Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Business Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Operations and Supply Chain Management

Chulalongkorn University

Theses/Dissertations

2020

Articles 1 - 30 of 58

Full-Text Articles in Business

การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลาก, รวิสรา ขจรวีระธรรม Jan 2020

การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลาก, รวิสรา ขจรวีระธรรม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

โครงงานพิเศษฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลาก เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจรับขนส่งสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาแห่งหนึ่ง โดยใช้เครื่องมือทางการเงินซึ่งประกอบไปด้วยระยะเวลาคืนทุนคิดลด (Discounted Payback Period) มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ (NPV) อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (BC Ratio) อัตราส่วนผลตอบแทนภายในโครงการ (IRR) และการวิเคราะห์ความไว มาเป็นเกณฑ์ในการวัดความคุ้มค่าของโครงการว่าควรลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลากหรือไม่ ผลการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลากในธุรกิจรับขนส่งสินค้าของบริษัทกรณีศึกษา มีความเป็นไปได้ในการลงทุนซื้อรถเพียง 1 คัน โดยมีระยะเวลาคืนทุนคิดลดของโครงการเท่ากับ 4.81 ปี มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ มีค่าเท่ากับ 3,294,788.24 บาท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน มีค่าเท่ากับ 6.27 เท่า และอัตราส่วนผลตอบแทนภายในโครงการ มีค่าเท่ากับร้อยละ 29.67 และเมื่อนำมาวิเคราะห์ความไว โดยมีการกำหนดให้ผลตอบแทนลดลงร้อยละ 5 และ 10 ต่อปี และต้นทุนในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และ 10 ต่อปี พบว่า โครงการดังกล่าวยังมีความเป็นไปได้และน่าสนใจลงทุน โดยระยะเวลาคืนทุนยังอยู่ภายใต้ช่วงเวลาที่กำหนด มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดมีค่ามากกว่า 0 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนมีค่ามากกว่า 1 และอัตราส่วนผลตอบแทนภายในโครงการมีค่ามากกว่าเกณฑ์ที่บริษัทคาดหวังทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่ผลตอบแทนของโครงการลดลงร้อยละ 10 ต่อปีที่อัตราส่วนผลตอบแทนภายในโครงการมีค่าน้อยกว่าเกณฑ์ที่คาดหวังที่ทำให้โครงการนี้ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน


ปัจจัยทางโลจิสติกส์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเช่าที่อยู่อาศัย, วรรณพร ม้าคนอง Jan 2020

ปัจจัยทางโลจิสติกส์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเช่าที่อยู่อาศัย, วรรณพร ม้าคนอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาปัจจัยทางโลจิสติกส์ใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเช่าที่อยู่อาศัย โดยสำรวจจากประชากรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมีกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 424 คน การศึกษาครั้งนี้เป็นเชิงปริมาณ (Quantitative study) โดยมีเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็น แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยในการที่ตัดสินใจเช่าที่อยู่อาศัย มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ และ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์ความถดถอยโลจิสติก (Logistic Regression Analysis) ผลวิเคราะห์ความถดถอยโลจิสติก (Logistic Regression Analysis) พบว่า ปัจจัยทางโลจิสติกส์ที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าที่อยู่อาศัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัย 0.05 คือ 1) ระยะทางระหว่างที่พักกับสถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษา 2)การมีรถประจำทางให้บริการในบริเวณใกล้เคียง และปัจจัยทางโลจิสติกส์มีอิทธิพลสุดสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ระยะทางหว่างที่พักกับสถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษา นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนมากเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและรถประจำทาง ทำให้ปัจจัยทำเลที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้าและอัตราโดยสารรถไฟฟ้าไม่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าที่อยู่อาศัย ทำเลที่ตั้งใกล้ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดเป็นแหล่งชุมชนมาผู้สัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดความแออัด และความไม่เป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นทำให้ผู้เช่า หรือผู้ที่ต้องการเช่าที่อยู่อาศัยไม่เลือกอยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าว และเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างส่วนมากเป็นกลุ่มวัยรุ่นยังไม่เห็นถึงความสำคัญของโรงพยาบาล จึงไม่คำนึงถึงทำเลที่ตั้งให้โรงพยาบาล


การวางแผนการขนส่งน้ำมันทางเรือภายใต้ความไม่แน่นอนของอุปสงค์และความพร้อมของทรัพยากร, ชลธิศ บำรุงวัด Jan 2020

การวางแผนการขนส่งน้ำมันทางเรือภายใต้ความไม่แน่นอนของอุปสงค์และความพร้อมของทรัพยากร, ชลธิศ บำรุงวัด

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาแบบจำลองสถานการณ์ของการวางแผนขนส่งน้ำมันทางเรือจำนวน 3 ประเภทจากโรงกลั่นกรุงเทพมหานครไปเติมที่คลังน้ำมันปลายทางสุราษฎร์ธานีภายใต้ความไม่แน่นอนของอุปสงค์และความพร้อมของทรัพยากร อุปสงค์น้ำมันถูกจำลองขึ้นมาเทคนิคมอนติคาร์โล ขณะที่ตัวแปรในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อแบบจำลองประกอบด้วย ระดับน้ำมันในถัง จำนวนและขนาดบรรทุกของเรือ ความพร้อมของเรือขนส่งในสัญญา และความพร้อมของท่าเรือ และแบบจำลองถูกสร้างเพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ตามเงื่อนไขเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณบรรทุกของเรือขนส่งและนโยบายการเติมสินค้า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่กำหนดนโยบายการเติมสินค้าแบบ 70/70/70 ซึ่งเป็นการกำหนดจุดเติมสินค้าเมื่อถังมีพื้นที่ว่าง 70 เปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์จากแบบจำลองแสดงให้เห็นว่าการวางแผนขนส่งด้วยเรือ 2 ลำ ที่ปริมาณบรรทุกรวม 3.2 ล้านลิตร ทำให้เกิดต้นทุนรวมค่าขนส่งต่ำที่สุด สำหรับนโยบายทางเลือกที่ปรับปรุงจุดเติมสินค้าของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเมื่อถังมีพื้นที่ว่าง 60 เปอร์เซ็นต์ ได้ส่งผลต่ออรรถประโยชน์ในการใช้เรือเพิ่มขึ้น การลดลงของน้ำมันขาดมือที่คลังปลายทาง และต้นทุนรวมค่าขนส่งที่ลดลง จากผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและต้นทุนมีผลกระทบมาจากนโยบายการเติมสินค้าและจำนวนเรือขนส่ง


การปรับปรุงกระบวนการจัดการคำสั่งซื้อแบบโครงการ, อัจฉราพร นาคจู Jan 2020

การปรับปรุงกระบวนการจัดการคำสั่งซื้อแบบโครงการ, อัจฉราพร นาคจู

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยฉบับนี้คือ ปรับปรุงกระบวนการจัดการคำสั่งซื้อแบบโครงการภายในประเทศของบริษัทกรณีศึกษาเป็นบริษัทค้าปลีก จำหน่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย โดยการประยุกต์ใช้แนวทางดำเนินงานวิจัยด้วยหลักซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) ตามกระบวนการ Define – Measure – Analysis- Improve - Control เริ่มจากการศึกษาแผนภูมิองค์กรของหน่วยงานที่ดูแลคำสั่งซื้อแบบโครงการ แผนผังการไหลของกระบวนการ สอบถามพนักงานที่ปฏิบัติงานหน้างานจริง มุ่งเน้นหาสาเหตุของปัญหาการจัดส่งแบบ Late Full ทั้งหมด 6,044 คำสั่งซื้อ (36%) พบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา 6 สาเหตุ และเสนอให้มีการปรับปรุงกระบวนการและการควบคุมแยกเป็นภายในองค์กรและคู่ค้า ภายในองค์กรมีการปรับปรุงการไหลเวียนของข้อมูล การกระจายข้อมูลไปยังผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานได้อย่างทั่วถึง การลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าข้ามสาขาโดยการใช้รถเที่ยวเปล่า สามารถลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้ 51-73% การปรับกระบวนการ S&OP เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน วางแผนอย่างน้อย 12 เดือนยาวพอที่จะครอบคลุมระยะเวลาในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่วนคู่ค้าจะต้องให้ความสำคัญกับการเข้ามาใช้ระบบ VRM ของบริษัท เพื่อเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ และยอมรับผลการประเมิน เพื่อกำหนดกรอบการทำงานและออกแบบกระบวนการทำงานที่เหมาะสมต่อไป


การวิเคราะห์การจัดเส้นทางการให้บริการหลังการขายด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ : กรณีศึกษา บริษัท Xyz, ธมนวรรณ พูลพุฒ Jan 2020

การวิเคราะห์การจัดเส้นทางการให้บริการหลังการขายด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ : กรณีศึกษา บริษัท Xyz, ธมนวรรณ พูลพุฒ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจบอร์ดแบนด์อินเทอร์เน็ต การได้กำไรในด้านการบริการหลังการขาย คือการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหรือการลดระยะการเดินทางการให้บริการของช่างที่ไปบ้านลูกค้ากรณีมีเหตุแจ้งเสีย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การจัดเส้นทางบริการหลังการขาย เพื่อยกระดับการดำเนินงานในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นประหยัดต้นทุนด้านการบริการหลังการขาย คือลดระยะเส้นทางการดำเนินงานให้น้อยลง โดยพิจารณาจากตำแหน่งลูกค้าที่ต้องให้บริการ เวลาที่ลูกค้านัดหมาย และระยะทางในการเดินทางของช่าง โดยนำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์มาประยุกต์ในการจำลองเส้นทางการทำงานแบบเดิม โดยให้วิเคราะห์แบบคงลำดับการทำงานแบบเดิม (ฟังก์ชัน Route) และวิเคราะห์เส้นทางการทำงานแบบใหม่ที่เหมาะสม โดยให้จัดลำดับลูกค้าใหม่ได้ (ฟังก์ชัน Vehicle Routing Problem หรือ VRP) ผลการวิจัยพบว่า สามารถลดจำนวนเส้นทางการให้บริการของช่างได้ถึง 15 เส้นทาง คิดเป็นลดลงร้อยละ 6.12 สามารถลดระยะการทำงานได้ถึง 1,730.83 กิโลเมตร คิดเป็นลดลงร้อยละ 20.59 แต่ในส่วนของการตรงต่อเวลานัดหมายลดลงจากเดิม 3.31% ซึ่งเป็นการล่าช้าในเวลาไม่เกิน 10 นาที


การวิเคราะห์ปัจจัยและพื้นที่ศึกษา สำหรับสร้างโรงงานผลิตท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ด้วยกระบวนการ Ahp ร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Gis, ธนา ภัทรจรรยานันท์ Jan 2020

การวิเคราะห์ปัจจัยและพื้นที่ศึกษา สำหรับสร้างโรงงานผลิตท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ด้วยกระบวนการ Ahp ร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Gis, ธนา ภัทรจรรยานันท์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมเพื่อเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตท่อส่งก๊าซธรรมชาติ LNG บริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังและนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและขนส่งสินค้า เนื่องจากตัวสินค้ามีลักษณะเฉพาะ พร้อมทั้งช่วยลดระยะเวลาในการคัดเลือกพื้นที่ซึ่งอาจกระทบต่อระยะเวลาในสัญญารับเหมาก่อสร้าง ผู้วิจัยได้ทำการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และวิศวกรผู้ปฏิบัติงานจริงจำนวน 7 ท่าน ในการประเมินลำดับความสำคัญของปัจจัยหลักซึ่งแบ่งตามทฤษฎี 7R Logistics และปัจจัยรองภายในกลุ่มปัจจัยหลักเดียวกัน ด้วยกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytical Hierarchy Process; AHP) จากนั้นจึงทำผลที่ได้มานำเสนอร่วมกับ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกพื้นที่ต่อไป ผลจากการวิเคราะห์ลำดับสำคัญของปัจจัยพบว่า กลุ่มปัจจัยหลักที่ได้รับลำดับความสำคัญของปัจจัยค่อนข้างสูง ได้แก่ ความสมบูรณ์ของสินค้า (Right Conviction) 31.74% , ความถูกต้องเหมาะสมทางภูมิศาสตร์และความพร้อมของพื้นที่ (Right Place) 28.04% และ ความถูกต้องด้านปริมาณสินค้า (Right Quantity) 20.87% ส่วนกลุ่มปัจจัยหลักที่ได้รับลำดับความสำคัญค่อนข้างน้อยได้แก่ ความถูกต้องเหมาะสมด้านต้นทุน (Right Cost) 10.66% และ ความถูกต้องในเรื่องระยะเวลา (Right Time) 8.69% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของพื้นที่ศึกษาพบว่าบริเวณพื้นที่นิคมอุสาหกรรมแหลมฉบังมีคุณสมบัติตรงตามกลุ่มปัจจัยที่มีลำดับความสำคัญสูง มากกว่าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ส่วนกลุ่มปัจจัยที่มีความสำคัญค่อนข้างน้อยทั้งสองพื้นที่มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกันทั้งสองพื้นที่


การจัดการโลจิสติกส์เพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Logistics) กรณีศึกษาบริจาคหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิด -19 ที่ระบาดในประเทศไทยขององค์การระหว่างประเทศกึ่งรัฐบาล, ณัฏยา แก้วประเสริฐ Jan 2020

การจัดการโลจิสติกส์เพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Logistics) กรณีศึกษาบริจาคหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิด -19 ที่ระบาดในประเทศไทยขององค์การระหว่างประเทศกึ่งรัฐบาล, ณัฏยา แก้วประเสริฐ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้ศึกษากระบวนการจัดการโลจิสติกส์เพื่อมนุษยธรรมที่หน่วยงานผู้บริจาคดำเนินการเพื่อบริจาคหน้ากากอนามัยให้แก่สภากาชาดไทยที่มีความล่าช้า ใช้เวลาตลอดทั้งกระบวนการถึง 29 วันในปัจจุบัน โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ปฏิบัติงานจริง ออกแบบเป็นแผนผังสถานะปัจจุบัน วิเคราะห์ด้วยทฤษฎีแผนผังสายธารคุณค่า (VSM) เพื่อจำแนกคุณค่าของกิจกรรมและระบุความสูญเปล่า จากนั้นวิเคราะห์หาสายงานวิกฤต (Critical Path) ด้วยเทคนิคระเบียบวิธีวิกฤต (CPM) เพื่อแก้ไขให้มีขนาดสั้นที่สุด จัดลำดับกิจกรรม จนได้กระบวนการจัดการโลจิสติกส์แบบใหม่ออกมาในรูปแบบไดอะแกรม เพื่อใช้เป็นแนวทางในอนาคต ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วย VSM โดยการกำจัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น การรวบหลายๆ กิจกรรมเข้าด้วยกันเพื่อลดขั้นตอนและลดระยะเวลาในการดำเนินงาน และวิเคราะห์โครงข่ายงานหาสายงานวิกฤตและปรับปรุงให้มีขนาดสั้นที่สุด พบว่ากระบวนการจัดการโลจิสติกส์แบบใหม่สามารถลดกิจกรรมจาก 24 กิจกรรม เหลือ 14 กิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 41.6 ลดระยะเวลาในการดำเนินการ จาก 29 วันทำการ เหลือ 10 วันทำการ คิดเป็นร้อยละ 65.5 กระบวนการจัดการโลจิสติกส์แบบใหม่นี้จะช่วยให้หน้ากากอนามัยถึงมือผู้ประสบภัยได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย สอดคล้องกับการจัดการโลจิสติกส์เพื่อมนุษยธรรมในสถานการณ์ภัยพิบัติ


การบริหารความเสี่ยงในกระบวนการติดตั้งระบบ Erp เพื่อประยุกต์ใช้กับระบบการดำเนินงานของบริษัทอู่ต่อเรือ Abc, ศิรินทร์พัชร์ เอื้ออำพน Jan 2020

การบริหารความเสี่ยงในกระบวนการติดตั้งระบบ Erp เพื่อประยุกต์ใช้กับระบบการดำเนินงานของบริษัทอู่ต่อเรือ Abc, ศิรินทร์พัชร์ เอื้ออำพน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่จะส่งผลกระทบให้เกิดความล้มเหลวต่อการดำเนินงานในกระบวนการติดตั้งระบบ ERP ซึ่งจัดเป็นกระบวนการหนึ่งของวัฏจักรชีวิตของโครงการระบบ ERP รวมถึงการเสนอแนวทางการจัดการสาเหตุของความเสี่ยงในกรณีศึกษาบริษัทอู่ต่อเรือ วิธีการวิจัยนี้ได้นำหลักการบริหารจัดการความเสี่ยง AS/NZS 4360:2004 มาประยุกต์ใช้เป็นกรอบการดำเนินงานวิจัย ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรมและการสัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับบ่งชี้ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของแต่ละปัจจัยเสี่ยง และตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งกับทีมผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวมาประเมินความเสี่ยงและจัดเรียงอันดับระดับความสำคัญจากค่าความสัมพันธ์ระหว่างโอกาสที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยง โดยใช้วิธีระดมความคิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในโครงการของบริษัทกรณีศึกษา ผลการวิจัยในครั้งนี้สามารถรวบรวมปัจจัยเสี่ยงในกระบวนการติดตั้งระบบทั้งหมด 8 ปัจจัย จากการประเมินความเสี่ยง ทำให้ทราบว่าบริษัทต้องมีการจัดการลดระดับความเสี่ยงทั้ง 7 ปัจจัยที่อยู่ในระดับสูงมากและสูงเป็นอันดับแรก เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยการบริหารการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเป็นความเสี่ยงที่มีระดับความเสี่ยงสูงที่สุด ถึงเเม้ว่าปัจจัยการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานมีระดับความเสี่ยงต่ำที่สุดในปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด แต่เป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่อโครงการได้ในระยะยาว ดังนั้นควรมีการเฝ้าติดตาม นอกจากนี้งานวิจัยได้เสนอแนะวิธีในการควบคุมและจัดการสาเหตุของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้กับบริษัทกรณีศึกษาสำหรับการวางแผนบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการรับมือและป้องกันความล้มเหลวของการดำเนินโครงการระบบ ERP


การวิเคราะห์หาคลังสินค้าแห่งใหม่โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ : กรณีศึกษาบริษัท Fmcg, ณิชาภัทร หมอกมืด Jan 2020

การวิเคราะห์หาคลังสินค้าแห่งใหม่โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ : กรณีศึกษาบริษัท Fmcg, ณิชาภัทร หมอกมืด

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บริษัท FMCG เป็นบริษัทมีการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีสภาพคล่องการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก และด้วยจำนวนของผู้ใช้สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องผลิตสินค้าในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อต้นปี 2563 บริษัทมียอดความต้องการของสินค้าส่งออกที่มากขึ้น เนื่องจากฐานการผลิตที่ไทยได้เพิ่มจำนวนสินค้าและประเทศส่งออกที่มากขึ้น โดยเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวจากเดิมและครอบคลุมความต้องการของทั้ง ASEAN จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความต้องการในการผลิตสินค้าที่มากขึ้น เมื่อความต้องการมากขึ้นวัตถุดิบในการผลิตและสินค้าสำเร็จรูปก็มากขึ้นพื้นที่หรือคลังสินค้าในการจัดเก็บจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการให้เพียงพอกับกับความต้องการที่มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องปรับปรุงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังแต่ละคลังให้มีความเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าที่เกินความจำเป็น เพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท การนำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์มาใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากโรงงานการผลิตไปยังคลังสินค้าแห่งใหม่ และจากคลังสินค้าแห่งใหม่ไปยังท่าเรือกรุงเทพฯ เพื่อความแม่นยำในการวิเคราะห์ด้านภูมิศาสตร์มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อเลือกคลังสินค้าใหม่ที่จะทำการเช่าสามารถเพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และมีการทำงานที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุดและใช้งานคลังสินค้าอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทำการศึกษาจากตัวอย่างของกรณีคลังสินค้าที่อยู่ในอำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ อำเภอบางเสาธง และอำเภอเมืองจังหวัดสมุทรปราการจำนวน 10 แห่ง


การเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมของคลังสินค้า: กรณีศึกษา บริษัท Abc จำกัดโดยใช้กระบวนการตัดสินใจแบบวิเคราะห์ลำดับชั้น, เพ็ญพิมล อยู่รุ่งเรืองศักดิ์ Jan 2020

การเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมของคลังสินค้า: กรณีศึกษา บริษัท Abc จำกัดโดยใช้กระบวนการตัดสินใจแบบวิเคราะห์ลำดับชั้น, เพ็ญพิมล อยู่รุ่งเรืองศักดิ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้เป็นการประยุกต์ใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic Hierarchy Process) ในการเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้า โดยมีกรณีศึกษาเป็นบริษัทที่ให้บริการเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซื้อขายสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าตกแต่งบ้าน ตลอดจนให้บริการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าปลายทาง โดยมีการวิเคราะห์ปัจจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังนี้ ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าแรงงาน ระยะทางระหว่างคลังกับผู้ขาย ระยะทางระหว่างคลังกับลูกค้า ความพร้อมทางด้านคมนาคม ความพร้อมด้านสาธารณูปโภค สังคมและชุมชน และความเสี่ยงที่จะเกิดภัยทางธรรมชาติ เพื่อนำมาพิจารณาทางเลือกที่ตั้งคลังสินค้าจำนวน 4 ทำเล การวิจัยได้นำปัจจัยและทางเลือกมาพัฒนาเป็นโครงสร้างแผนภูมิลำดับชั้นตามกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์จากแบบสอบถามเรื่องปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าพบว่า ผู้ตัดสินใจให้ความสำคัญกับปัจจัยตามลำดับความสำคัญเรียงจากมากไปหาน้อย ดังนี้ อันดับหนึ่งคือระยะทางระหว่างคลังกับลูกค้า (26.91%) รองลงมาคือระยะทางระหว่างคลังสินค้ากับผู้ขาย (19.20%) ความพร้อมด้ามคมนาคม (14.36%) ค่าที่ดิน (10.04%) ความพร้อมด้านสาธารณูปโภค (6.39%) ความเสี่ยงที่จะเกิดภัยทางธรรมชาติ (6.37%) ค่าแรงงาน (6.22%) ค่าก่อสร้าง (5.3%) สังคมและชุมชน (5.23%) เป็นลำดับสุดท้าย โดยสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวไปนำเสนอเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาในอนาคต


การลดเวลาการให้บริการกรณีศึกษาร้านอาหารญี่ปุ่น Xxx, ณัฐชัย ศิริแสงชัยกุล Jan 2020

การลดเวลาการให้บริการกรณีศึกษาร้านอาหารญี่ปุ่น Xxx, ณัฐชัย ศิริแสงชัยกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งได้ดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 5 ปี มีรูปแบบการขายอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ทางร้านพบว่ายังมีลูกค้าบางส่วนที่ไม่ประทับใจในการให้บริการของทางร้านเนื่องจากลูกค้าได้รับอาหารนาน ที่ทางร้านจะได้รับเป็นข้อเสนอตามเว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่นในการสังคมออนไลน์ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้กระบวนการออกอาหารช้า คือ การทำอาหารใช้เวลานาน และตารางพนักงานที่ไม่เหมาะสม ผู้ศึกษาจึงเสนอวิธีแก้ปัญหาดัง 2 วิธี คือ 1. ลดความจุต่อจานของอาหารประเภทซูชิและซาชิมิ และ 2.จัดตารางพนักงานใหม่ โดยคาดหวังในสามารถลดเวลาในการให้บริการเฉลี่ยได้ 1 นาที และรักษาระดับอรรถประโยชน์ของพนักงานไว้ที่ไม่เกิน 70 % ในช่วงเวลา 11:00-16:00 น. ของวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้ามากที่สุดของทางร้าน ผู้ศึกษาได้ใช้แบบจำลองสถานการณ์ผ่านโปรแกรม Arena โดยใช้ข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2564 พบว่า วิธีที่ 2 หรือวิธีการจัดตารางพนักงานใหม่โดยพิจารณาข้อมูลจำนวนลูกค้าเข้าในแต่ละช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต และจัดตารางพนักงานให้สอดคล้องลูกค้าที่เข้ามาเป็นวิธีที่ได้ผลในการลดเวลาในการให้บริการเฉลี่ยโดยสามารถลดได้ถึง 3.15 นาที ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ในขณะที่การลดความจุต่อจานของอาหารประเภทซูชิและซาชิมิสามารถลดได้เวลาในการให้บริการเฉลี่ยได้ 0.935 นาทีซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ดีทั้ง 2 วิธีสามารถรักษาระดับอรรถประโยชน์พนักงานไว้ที่ 70%


การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง กรณีศึกษา บริษัท Abc, ชาธินี ศรีงาม Jan 2020

การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง กรณีศึกษา บริษัท Abc, ชาธินี ศรีงาม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและปรับปรุงรูปแบบการสั่งซื้อสินค้าในปริมาณที่เหมาะสม โดยนำเทคนิคการพยากรณ์เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล และเพื่อช่วยลดต้นทุนสินค้าที่เกิดจากการบริหารสินค้าคงคลัง จากการศึกษาพบว่าบรืษัทกรณีศึกษายังไม่มีระบบจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะสม และไม่มีมาตราการกำหนดปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่เหมาะสม ปัจจุบันอาศัยเพียงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในการกำหนด ทำให้บริษัทประสบปัญหาปริมาณสินค้าคงคลังมากเกินความต้องการ (Over Stock) ส่งผลให้มีต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าที่สูง ผู้วิจัยรวบรวมและนำข้อมูลยอดขายสินค้า ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 - เดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 มาวิเคราะห์หาระดับความสำคัญของสินค้าแต่ละชนิดโดยใช้วิธีการแบ่งกลุ่มสินค้าแบบ ABC Classification พบว่า กลุ่ม A มีสินค้าจำนวน 7 รายการ มูลค่ารวมคิดเป็น 73.11 % ของยอดขายสินค้าทั้งหมด มูลค่าเท่ากับ 19,613,390.00 บาท จากนั้นเลือกใช้วิธีการพยากรณ์ด้วยเทคนิคอนุกรมเวลา (Time Series Forecasting) แบบมีฤดูกาลจำนวน 3 วิธี ซึ่งประกอบด้วย การพยากรณ์ข้อมูลที่มีอิทธิพลของฤดูกาลเพียงอย่างเดียว (Simple Seasonal Exponential Smoothing method), การพยากรณ์ข้อมูลที่มีอิทธิพลของฤดูกาลและแนวโน้มเชิงบวก (Holt-Winters’ Additive Seasonal Smoothing Method) และการพยากรณ์ข้อมูลที่มีอิทธิพลของฤดูกาลและแนวโน้มเชิงคูณ (Holt-Winters' Multiplication Seasonal Smoothing Method) มาวิเคราะห์และพยากรณ์ความต้องการสินค้าในอนาคต หลังจากนั้น คำนวณหาปริมาณการสั่งซื้ออย่างประหยัด (EOQ) จุดสั่งซื้อใหม่ (ROP) และต้นทุนรวมสินค้าคงคลังที่ต่ำที่สุด ผลการวิจัยพบว่า การสั่งซื้อรูปแบบที่นำเสนอสามารถช่วยลดต้นทุนรวมสินค้าคงคลังของบริษัทกรณีศึกษา ได้เท่ากับ 1,220,824.64 บาท หรือเท่ากับ 44% เมื่อเทียบกับนโยบายปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าการสั่งซื้อในรูปแบบใหม่ที่นำเสนอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาได้ดียิ่งขึ้น


การเลือกตำแหน่งที่ตั้งโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล: กรณีศึกษา บริษัทแสตมป์ปิ้งฟอยล์, วิภาวี จันทร์แก้ว Jan 2020

การเลือกตำแหน่งที่ตั้งโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล: กรณีศึกษา บริษัทแสตมป์ปิ้งฟอยล์, วิภาวี จันทร์แก้ว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บริษัทกรณีศึกษามีโรงงานสำหรับแปรรูปสินค้าและคลังสินค้าตั้งอยู่ในพื้นที่เขตคลองเตย กรุงเทพฯ มีแนวคิดที่จะลงทุนซื้อเครื่องจักรเพิ่มและขยายธุรกิจเพื่อรองรับยอดขายในอนาคต จึงจำเป็นต้องหาพื้นที่ที่สามารถจัดตั้งโรงงานได้ตามกฎหมาย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะวิเคราะห์หาพื้นที่ที่เหมาะสมสร้างโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลของบริษัทกรณีศึกษา โดยมุ่งเน้นถึงประสิทธิภาพด้านระยะทางการขนส่งเป็นหลัก งานวิจัยนี้จึงพิจารณาระยะทางจากสนามบินหรือท่าเรือสำหรับการนำเข้าสินค้า และระยะทางในการขนส่งสินค้าไปยังลูกค้าให้น้อยที่สุด ในการดำเนินงานวิจัย ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการหาพื้นที่ที่เหมาะสม โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับ (Overlay Function) เพื่อหาพื้นที่จำนวนหนึ่งตามเกณฑ์ที่กำหนด ร่วมกับเทคนิควิเคราะห์เมทริกซ์ต้นทุนระหว่างต้นทางและปลายทาง (Origin-Destination Cost Matrix) เพื่อคำนวณระยะทางถ่วงน้ำหนักของแต่ละเส้นทาง และใช้เทคนิคกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ ในการหาค่าน้ำหนักของแต่ละปัจจัย เพื่อนำไปกำหนดระดับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญให้ค่าน้ำหนักของปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดคือ ปัจจัยด้านราคาที่ดิน รองลงมาคือ ปัจจัยด้านพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ปัจจัยด้านระบบสาธารณูปโภค และปัจจัยด้านระยะห่างจากถนนสายหลัก เป็นลำดับสุดท้าย ผลการศึกษาพบว่าพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับสร้างโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่มากที่สุด คือ พื้นที่บริเวณแขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร


นโยบายสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือโครงสร้างพื้นฐาน, เสาวลักษณ์ ปศุพันธาภิบาล Jan 2020

นโยบายสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือโครงสร้างพื้นฐาน, เสาวลักษณ์ ปศุพันธาภิบาล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดนโยบายสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจเครื่องมือโครงสร้างพื้นฐานเพื่อปรับปรุงระดับการให้บริการลูกค้าและลดต้นทุนสินค้าคงคลังรวม โดยจำแนกประเภทสินค้าแบบ ABC จากข้อมูลความต้องการสินค้าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อคัดเลือกสินค้าตัวอย่างจากกลุ่ม A ที่ตรงตามเงื่อนไขของงานวิจัยซึ่งมีทั้งหมด 5 รายการ จากนั้นศึกษาข้อมูลในอดีตของสินค้าตัวอย่างทั้ง 5 รายการเพื่อนำมาพยากรณ์ความต้องการสินค้าล่วงหน้าเป็นเวลา 3 เดือนและสามารถแบ่งกลุ่มสินค้าได้เป็นสองกลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 มีข้อมูลความต้องการสินค้าในอดีต 12 เดือนซึ่งไม่สามารถตรวจสอบแนวโน้มหรือฤดูกาลได้ ดังนั้นจึงเปรียบเทียบวิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามเดือนและการปรับเรียบอย่างง่าย และกลุ่มที่ 2 มีข้อมูลความต้องการสินค้าในอดีต 24 เดือนซึ่งลักษณะข้อมูลเป็นฤดูกาล ดังนั้นจึงเปรียบเทียบวิธีการปรับเรียบแบบมีฤดูกาลอย่างง่ายและการปรับเรียบซ้ำสามครั้งของวินเตอร์ และเลือกวิธีพยากรณ์ที่ดีที่สุดจากค่าร้อยละผิดพลาดสัมบูรณ์เฉลี่ยที่ต่ำที่สุด และนำค่าพยากรณ์ที่ได้มากำหนดนโยบายสินค้าคงคลัง ทั้งนี้บริษัทกรณีศึกษามีระบบการวางแผนทรัพยากรในการควบคุมสินค้าคงคลังอยู่แล้ว ในงานวิจัยนี้จึงนำเสนอระบบการควบคุมสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งคำนวณปริมาณการสั่งซื้อแบบประหยัด สินค้าคงคลังสำรอง และจุดสั่งซื้อสินค้าคงคลัง ผลการวัดประสิทธิภาพของนโยบายที่นำเสนอสำหรับสินค้าทั้ง 5 รายการพบว่า ต้นทุนสินค้าคงคลังรวมของนโยบายที่นำเสนอลดลงจากนโยบายปัจจุบันเท่ากับUSD 9,507.35 หรือคิดเป็นร้อยละ 29 จาก USD 32,947.77 ลดลงเหลือ USD 23,440.43 ส่วนระดับการให้บริการลูกค้าของนโยบายที่นำเสนอเพิ่มขึ้นจากนโยบายปัจจุบันเฉลี่ยร้อยละ 52 จากร้อยละ 59 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 ตามเป้าหมายของบริษัทกรณีศึกษา


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับการใช้งาน Online Platform กรณีศึกษา บริษัทสายเรือ Abc, ภัทรา อำไพพรรณ Jan 2020

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับการใช้งาน Online Platform กรณีศึกษา บริษัทสายเรือ Abc, ภัทรา อำไพพรรณ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจุบันการส่งออกของไทยมีแนวโนมปรับตัวลดลง รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว และปัญหาปัจจุบันที่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างหนักคือ COVID-19 ซึ่งไม่ใช่เพียงการส่งออกของไทยเท่านั้นที่ชะลอตัว แต่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก และทำให้มีผลกระทบต่อหลายธุรกิจ รวมไปถึงการควบรวมธุรกิจของแต่ละสายเรือ ซึ่งมีการแข่งขันทางด้านบริการเพิ่มมากขึ้น ในแง่ของการบริการทางสายเรือ จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบให้การทำงานอย่างเป็นระบบ มีความรวดเร็วในการให้บริการ ถูกต้องแม่นยำ ข้อมูลเข้าถึงได้ง่าย และตรวจสอบได้ โดยบริษัทกรณีศึกษาเป็นบริษัทสายเรือเป็นสายการเดินเรือรายใหญ่ ใช้แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้นำเข้าและส่งออกสินค้าและตัวแทนผู้นำเข้าและส่งออก จำนวน 149 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับการใช้งาน Online Platform กรณีศึกษา บริษัทสายเรือ ABC จำนวน 4 ด้าน และความตั้งใจที่จะใช้งาน Online Platform ผลการศึกษาพบว่า ด้านความคาดหวังในประสิทธิภาพของการใช้งาน Online Platform ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้งาน Online Platform ด้านความง่ายในการใช้งาน และความตั้งใจที่จะใช้งาน Online Platform (Intention to Use) อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านอิทธิพลทางสังคมที่มีส่วนให้ใช้ Online Platform (Social Influence) อยู่ในระดับมาก ข้อมูลขององค์กรและข้อมูลส่วนบุคคลพบว่า ขนาดขององค์กร อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงานส่งผลต่อความตั้งใจที่จะใช้งาน Online Platform (Intention to Use) ในขณะที่อายุขององค์กร เงินลงทุนขององค์กร จำนวนสมาชิกในองค์กร เพศ หน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ส่งผลต่อความตั้งใจที่จะใช้งาน Online Platform (Intention to Use) ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกใช้ Online Platform ของลูกค้าที่ใช้บริการสายเรือ พบว่า ปัจจัยที่อิทธิพลต่อการเลือกใช้ Online Platform ของลูกค้าที่ใช้บริการสายเรือ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีจำนวน 3 ปัจจัย คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้งาน …


การศึกษามาตรการสากลในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำของประเทศไทยผ่านหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย, ปิยวัฒน์ วิริยะนันทวงศ์ Jan 2020

การศึกษามาตรการสากลในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำของประเทศไทยผ่านหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย, ปิยวัฒน์ วิริยะนันทวงศ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สารนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำเอามาตรการสากลในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำมาใช้ในประเทศไทยโดยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และเสนอแนะในการนำหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา รวมทั้งแนวทางการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำในประเทศไทย โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ การศึกษาวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก จากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีการนำเอามาตรการสากลในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำมาใช้หลายอย่าง แต่เป็นการกำหนดขอบเขตอย่างกว้าง ไม่มีการระบุรายละเอียดในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำอย่างชัดเจน มีเพียงแนวทางเพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเลจากกิจกรรมบนบก ค.ศ.1995 (GPA) ที่ได้ระบุถึงเรื่องการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำไว้ โดยประเทศไทยได้มีมาตรการที่เกี่ยวข้องอยู่ในรูปแบบของค่าปรับในการไม่ปฏิบัติตาม แต่ยังมีปัญหาในการปฏิบัติของทางเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้ เนื่องจากคนที่ลักลอบทิ้งขยะพลาสติกอาจใช้วิธีการเลี่ยงไม่ให้มองเห็นได้อย่างง่าย ทั้งนี้ ประเทศไทยได้มีการจัดประชุมโดยมีการระดมความคิดจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ผ่านหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายมาบังคับใช้ ซึ่งเป็นเพียงการพูดคุยกันแต่ยังไม่มีการนำมาปฏิบัติให้เห็นผล โดยปริมาณขยะพลาสติกยังไม่ลดลงเหมือนในต่างประเทศ จึงไม่เป็นแนวทางในการแก้ป้ญหาและแนวทางการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการทิ้งขยะพลาสติกทางน้ำในประเทศไทย


การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในการรับตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้า : กรณีศึกษาท่าเทียบเรือคอนเทนเนอร์ A, นันทิชา ทรัพย์ศิลป์ Jan 2020

การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในการรับตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้า : กรณีศึกษาท่าเทียบเรือคอนเทนเนอร์ A, นันทิชา ทรัพย์ศิลป์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การจัดการตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้าของท่าเรือกรณีศึกษาในปัจจุบันรวมถึงปัญหา พร้อมหาสาเหตุของปัญหา หลังจากนั้นจึงทำการหาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อลดระยะเวลาในการรับตู้คอนเทนเนอร์ของรถหัวลากจากท่าเรือคอนเทนเนอร์กรณีศึกษาให้สั้นลง และเพื่อเสนอแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการหยิบตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือกรณีศึกษา การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณที่นำตัวเลขสถิติการรับตู้คอนเทนเนอร์นำเข้าของลูกค้าในท่าเรือกรณีศึกษาในปี พ.ศ.2562 ซึ่งนำข้อมูลที่ได้มาจัดเรียงและทำการจำแนกข้อมูลออกเป็นกลุ่ม เพื่อจัดเรียงข้อมูลด้วยวิธีการ Zoned Storage หลังจากนั้นจะทำการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลก่อนการปรับปรุงประสิทธิภาพ และหลังการปรับปรุงประสิทธิภาพ ผลการศึกษาพบว่าหลังการปรับปรุงประสิทธิภาพนั้น ลูกค้าใช้เวลาในการรับตู้คอนเทนเนอร์ลดลง ซึ่งปัจจัยหลักของเวลาที่ลดลงนั้นคือการรอคอยการยกตู้คอนเทนเนอร์ที่กองเก็บในลานตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเมื่อเพิ่มการจัดกลุ่มลูกค้าปรับเข้าไปใช้แล้วนั้นทำให้เกิดความรวดเร็วในการยกตู้สินค้ามากขึ้น นอกจากระดับการให้บริการลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการที่ลูกค้าได้รับตู้คอนเทนเนอร์เร็วขึ้นแล้วนั้น ยังทำให้ท่าเรือกรณีศึกษาลดค่าใช้จ่ายลงในการรื้อตู้เพื่อยกตู้ให้กับลูกค้า และการยกตู้คอนเทนเนอร์ใบที่ไม่ต้องการเข้ากองเก็บได้ แต่ในขณะเดียวกันการปรับปรุงประสิทธิภาพนั้นก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนที่ลดลงไปนั้น ยังถือว่าท่าเรือกรณีศึกษายังสามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้อีกด้วย ซึ่งการตัดสินใจปรับปรุงประสิทธิภาพในครั้งนี้ถือว่าก่อให้เกิดประโยชน์กับท่าเรือกรณีศึกษาในแง่ค่าใช้จ่ายและการให้บริการลูกค้าที่รวดเร็ว ในส่วนของลูกค้าก็ได้รับความรวดเร็วด้วยเช่นกัน


Development Of Tod Readiness Index And Its Application To Transit Station In Bangkok, Srisamrit Supaprasert Jan 2020

Development Of Tod Readiness Index And Its Application To Transit Station In Bangkok, Srisamrit Supaprasert

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Studies on the Transit-Oriented Development (TOD) for Bangkok are found sparingly. The TOD concept is a supportive development for the rapidly changing city in order to reduce urban transport problems while encouraging people to shift transport modes to use public transportation instead of private cars. This study discusses the context of TOD in the density, the design, and the diversity of land use around transit stations among successful stations in many countries. There were 18 station areas in Bangkok which, by using the TOD Readiness score, the assessment of the stations implies that the higher scoring transit stations are more …


Servitization Model For Chemical Industry In Thailand, Tanyaporn Kanignant Jan 2020

Servitization Model For Chemical Industry In Thailand, Tanyaporn Kanignant

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Chemical industry traditionally produces and sells tangible goods in large volume and high price cometition. Recently, firms in chemical industry provide additional services to their customers. Several manufacturers change from tangible product suppliers to both product and service providers. This movement is called servitization (Vandermerwe & Rada, 1988). Chemical servitization levels can be classified into 4 categories which are product only, service added to the product, service differential the product and service is the product (Thoben, Eschenbacher, & Jagdev, 2001). The objectives of this paper are to construct servitization framework for chemical suppliers to shift to product service integration and …


การจัดซื้อภายใต้ต้นทุนเป้าหมาย กรณีตัวอย่างบริษัทวิศวกรรมตามคำสั่งซื้อ, บุญนภางค์ เจริญพรรุ่งเรือง Jan 2020

การจัดซื้อภายใต้ต้นทุนเป้าหมาย กรณีตัวอย่างบริษัทวิศวกรรมตามคำสั่งซื้อ, บุญนภางค์ เจริญพรรุ่งเรือง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สารนิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการจัดซื้อภายใต้ต้นทุนเป้าหมายในบริษัทที่มีธุรกิจแบบวิศวกรรมตามคำสั่งซื้อ (ETO-Engineer to order) ที่มีสินค้าหลากหลายสูงและปริมาณในการสั่งซื้อต่ำ จุดประสงค์ในการศึกษาเพื่อหาแนวทางในการกำหนดการจัดซื้อที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาต้นทุนสูงราคาที่เสนอต่อลูกค้าไม่สามารถแข่งขันได้ จากการศึกษาบริษัทตัวอย่างพบว่า มีการใช้ซัพพลายเออร์เพียงรายเดียวจากประเทศในกลุ่มประเทศยุโรป และไม่มีระบบการจัดหามาก่อน สารนิพนธ์ฉบับนี้อาศัยหลักการของการจัดซื้อภายใต้ต้นทุนเป้าหมาย โดยแบ่งกระบวนการทำงานออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่1 เริ่มจากการจัดตั้งทีมทำงานในระดับผู้บริหารเพื่อกำหนดกลยุทธ์และนโยบายในการดำเนินงาน ขั้นตอนที่2 คัดเลือกชิ้นส่วนนำร่องเพื่อกำหนดต้นทุนเป้าหมายในแต่ละชิ้นส่วนโดยคำนึงถึงราคาตลาดและอัตรากำไรที่ต้องการ ขั้นตอนที่3 จำแนกซัพพลายเออร์โดยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและ ประเมินและคัดเลือกซัพพลายเออร์จากเงื่อนไขทีกำหนด ขั้นตอนที่4 ทำการทวนสอบตามขั้นตอนที่ออกแบบภายใต้ต้นทุนเป้าหมายและทำการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการพัฒนากระบวนการจัดซื้อ ผลการประเมินขั้นต้นพบว่า บริษัทกรณีศึกษาสามารถลดต้นทุนลงได้ถึง 34% เมื่อเทียบกับต้นทุนเดิม ปัญหางานวิจัยที่พบในช่วงแรกของการศึกษาคือความท้าทายด้านการปรับแนวคิด ทัศนคติ และการสร้างความเข้าใจในปัญหาของทีมทำงาน


การปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกรายการวัสดุสำหรับทำสัญญายืนราคา : กรณีศึกษาบริษัทผลิตเหล็ก, พฤกษณี สุขกุล Jan 2020

การปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกรายการวัสดุสำหรับทำสัญญายืนราคา : กรณีศึกษาบริษัทผลิตเหล็ก, พฤกษณี สุขกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกรายการวัสดุสำหรับทำสัญญายืนราคาในงานจัดซื้อ กรณีศึกษาบริษัทผลิตเหล็กก่อสร้าง เพื่อให้ %Contract coverage และ %Effectiveness มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับปัจจุบัน การวิจัยได้วิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการคัดเลือก โดยมีแนวทางจะคัดเลือกรายการวัสดุที่มีโอกาสเกิดการสั่งซื้อมาทำสัญญายืนราคา สามารถแบ่งข้อมูลเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้ (1) รายการที่บริษัทมีข้อมูลอยู่แล้ว คือ รายการวัสดุกลุ่มสถานะ Fast Move เป็นรายการที่มีความถี่ในการใช้งานสูง มีโอกาสเกิดการสั่งซื้อมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งจากการพิสูจน์โดยใช้ประวัติการสั่งซื้อย้อนหลัง พบว่าจำนวนรายการวัสดุที่เกิดการสั่งการสั่งซื้อจริงมีมากกว่า 90% จากรายการทั้งหมด ข้อมูลชุดนี้มีความแม่นยำสามารถใช้เป็น Contract price list ใหม่ได้ (2) รายการที่เกิดจากคัดเลือกใหม่ 2 วิธี คือรายการวัสดุที่มีความแน่นอนในการสั่งซื้อที่ใช้ประวัติความถี่ในการสั่งซื้อคัดเลือก รวมกับ รายการวัสดุที่มีแผนการใช้งานที่ให้ตัวแทนผู้ใช้งานคัดเลือก ซึ่งจากการวัดผลประสิทธิภาพกลุ่มข้อมูลนี้สูงกว่าเมื่อเทียบกับปัจจุบัน สามารถใช้เป็น Contract price list ใหม่ได้ นอกจากนี้มีการวิเคราะห์เพิ่มเติมในส่วนของรายการวัสดุที่เกิดการสั่งซื้อแต่ไม่ถูกคัดเลือกเพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกต่อไป เมื่อทำการปรับปรุงกระบวนการคัดเลือก นำข้อมูลส่วนที่ (1) และ (2) มารวมกันแล้ววัดประสิทธิภาพ ผลคือ % Contract coverage จะเพิ่มขึ้นประมาณ 6% จากทั้งหมด ขณะที่ % Effectiveness จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% แสดงว่า การปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกรายการวัสดุสำหรับทำสัญญายืนราคา ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นได้ ข้อมูลงานวิจัยนี้สามารถใช้นำเสนอเป็นเพื่อแนวทางในการตัดสินใจของบริษัทกรณีศึกษาในอนาคต


การปรับปรุงกระบวนการจัดการข้อมูลรหัสบริษัท โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ : กรณีศึกษาบริษัท Abc, นุสรา ชาติเวียง Jan 2020

การปรับปรุงกระบวนการจัดการข้อมูลรหัสบริษัท โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ : กรณีศึกษาบริษัท Abc, นุสรา ชาติเวียง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดการข้อมูลรหัสบริษัทของบริษัทกรณีศึกษา ABC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ เนื่องจากค่าดัชนีชี้วัดผลงงานด้านสัดส่วนคำขอที่ดำเนินการเสร็จทันเวลาต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ตั้งปต่ปี 2019 และลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2020 ผู้ศึกษาจึงได้จัดการประชุมระดมความคิดเห็นจากพนักงานภายในหน่วยงาน เพื่อวิเคราะห์กระบวนการทำงานโดยใช้เทคนิคการตั้งคำถาม 5W-1H เพื่อศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนต่างๆ และใช้เทคนิค ECRS กำหนดแนวทางในการปรุบปรุงทั้ง 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) กำจัดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน 2) ลดการดำเนินการผ่านหลายระบบในเวลาเดียวกัน 3) ลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่สร้างคุณค่า 4) ปรับปรุงร่วมกันตามรูปแบบที่ 1-3 โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ผ่านโปแกรมอารีนา ผลจากการศึกษาพบว่าการปรับปรุงโดยใช้เทคนิค ECRS ตามการปรับปรุงในรูปแบบที่ 4 ทำให้ระยะเวลาเฉลี่ยที่พนักงานใช้ในการดำเนินการคำขอลดลงเหลือเพียง 8.68 นาที และลดระยะเวลาคอยโดยรวมเฉลี่ยต่อคำขอเหลือ 6.03 นาที ซึ่งสอดคล้องกับระดับอรรถประโยชน์ของพนักงานในการทำงานบนระบบเฉลี่ยลดลงเหลือเพียงร้อยละ 14 และค่าดัชนีชี้วัดผลงานของสัดส่วนคำขอที่ดำเนินการเสร็จทันเวลาเพิ่มขึ้นร้อยละ 99.53


การประเมินผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีต่อธุรกิจการขนส่งทางเรือ, มารวย ดุจธังกร Jan 2020

การประเมินผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีต่อธุรกิจการขนส่งทางเรือ, มารวย ดุจธังกร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่มีต่อธุรกิจทางเรือ ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น และการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ของทั้งการเดินเรือ และท่าเรือ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัยคือแบบสอบถามการประเมินถึงผลกระทบที่ได้รับ โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มตัวอย่างคือบริษัทสายเรือ หรือตัวแทนสายเรือในประเทศไทยที่เป็นสมาชิกของสมาคมเจ้าของเรือและตัวแทนเรือกรุงเทพ (BSAA) และ บริษัทรับจัดการขนส่งสินค้าที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยสถิติที่ในการเปรียบเทียบความความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายกลุ่ม คือ สถิติ Independent sample t-test. ผลจากการศึกษาพบว่าทั้งสองกลุ่มตัวอย่างให้คะแนนผลกระทบที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับที่มาก และ มากที่สุด มีระดับปานกลางเป็นส่วนน้อย ผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของการเดินเรือในระยะสั้น ที่ทั้งสองกลุ่มตัวอย่างมีความเห็นตรงกันว่ามีผลกระทบในระดับมากที่สุดคือด้านอัตราค่าระวางเรือสูงซึ่งอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาตรถูกจำกัด และ อุปสงค์,อุปทานที่ไม่ตรงกัน ส่วนผลกระทบที่มากที่สุดในด้านการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นที่เกิดขึ้นกับท่าเรือคือด้านปัญหาการขาดแคลนลานวางตู้คอนเทนเนอร์เนื่องจากความแออัด จากการสำรวจพบว่ามีความแตกต่างของผลกระทบที่เกิดขึ้นในบางด้านในการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นของการเดินเรือและท่าเรือ คือ ถึงแม้ระดับของผลกระทบจะเท่ากัน แต่มีความแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวที่เกิดขึ้นของการเดินเรือและท่าเรือจากการสำรวจไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05


การลดความสูญเสียในโซ่อุปทานของการส่งออกชิ้นส่วนประกอบรถยนต์, วิศรุตา พูนพิพัฒน์กุล Jan 2020

การลดความสูญเสียในโซ่อุปทานของการส่งออกชิ้นส่วนประกอบรถยนต์, วิศรุตา พูนพิพัฒน์กุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของ บริษัทกรณีศึกษา ส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อลดปัญหาการส่งมอบสินค้าที่ไม่ตรงความต้องการของลูกค้า การศึกษานี้ได้ปรุะยุกต์ใช้แนวคิด ลีน ซิกซ์ ซิกมา (Lean Six Sigma) และดำเนินการผ่านกระบวนการที่เรียกว่า DMAIC (Define-Measure-Analysis-Improve-Control) จากข้อมูลข้อร้องเรียนปัญหาคุณภาพสินค้าศึกษาพบว่าอาการสำคัญของปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ปัญหาทันที คือ ปัญหาสินค้าจัดส่งไม่ครบ หรือเกินจำนวน ซึ่งจะอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้จัดหาวัตถุดิบไปยังลูกค้า แต่เนื่องจากข้อจำกัด ในการรวบรวมข้อมูลภาคสนามเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ขอบเขตของการศึกษาจำกัดเฉพาะขั้นตอนการทำงานในคลังสินค้า กาวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงจะระบุสาเหตุหลักดังต่อไปนี้ 1) ภาระงานไม่เพียงพอ 2) การฝึกอบรมที่ไม่ดี 3) อุปกรณ์ชั่งน้ำหนักที่ไม่ดี และการเสนอแนวทางปรับปรุงพนักงาน ได้แก่ 1) การปรับสมดุลกำลังคนและการใช้งานล่วงเวลา 2) โปรแกรมการฝึกอบรมใหม่ 3) พัฒนาการควบคุมภาพเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่สถานีชั่งน้ำหนักและปรับปรุงอุปกรณ์น้ำหนัก คาดว่าการดำเนินการแก้ไขที่เสนอจะนำไปสู่การลดต้นทุนพนักงานชั่วคราว 11% และปัญหาการจัดส่งลดลง 75%


การเปรียบเทียบต้นทุนการขนส่งระหว่างการจัดเรียงพาเลทสินค้าชั้นเดียวบนรถบรรทุกกับการจัดเรียงพาเลทสินค้าซ้อนกัน 2 ชั้น, ชุติกาญจน์ กองทอง Jan 2020

การเปรียบเทียบต้นทุนการขนส่งระหว่างการจัดเรียงพาเลทสินค้าชั้นเดียวบนรถบรรทุกกับการจัดเรียงพาเลทสินค้าซ้อนกัน 2 ชั้น, ชุติกาญจน์ กองทอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเรียงและขนส่งสินค้าระหว่างการจัดเรียงพาเลทสินค้าชั้นเดียวบนรถบรรทุกโดยการบรรจุกล่องสินค้าลงบนพาเลทไม้ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันกับการจัดเรียงพาเลทสินค้าซ้อนกัน 2 ชั้นวิธีใหม่โดยการนำกล่องสินค้าบรรจุลงในตะกร้าเหล็กแล้ววางตะกร้าเหล็กซ้อนกัน 2 ชั้นบนรถบรรทุก งานวิจัยนี้ประกอบไปด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานจัดเรียง จัดส่งและทำรับสินค้า แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้นั้นมาคำนวณประมาณการความต้องการการขนส่งและต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งเปรียบเทียบระหว่างวิธีการจัดเรียงสินค้าทั้ง 2 วิธี ผลการวิจัยพบว่า การปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเรียงสินค้าจากการวางพาเลทสินค้าชั้นเดียวมาเป็นการจัดเรียงกล่องสินค้าลงตะกร้าเหล็กและจัดเรียงตะกร้าเหล็กซ้อนกัน 2 ชั้นบนรถบรรทุกนั้น ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขนส่งได้ถึง 5,024,923 บาทต่อปีหรือประมาณ 52 เปอร์เซ็น ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางให้บริษัทกรณีศึกษานำไปใช้ในการปรับปรุงกระบวนการดำเงินงาน รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสินค้า


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operator (Aeo) Programme) : กรณีศึกษา ผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออกที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, สาธิกา โพธิ์ประสิทธิ์ Jan 2020

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operator (Aeo) Programme) : กรณีศึกษา ผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออกที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, สาธิกา โพธิ์ประสิทธิ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการสมัครเข้าร่วมโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอของผู้ประกอบการประเภทผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออกที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม งานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ที่ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบในการส่งแบบสอบถามให้แก่ผู้ประกอบการประเภทผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออกที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งยังไม่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การคำนวณค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยเรื่องการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร (1 ล้านบาท) หลังจากได้รับอนุมัติสถานภาพ และปัจจัยเรื่องการมีมาตรการในการคัดเลือกพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานอย่างชัดเจน เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอตามลำดับ โดยสามารถพยากรณ์ระดับความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีข้อเสนอแนะต่อโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอในการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบถึงรายละเอียดและประโยชน์ในการเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น และเห็นควรให้ลดขั้นตอนในการดำเนินการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ให้สั้นลง


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้กระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ของผู้นำเข้าสินค้า ณ สำนักงานตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, อรกนก วัฒนาเลิศรักษ์ Jan 2020

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้กระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ของผู้นำเข้าสินค้า ณ สำนักงานตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, อรกนก วัฒนาเลิศรักษ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สารนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาปัญหา อุปสรรค ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้กระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ของผู้นำเข้าสินค้า ณ สำนักงานตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเสนอแนะแนวทางการปรับปรุง พัฒนากระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีรูปแบบการศึกษาที่เป็นการวิจัยแบบสำรวจ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน คือ การวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีความสำคัญ ได้แก่ อันดับ 1 คือ ความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนโดยรวมของกระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง อันดับ 2 คือ การนำเข้าสินค้าด้วยกระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึงสามารถช่วยลดต้นทุนสินค้าคงคลัง อันดับ 3 คือ กระบวนการผู้นำของเข้าต้องจัดทำใบขนสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง และอันดับ 4 คือ การนำเข้าสินค้า ด้วยกระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึงสามารถช่วยลดระยะเวลาในการนำเข้าสินค้า นอกจากนี้ สามารถนำผลการวิจัยครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ปรับปรุงกระบวนการได้ดังนี้ 1) การให้ความรู้ขั้นตอนโดยรวมของกระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง 2) การปรับปรุงแบบฟอร์มใบขนสินค้าให้เรียบง่าย เพื่อสนับสนุนการจัดทำใบขนสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้า 3) การประชาสัมพันธ์ประโยชน์ด้านการลดระยะเวลาและต้นทุนสินค้าคงคลังจากการนำเข้าสินค้าด้วยกระบวนการศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง และ 4) พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงกระบวนงานและกฎระเบียบในกรณีมีการให้ข้อมูลผิดพลาดในขั้นตอนการจัดทำใบขนสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้า


การประเมินตัวชี้วัดการขนส่งผลไม้สำหรับส่งออกบนเส้นทาง R3a กรณีศึกษาบริษัทขนส่ง Abc, ปรียาพร สายตา Jan 2020

การประเมินตัวชี้วัดการขนส่งผลไม้สำหรับส่งออกบนเส้นทาง R3a กรณีศึกษาบริษัทขนส่ง Abc, ปรียาพร สายตา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มุ่งเน้นพัฒนาตัวชี้วัดด้านการขนส่งผลไม้ผ่านระบบคอนเทนเนอร์ทำความเย็น บนเส้นทาง R3A ผ่านการทบทวนวรรณกรรมจำนวน 20 งานวิจัย เพื่อมาช่วยในการกำหนดปัจจัยเชิงโลจิสติกส์ที่สำคัญในการนำมาสู่การกำหนดตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดปัจจัยหลักเชิงโลจิสติกส์จากปัจจัย 3 มิติของสำนักโลจิสติกส์ ได้แก่ มิติต้นทุน 1 ตัวชี้วัด มิติเวลา 2 ตัวชี้วัดและมิติความเชื่อถือได้ 4 ตัวชี้วัด โดยตัวชี้วัดสร้างมาจากการสนทนากลุ่ม ระดมความคิดจากคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนส่ง ABC และกำหนดค่าน้ำหนักผ่านกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (AHP) ที่ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 คนประเมินความสำคัญของปัจจัย ซึ่งสามารถสรุปลำดับความสำคัญตามค่าน้ำหนักของปัจจัยหลักจากมากไปน้อยดังนี้ มิติด้านต้นทุน (47%) มิติด้านความเชื่อถือได้ (36%) และมิติด้านเวลา (17%) เมื่อทำการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี พบว่าบริษัทขนส่ง ABC มีคะแนนตัวชี้วัดเต็ม 5 คะแนน ได้แก่ ความสามารถในการส่งมอบสินค้าตรงเวลา อัตราความเสียหายของตู้ทำความเย็นที่เสียระหว่างการขนส่ง และอัตราการเกิดอุบัติเหตุของรถขนส่ง ทางด้านตัวชี้วัดที่บริษัทควรให้ความสำคัญ ได้แก่ อัตราการวิ่งเที่ยวเปล่า 2.75 คะแนน สุดท้ายภาพรวมของการประเมินตัวชี้วัดการขนส่งบริษัทขนส่ง ABC เฉลี่ยทั้ง 3 ปีอยู่ที่ 4.38 คะแนน แม้ว่าการประเมินผลโดยรวมจะอยู่ในระดับดีมาก แต่ยังพบว่ายังมีตัวชี้วัดบางตัวที่บริษัทยังไม่สามารถจัดการได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้นบริษัทควรให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นเพื่อลดผลกระทบและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์โควิด-19 การขนส่งทางอากาศ เศรษฐกิจและการว่างงาน, สัจจพร แสนอินอำนาจ Jan 2020

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์โควิด-19 การขนส่งทางอากาศ เศรษฐกิจและการว่างงาน, สัจจพร แสนอินอำนาจ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจและการเมือง งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและภายในประเทศ เศรษฐกิจ (GDP) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ด้วยแบบจำลองการวิเคราะห์ถดถอย (Regression Model) รูปแบบฟังก์ชัน Double-Log ข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลผู้โดยสารเดินทางทางอากาศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและอัตราการว่างงานใน 4 ไตรมาสของปี พ.ศ. 2563 การวิเคราะห์แบ่งเป็นสองชุดข้อมูล ชุดข้อมูลที่หนึ่งเป็นจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศจำนวน 36 สนามบิน 144 ตัวอย่าง ข้อมูลชุดที่สองเป็นจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศที่เดินทางภายในประเทศ จำนวน 34 สนามบิน 136 ตัวอย่าง ผลการศึกษาสรุปได้ว่า จำนวนผู้โดยสารเดินทางทางอากาศทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและอัตราการว่างงาน เป็นปัจจัยที่ได้รับผลกระทบจากสถาณการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยที่ผู้โดยสารเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและภายในประเทศได้รับผลกระทบทิศทางตรงกันข้ามกับจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 แต่อัตราการว่างงานมีทิศทางเดียวกันกับจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมีทิศทางเดียวกันกับจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งไม่ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ สาเหตุมาจากการใช้วิธีการวิเคราะห์ถดถอยแบบ Double-Log เพื่อวัดกระทบเชิงระยะยาว นั่นหมายถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไม่ได้รับผลกระทบระยะยาวจากจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 อาจจะเกิดจากการปรับตัวของธุรกิจเพื่อการอยู่รอดรวมไปถึงการรับมือของรัฐบาลในแต่ละประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ


แนวปฏิบัติที่ดีในการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลของประเทศไทย, สุวิจักขณ์ ณ บางช้าง Jan 2020

แนวปฏิบัติที่ดีในการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลของประเทศไทย, สุวิจักขณ์ ณ บางช้าง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลของประเทศไทยเปรียบเทียบกับพิธีสารลอนดอน 1996 ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศที่มีผลใช้บังคับในปี ค.ศ. 2006 และการดำเนินงานในประเทศอื่นอีก 3 ประเทศ คือ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำเสนอแนวทางการขุดลอกร่องน้ำของประเทศไทยที่มีความเป็นมาตรฐานสากลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทยมีการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลโดยกรมเจ้าท่าเป็นประจำทุกปี โดยการขุดลอกร่องน้ำนั้นมีขั้นตอนที่สำคัญ คือ การขุดลอกร่องน้ำและการขนย้ายวัสดุขุดลอก ซึ่งทั้งสองขั้นตอนนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทางทะเล ผลการศึกษาแสดงว่าแนวทางในการปฏิบัติตามพิธีสารลอนดอน 1996 และในประเทศกรณีศึกษาทั้ง 3 ประเทศ มีขั้นตอนการประเมินวัสดุก่อนที่จะมีการทิ้งเทเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทางทะเลรวมทั้งสิ้นแปดขั้นตอน ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีพิธีสารลอนดอน 1996 แต่ประเทศไทยสามารถนำแนวทางการประเมินวัสดุตามพิธีสารลอนดอน 1996 มาเป็นแนวทางปฏิบัติการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเล เพื่อเป็นการลดและป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ในการดำเนินการอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นแต่จะทำให้ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน