Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®
Articles 1 - 4 of 4
Full-Text Articles in Human Resources Management
การค้านอกระบบของจีนในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย, ชะไมพร ชำนาญเวช
การค้านอกระบบของจีนในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย, ชะไมพร ชำนาญเวช
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
จากผลของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม และนวัตกรรม ภายในประเทศจีน ทำให้เกิดผลทั้งด้านภาวะสินค้าล้นกำลังตลาดภายใน การคอร์รัปชั่น ภาวะแรงงานขาดดุลของภูมิภาคทั้งตะวันออกและตะวันตก ทำให้รัฐบาลจีนสร้างนโยบายเพื่อการพัฒนาคนโดยคาดหวังถึง ความมั่นคงของพลเมืองจีนที่จะนำไปสู่ความมั่นคงของจีน ฉะนั้นรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับมณฑลจึงได้พัฒนานโยบายเพื่อปูทางรองรับการพัฒนาเหล่านี้ เพื่อคนจีนและประเทศจีน โดยใช้กลยุทธ์ทางการพัฒนาระหว่างประเทศต่างๆเพื่อผลประโยชน์และมีผลเชิงรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไทยเองเป็นดินแดนที่จีนคาดหวังในด้านการค้า การลงทุน สามารถพบเจอธุรกิจ การค้าจีนทุกหนทุกแห่งทั้งเมืองหลัก เมืองรอง และเมืองชายแดน โดยเฉพาะเมืองบริเวณชายแดนอำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่มีพื้นที่เชื่อมโยงกับประเทศจีนพบว่ามีคนจีนธุรกิจจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ปรากฏการณ์ดังกล่าวนำมาสู่ประเด็นการศึกษาเรื่อง การค้านอกระบบของจีนในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ (1) เพื่อศึกษาถึงพัฒนาการการค้านอกระบบของจีนในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของในจังหวัดเชียงราย (2) เพื่อศึกษาปัจจัยของการขยายตัวทางการค้าในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของในจังหวัดเชียงราย (3) เพื่อเสนอแนะ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้เครื่องมือ เช่น การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ พร้อมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการเก็บข้อมูลและตรวจสอบข้อมูล จนนำมาสู่ผลการศึกษา คือ พัฒนาการการค้าจีนที่พัฒนามาจากปัจจัยส่งเสริม เช่น นโยบายจากทางรัฐบาล ความร่วมมือในภูมิภาค และปัจจัยสนับสนุนให้เกิดพัฒนาการของการค้าจีน เช่นแสวงหาแหล่งทรัพยากรในการผลิต การเดินทางเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิต ความต้องการอิสระและหนีระบบสังคมเดิม ประเด็นต่อมาคือ วิถีการค้าจีนค้นพบทั้งวิถีการค้าจีนในระบบเช่น วิถีการค้าแบบหุ้นส่วน วิถีการค้าจีนกับบทบาทสตรีในพื้นที่ และวิถีการค้าจีนนอกระบบ เช่น วิถีการค้าจีนที่สัมพันธ์กับผู้หญิงไทใหญ่ วิถีการค้าโดยการหารายได้พิเศษแบบอำพราง ตัวแทนอำพรางทางธุรกิจ และสุดท้ายคือผลกระทบทางสังคมทั้งทางบวกและทางลบ
การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นฐาน : กรณีศึกษา บ้านร่องฟอง ตำบลร่องฟอง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่, ชุติกาญจน์ กันทะอู
การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นฐาน : กรณีศึกษา บ้านร่องฟอง ตำบลร่องฟอง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่, ชุติกาญจน์ กันทะอู
