อหาเกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าเกินความจริงซ้ำเป็นคดีที่ 8 แล้ว เป็นการกระทำความผิดเดิมซ้ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่ากฎหมายในการควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าที่จะกระทำความผิดหรือกระทำความผิดเดิมซ้ำ


Three Essays On Entry Barriers And Incentives In Labor Markets, Samuel Ingram Jan 2020

Three Essays On Entry Barriers And Incentives In Labor Markets, Samuel Ingram

Theses and Dissertations--Economics

Occupational choice at the margin depends on both the incentives for entry and barriers to entry. The primary entry barrier determined by regulation is an occupational license. These are government laws determining the minimum qualifications to enter an occupation including education, testing, fees, and background checks. These regulations are currently enforced on 25% of the US labor market. The laws are crafted to protect consumers from unsafe goods and services but also have important consequences in labor market outcomes. The consequences may include fewer workers entering the profession, changes to which workers enter the profession, and altering competition, all of …


The Economic Impact Of Access To Reproductive Healthcare: A New Constitutional Argument, Niyati Narang Jan 2020

The Economic Impact Of Access To Reproductive Healthcare: A New Constitutional Argument, Niyati Narang

Scripps Senior Theses

This thesis attempts to offer an alternative constitutional argument to Roe v Wade by focusing on the economic liberties granted by the 14th Amendment. By highlighting the connection between reproductive healthcare (abortion access, the pill) and women's economic development, this thesis presents an alternative argument to Roe.


การปฏิบัติการค้าที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจค้าปลีก : กรณีศึกษา ค่าธรรมเนียมแรกเข้า, รัชพร รุจิวรกุลทอง Jan 2020

การปฏิบัติการค้าที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจค้าปลีก : กรณีศึกษา ค่าธรรมเนียมแรกเข้า, รัชพร รุจิวรกุลทอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เศรษฐกิจของประเทศไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการอุปโภคและบริโภคซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจค้าส่งค้าปลีกเป็นกลไกหลักอย่างหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้การอุปโภคและบริโภคของประชากรในประเทศไทยทำได้ง่ายขึ้น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกในประเทศมีมูลค่า 2.6 ล้านล้านบาทในปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 จากปี 2560 และมีสัดส่วนร้อยละ 15.9 ของ GDP สูงเป็นอันดับสองรองจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีสัดส่วนร้อยละ 26.8 ในอดีตธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนกล่าวคือผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าผู้บริโภคโดยตรงเพียงกลุ่มเดียวลูกค้ากลุ่มที่ซื้อสินค้าปลีกมักจะนำสินค้าเหล่านี้ไปอุปโภคบริโภคโดยตรงและไม่ได้นำไปขายต่อเพื่อทำกำไร กำไรจากการค้าปลีกมาจากการขายสินค้าจำนวนเพียงเล็กน้อยให้กับลูกค้าหลายราย ซึ่งตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่ทุกคนคุ้นเคย ก็คือร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ร้านโชห่วยหรือแม้แต่แผงลอยขายสินค้าบนฟุตบาท หากรายได้และกำไรส่วนมากของธุรกิจมาจากการขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าจำนวนมาก ธุรกิจนั้นก็ถือว่าเป็นธุรกิจค้าปลีกทั้งสิ้น ส่วนผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่ขายสินค้าหรือบริการครั้งละจำนวนมาก ๆ ให้กับลูกค้าที่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อสินค้าเพื่อนำไปขายต่อให้แก่ผู้บริโภครายย่อยอีกต่อหนึ่ง กล่าวคือ ธุรกิจค้าส่งเป็นกิจการที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีก โดยปกติมักมีปริมาณการซื้อขายจำนวนสินค้าครั้งละมาก ๆ เนื่องจากเป็นการขายเพื่อนำไปขายต่อให้กับผู้บริโภค หรือเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกมีความสำคัญมากในห่วงโซ่อุปทาน จะเห็นได้ว่าโรงงานที่ผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก ๆ โดยส่วนมากแล้วจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตและเลือกที่จะไม่ใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการเข้าถึงลูกค้าผู้บริโภคโดยตรง ด้วยเหตุผลนี้แล้วจึงทำให้โรงงานผู้ผลิตมักจะมองหาตัวแทนจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ ที่สามารถช่วยกระจายสินค้าของโรงงานไปสู่ผู้บริโภค การทำแบบนี้ช่วยให้โรงงานสามารถจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการผลิตสินค้าของตนเองโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการขายและการกระจายสินค้า ยิ่งไปกว่านั้นการที่การกระจายสินค้าจากโรงงานให้เข้าถึงผู้บริโภคในประเทศทั้ง 77 จังหวัดไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นโรงงานผู้ผลิตและผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศมีความจำเป็นต้องพึ่งพาธุรกิจค้าส่งค้าปลีกในการกระจายและขายสินค้า ในปัจจุบัน ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ หรือที่เรียกว่า Modern Trade ที่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมค้าส่งค้าปลีก ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต จากเดิมที่ธุรกิจค้าปลีกในไทยเป็นร้านขายของชำขนาดเล็กที่จัดหาสินค้ามาจำหน่ายโดยซื้อผ่านตัวกลาง (ธุรกิจค้าส่ง) กลายมาเป็นร้านค้าปลีกที่มีรูปลักษณ์ทันสมัย มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ลดการพึ่งพาผู้ค้าส่งโดยทำการเข้าไปติดต่อซื้อสินค้าจากโรงงานหรือผู้นำเข้าโดยตรง และเนื่องด้วยผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่เป็นนายทุนรายใหญ่ที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมากส่งผลให้กลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่จึงมีอำนาจต่อรองเหนือผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า ประกอบกับการบริหารจัดการร้านค้าอย่างเป็นระบบ มีระบบขนส่งเป็นของตนเองและบางรายมีศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัย ตลอดจนการนำเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ มาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการตลาด ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพราะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ผลิต ผู้นำเข้าสินค้า และ ผู้บริโภค จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ มีอำนาจการต่อรองเหนือผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายมากขึ้นและอำนาจการต่อรองดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต จนเป็นเหตุให้ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายรายเล็กไม่สามารถต่อรองกับผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกได้นอกจากจะไม่สามารถต่อรองกับผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ ๆ ได้ ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายหลายรายยังถูกเรียกเก็บผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเรียกเก็บค่าแรกเข้าสินค้าใหม่ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการวางสินค้าพิเศษเพิ่มเติมจากที่ได้ระบุไว้ในสัญญาหรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมส่วนเพิ่มหรือการขอส่วนลดในวาระพิเศษที่ทางผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายไม่สามารถปฏิเสธการจ่ายได้ เป็นต้น ซึ่งการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแบบเกินสมควร และค่าธรรมเนียมที่มีอัตราไม่แน่นอนก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างชัพพลายเออร์ จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระหว่างซัพพลายเออร์ เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกิดเหตุจะกลายเป็นเครื่องมือของชัพพลายเออร์รายใหญ่ที่มีทุนหนานำมาใช้กีดกันซัพพลายเออร์รายเล็กที่มีเงินทุนน้อยทำให้ไม่สามารถเข้ามาแข่งขัยในตลาดได้ อีกทั้งยังทําให้ผู้ผลิตรายใหม่มีต้นทุนในการเข้าสู่ตลาดสูงมากขึ้น


การปรับปรุงการคืนภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National E-Payment), คณัสนันท์ ธีรธรรมเสถียร Jan 2020

การปรับปรุงการคืนภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National E-Payment), คณัสนันท์ ธีรธรรมเสถียร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บุคคลธรรมดาเมื่อได้รับเงินหรือรายได้ ที่เกี่ยวข้องกับเงินได้พึงประเมินตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด โดยหมายถึงเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ที่กำหนดในประมวลรัษฎากร เช่น เงินเดือน ค่าเช่า หรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ เป็นต้น บุคคลธรรมดาผู้นั้น กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ทั้งนี้ หน้าที่ดังกล่าวมิได้ใช้บังคับแค่เพียงบุคคลธรรมดาผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคล วิสาหกิจชุมชน และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง โดยการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี จะนำเงินได้ที่ได้รับในปีภาษีนั้น ๆ หักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้วนำไปคำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งอยู่ในลักษณะอัตราก้าวหน้า จากนั้นจึงนำไปหักกับภาษีที่เกิดขึ้นระหว่างปีภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นภาษีที่ผู้จ่ายเงินได้จะหักภาษีแล้วนำส่งกรมสรรพากรไว้เมื่อมีการจ่ายเงินได้ในแต่ละครั้ง รวมไปถึง หากมีภาษีเงินได้บุคคลธรมดาที่ยื่นก่อนกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี ก็จะถูกนำไปหักออกจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีด้วยเช่นกัน เพื่อหายอดภาษีสุทธิที่ต้องเสียเพิ่มเติมหรือได้รับคืนบางส่วนจากกรมสรรพากร ในปีภาษี 2562 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้มีหน้าที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีภาษีที่ได้รับคืนเป็นจำนวนกว่า 43,000 ล้านบาท จากจำนวนแบบทั้งสิ้น 3,310,472 แบบ ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ยการคืนภาษี 13,160.25 บาท ต่อ 1 แบบ โดยกระบวนการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอดีต บุคคลธรรมดาสามารถนำหนังสือแจ้งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ค.21) พร้อมเอกสารยืนยันตัวตน และ/หรือ หนังสือมอบอำนาจจากบุคคลผู้เป็นเจ้าของ ค.21 พร้อมเอกสารยืนยันตัวตนของผู้รับมอบอำนาจ มายื่นรับเงินคืนภาษีได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตามที่ระบุในหนังสือดังกล่าว โดยต่อมาได้เปลี่ยนจากการรับที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่มาเป็นธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาใดก็ได้ เพื่อรับเช็คคืนภาษี แล้วนำไปขึ้นเงินได้ทันที ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีพ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้มีแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) (แผนยุทธศาสตร์ฯ) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยและบูรณาการสวัสดิการ และส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน ตลอดจนส่งเสริม e-Payment ในทุกภาคส่วน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าวไปพร้อมกัน โดยกรมสรรพากรได้นำโครงการระบบการชำระเงินแบบ Any ID หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า พร้อมเพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ มาเปลี่ยนแปลงกระบวนการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเป็นการโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านช่องทางนี้ สามารถคืนได้เฉพาะบุคคลธรรมดาผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น เนื่องจาก บัญชีพร้อมเพย์จะต้องลงทะเบียนด้วยหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน …


ความไม่ชัดเจนของหลักกฎหมายเรื่องคลังสินค้าทัณฑ์บนเกี่ยวกับการเก็บอากร กรณีนำเศษหรือส่วนสูญเสียที่เกิดจากการผลิตมาบริโภคในประเทศไทย, วิมล เขียวขจี Jan 2020

ความไม่ชัดเจนของหลักกฎหมายเรื่องคลังสินค้าทัณฑ์บนเกี่ยวกับการเก็บอากร กรณีนำเศษหรือส่วนสูญเสียที่เกิดจากการผลิตมาบริโภคในประเทศไทย, วิมล เขียวขจี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การจัดเก็บภาษีอากรจะจัดเก็บจากสินค้าที่นำเข้าและส่งของออกสำเร็จ ตามมาตรา 13 วรรค สอง ที่บัญญัติให้ความรับผิดในอันที่จะต้องเสียอากรสำหรับของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปนอก ราชอาณาจักร เกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จหรือส่งของออกสำเร็จ ซึ่งเวลาดังกล่าวมีความสำคัญ อย่างมาก ในการใช้พิจารณาว่าสินค้าหรือของดังกล่าวที่นำเข้ามาสำเร็จแล้วหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 50 หากนำเข้านั้นสำเร็จแล้ว ภาระภาษีหรือหน้าที่ในการเสียค่าภาษีอากรจะเกิดขึ้นทันที และ หนี้ดังกล่าวจะระงับไปได้ ก็ต่อเมื่อมีการชำระหนี้ค่าภาษีอากรแล้ว หรือมีกฎหมายบัญญัติให้หนี้นั้น ระงับไปด้วยเหตุอื่นๆ เท่านั้น หนี้จึงจะระงับไปได้ ดังนั้น หากเกิดเหตุภัยพิบัติใดๆ ขึ้น ภายหลังที่มี การนำเข้าสำเร็จ จะไม่ทำให้หนี้ค่าภาษีอากรหมดไป การคำนวณค่าภาษีอากรให้ถือตามมาตรา 14 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 อย่างไรก็ตาม การคำนวณค่าภาษีอากรยังมีข้อยกเว้นสำหรับการคำนวณอากรแก่ของที่นำไป จัดเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามมาตรา 124 คือ หากนำมาสินค้าหรือวัตถุดิบ ไปเก็บไว้ใน คลังสินค้าทัณฑ์บนก่อน จะยังไม่ต้องชำระค่าภาษีอากรในขณะนั้น แม้หน้าที่ในการเสียค่าภาษีอากร จะเกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่มีการนำเข้าสำเร็จ ทั้งนี้ หากนำของออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อจำหน่ายหรือบริโภคภายในประเทศ กฎหมายกำหนดให้จัดเก็บอากร โดยให้คำนวณตามสภาพของและราคาของเดิมในเวลาที่นำของนั้น เข้าไปจัดเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน และให้ใช้สภาพและราคานั้นเป็นฐานในการคำนวณอากร ไม่ว่า ของนั้นจะออกมาจากคลังสินค้าทัณฑ์บนในสภาพเดิมหรือในสภาพอื่น แค่เฉพาะอัตราศุลกากรเท่านั้น ที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ตามอัตราอากรที่เป็นอยู่สำหรับของตามพิกัดศุลกากรนั้น ในเวลาที่ของนำออก จากคลังสินค้าทัณฑ์บน การตีความคำว่า “สภาพอื่น” กรมศุลกากร ยังให้รวมถึงสภาพเศษหรือส่วน สูญเสียจากการผลิตในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามสูตรการผลิต ที่นำออกมาเพื่อบริโภคภายในประเทศ และไม่ได้ส่งออกจะต้องเสียภาษีอากร โดยให้คำนวณอากรตามสภาพแห่งของราคาศุลกากร และพิกัด ศุลกากร การนำเศษหรือส่วนสูญเสียจากการผลิตในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามสูตรการผลิต และที่นำ ออกมาเพื่อบริโภคภายในประเทศ แม้ของนั้นจะมีมูลค่าหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่สมควรให้มีการจัดเก็บภาษี อากรแก่ของ เช่นเดียวกับมาตรา 29 ควรได้รับยกเว้นอากรเหมือนกัน จึงสมควรที่จะศึกษาวิเคราะห์ ในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้มีการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายให้การจัดเก็บอากรให้มีประสิทธิภาพและ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกรมศุลกากรไทยต่อไป


ปัญหาการถูกปฏิเสธการจ้างแรงงานในภาคเอกชนด้วยเหตุของการเลือกปฏิบัติ, อนงค์สิตา แซ่ซี Jan 2020

ปัญหาการถูกปฏิเสธการจ้างแรงงานในภาคเอกชนด้วยเหตุของการเลือกปฏิบัติ, อนงค์สิตา แซ่ซี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

แม้รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเพื่อตอบสนองต่อหลักการและมาตรฐานสากลด้าน สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติแล้ว แต่ยังพบว่าโอกาสของแรงงานบางกลุ่ม ในการทำงานยังถูกจำกัดอยู่ เนื่องจากถูกปฏิเสธการจ้างแรงงานดว้ยสาเหตุต่าง ๆ อาทิเพศสภาพ เช้ือ ชาติ สีผิว ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งกฎหมายของไทยยังขาดความชัดเจนใน ประเด็นเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้หางานจากการถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม อาทิ เพศสภาพ เช้ือชาติสีผิวศาสนาความคิดเห็นทางการเมือง เป็นต้นโดยเมื่อพิจารณาถึงมาตรการทาง กฎหมายที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 จะเห็นได้ว่าไม่ได้มี การบัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงการห้ามเลือกปฏิบัติต่อผู้หางานในกระบวนการสรรหาบุคลากรของ บริษทั เอกชน ดังน้ัน จึงควรเพิ่มบทบัญญติทางกฎหมายเกี่ยวกับการไม่เลือกปฏิบติไม่ว่าจะด้วย สาเหตุใดก็ตาม อาทิเพศสภาพ เชื้อชาติสีผิวศาสนาความคิดเห็นทางการเมือง เป็นต้น เข้าไว้ใน พระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อช่วยเพิ่มศกัยภาพของมาตรการและกลไกทางกฎหมายในการคุ้มครอง สิทธิของผู้หางานจากการถูกเลือกปฎิบตัิไม่ว่าผูนั้นจะเป็นบุคคลใดก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับหลัก สากลอีกทั้งยังสามารถใช้เป็นหลักกฎหมายสำหรับการพิจารณากรณีพิพาท ไม่ต้องประสบปัญหา ในการตีความหรือการเทียบเคียงในขั้นตอนการวินิจฉัยจากการไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจน อีกด้วย โดยกระบวนการระงับข้อพิพาทด้านแรงงานสามารถกระท าผ่านกลไกทางกฎหมายเกี่ยวกับ การจัดต้ังศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ที่ผู้ร้องทุกข์จะได้รับความสะดวก ประหยัด รวดเร็ว เสมอภาค และเป็นธรรม อีกทั้งยังจะเป็นการคุ้มครองสิทธิผูู้หางานทุกคน ไม่ว่าผูนั้นจะเป็น กลุ่มบุคคลใดก็ตาม อันจะเป็นประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยในวงกว้าง


ปัญหาการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ศึกษากรณีนำเงินตราและตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ, รสกร ไชยบัวแดง Jan 2020

ปัญหาการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ศึกษากรณีนำเงินตราและตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ, รสกร ไชยบัวแดง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันอาชญากรส่วนใหญ่มุ่งประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินหรือทรัพย์สินอันเป็นปัจจัยสำคัญ ในการดำรงชีวิต นอกจากนี้นวัตกรรมและเทคโนโลยีหลายประเภทมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องทำให้อาชญากรสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินหรือทรัพย์สินในจำนวนที่มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การประกอบอาชญากรรมมีรูปแบบและวิธีการที่พัฒนาเป็นการกระทำความผิดในรูปแบบองค์กรอาชญากรรม และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งยากต่อการควบคุมและปราบปรามด้วยกฎหมายในลักษณะเดิมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการควบคุมและปราบปรามการแปรสภาพของเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือเรียกว่า "การฟอกเงิน" ซึ่งเป็นการกระทำด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามให้เงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดกลายเป็นเงินที่เสมือนว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมลงโทษและยึดเงินนั้น ประเทศไทยจึงได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2559 เพื่อใช้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดช่องทางการเงินของอาชญากร โดยได้กำหนดมาตรการที่ยึดหลักการในข้อแนะนำของคณะทำงาน Financial Action Task Force หรือ FATF ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่หลักในการกำหนดมาตรการด้านต่างๆ เพื่อต่อต้านการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธ ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ตลอดจนภัยอื่นๆ ที่จะกระทบต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ นอกจากนี้ FATF ยังร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อระบุจุดอ่อนด้านต่างๆ ในระดับชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครอง ไม่ให้มีการนำระบบการเงินระหว่างประเทศไปใช้กระทำความผิด