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของบ้านร่องฟองในการพัฒนาเป็นหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นฐาน 2) เพื่อเสนอแนวทางในการเสริมศักยภาพบ้านร่องฟองเป็นหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นฐาน เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และประชาชนที่เกี่ยวข้อง และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผลการศึกษาวิจัยพบว่า บ้านร่องฟองมีศักยภาพเบื้องต้นใน 5 ด้านได้แก่ 1.ด้านทรัพยากรท่องเที่ยว มีทรัพยากรท่องเที่ยวประเภทภูมิปัญญาพื้นบ้าน วิถีชีวิตและการประกอบอาชีพ เช่น แหล่งตีเหล็กทำเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตร แหล่งผลิตตัดเย็บเสื้อผ้า มัดย้อมผ้า 2.ด้านการเข้าถึงทรัพยากรท่องเที่ยว มีเส้นทางคมนาคมที่เข้าถึงสะดวกและปลอดภัยเดินทางเข้าถึงชุมชนได้ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารสาธารณะ ตลอดจนมีเส้นทางเชื่อมโยงพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนอื่นๆ 3.ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน มาตรฐานครบถ้วนและเพียงพอ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สถานพยาบาลชุมชน ร้านค้า 4.ด้านความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว สามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไปและกลับ หรือพักค้างคืน 5.การจัดการการท่องเที่ยว มีการวางแผนและดำเนินการโดยผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการมีส่วนร่วมจากประชาชน ศักยภาพบ้านร่องฟองมีความพร้อมรองรับการท่องเที่ยว แต่ไม่สามารถดำเนินการจัดการท่องเที่ยวได้ตามการคัดเลือกจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดให้เป็นหมู่บ้านเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งนี้บ้านร่องฟองต้องเพิ่มศักยภาพในการจัดการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากประชาชนโดยเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายระหว่างชุมชน หน่วยงานในท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวให้ยั่งยืนต่อไป
ความสัมพันธ์ทางสังคมในระบบการค้าข้าวภายใต้บริบทนโยบายที่เปลี่ยนแปลง : ศึกษากรณีระบบค้าข้าว อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร, ปริญญ์ วินิจมงคลสิน
ความสัมพันธ์ทางสังคมในระบบการค้าข้าวภายใต้บริบทนโยบายที่เปลี่ยนแปลง : ศึกษากรณีระบบค้าข้าว อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร, ปริญญ์ วินิจมงคลสิน
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
วิทยานิพนธ์นี้มีคำถามวิจัยที่สำคัญคือ ภายใต้นโยบายการอุดหนุนชาวนาที่แตกต่างกัน ระบบค้าข้าวและความสัมพันธ์ภายในระบบค้าข้าวในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และในการวิจัยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อศึกษาพัฒนาการของลักษณะความสัมพันธ์ในระบบการค้าข้าวในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร และการปรับตัวของระบบค้าข้าวในบริบทความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2548-2558 (ประกันราคาข้าว-จำนำข้าว-นโยบายปัจจุบัน) รวมถึงศึกษาเครือข่ายทางสังคม และบทบาทของทุนทางสังคมในการอาศัยเป็นทุนสำหรับการปรับตัว ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกตัวแสดงที่สำคัญในระบบการค้าข้าว ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมในระบบการค้าข้าวในอดีต มีรูปแบบที่พ่อค้าคนกลางมีบทบาทสำคัญอย่างมากทั้งการอุปถัมภ์ในเรื่องของต้นทุนการทำนากับชาวนา รวมถึงชาวนาจะต้องพึ่งการขายข้าวเปลือกผ่านพ่อค้าคนกลางก่อนที่ข้าวเปลือกจะไปถึงโรงสี และความสัมพันธ์ทางสังคมดังกล่าวเปลี่ยนไปจากเดิม โดยมีปัจจัยจากการที่ทั้งรัฐบาลเข้ามาให้ชาวนากู้เงินผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผลักดันให้ชนบทมีกองทุนหมู่บ้าน รวมถึงปัจจัยแวดล้อมทั่วไป ทั้งการเข้ามาของความเจริญ การคมนาคมและการสื่อสารสะดวกขึ้น นโยบายจำนำข้าวส่งผลให้ข้าวราคาสูงและชาวนาเป็นอิสระจากความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์และมีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางและโรงสีมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาวะที่ราคาข้าวตกต่ำหลังนโยบายจำนำข้าว พบว่า ชาวนา พ่อค้าคนกลาง โรงสี ได้มีการนำทุนทางสังคมในรูปแบบของความไว้วางใจและเครือข่าย เพื่อมาใช้เป็นทุนสำหรับการปรับตัว ทุนทางสังคมดังกล่าวจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวนาและพ่อค้าคนกลางบางกลุ่ม สามารถลดผลกระทบ หรือสร้างช่องทางในการปรับตัวตัวที่หลากหลายขึ้นได้มากกว่าชาวนาและพ่อค้าคนกลางที่ใช้แต่ความสัมพันธ์ในกลไกตลาดเท่านั้น คำสำคัญ : ความสัมพันธ์ทางสังคม ทุนทางสังคม ระบบการค้าข้าว
บทบาทของชุมชนในการฟื้นฟูตลาดเก้าห้องเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดสุพรรณบุรี, วชิรภรณ์ สกุลดิษฐ
บทบาทของชุมชนในการฟื้นฟูตลาดเก้าห้องเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดสุพรรณบุรี, วชิรภรณ์ สกุลดิษฐ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาถึงพัฒนาการของชุมชนตลาดเก้าห้อง 2) เพื่อศึกษาบทบาทของชุมชนในการฟื้นฟูชุมชนตลาดเก้าห้อง 3) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเสนอแนะแนวทางการฟื้นฟูและการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนตลาดเก้าห้อง อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ยั่งยืน การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 กลุ่มได้แก่ กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ กลุ่มผู้ถือครองที่ดิน กลุ่มผู้อาศัยอยู่ในชุมชน และ กลุ่มนักท่องเที่ยว ผลการศึกษาการวิจัยพบว่า 1) บริบทชุมชนจากพัฒนาการของชุมชนตลาดเก้าห้อง แบ่งออกเป็น 6 ยุค ได้แก่ ยุคการตั้งถิ่นฐาน ยุคขยายตัวสู่ยุครุ่งเรือง ยุคเศรษฐกิจซบเซาช่วงที่ 1 ยุคเริ่มต้นการฟื้นฟูชุมชน ยุคเศรษฐกิจซบเซาช่วงที่ 2 และยุคการฟื้นฟูด้วยการหนุนเสริมการท่องเที่ยว พัฒนาการของชุมชนแสดงให้เห็นว่า ชุมชนมีเอกลักษณ์เป็นตลาดเก่าที่ตั้งที่อยู่บริเวณริมน้ำ มีความโดดเด่นในด้านการค้าและเศรษฐกิจมาตั้งแต่อดีตและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อและรูปแบบสถาปัตยกรรมบ้านเรือนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน 2) บทบาทของชุมชนมีความเด่นชัดในช่วงยุคแห่งการฟื้นฟูชุมชนเมื่อเกิดโครงการฟื้นฟูด้านต่างๆ และชุมชนเริ่มมีบทบาทในการทำงานร่วมกัน 3) การทำงานของชุมชนในรูปแบบเครือข่ายและขั้นตอนการมีส่วนร่วมเป็นบทบาทสำคัญของชุมชนในการฟื้นฟู ชุมชนตลาดเก้าห้องมีการเข้าถึงข่าวสาร การปรึกษาหารือ และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้อย ทำให้โครงการไม่มีประสิทธิภาพ 4) แนวทางการฟื้นฟูชุมชนจะต้องมุ่งเน้นการสร้างบทบาทของคนในชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง และมีบทบาทในการขับเคลื่อนอย่างชัดเจนในทุกกระบวนการ และทุกขั้นตอน โดยต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจในการทำงานร่วมกันทั้งกับคนภายในชุมชน และหน่วยงานภายนอก ดังนั้นในการฟื้นฟูชุมชนตลาดเก้าห้องต้องสร้างคนรุ่นใหม่ และส่งเสริมให้มีบทบาทในชุมชนมากขึ้น เพื่อเป็นหลักในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูชุมชนในอนาคต เพื่อให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน