Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®
Articles 31 - 60 of 76
Full-Text Articles in Architecture
จิตวิญญาณแห่งพุทธสถาปัตยกรรมวัดไหล่หินหลวง จ. ลำปาง, ธีรยุทธ อินทจักร์
จิตวิญญาณแห่งพุทธสถาปัตยกรรมวัดไหล่หินหลวง จ. ลำปาง, ธีรยุทธ อินทจักร์
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยนี้นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายในเชิงความคุณ ค่าของงานสถาปัตยกรรมจากวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา งานวิจัยนี้นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายในเชิงความคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมจากวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา และนาเสนอคุณสมบัติในงานสถาปัตยกรรมที่สามารถพัฒนาความเป็นมนุษย์ตามหลักการทางพุทธศาสนา จากกรณีศึกษา วัดไหล่หินหลวง จ.ลาปาง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่รองรับสถาบันทางพุทธศาสนาภายในวัฒนธรรมล้านนาที่ได้รับการยอมรับในคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปสถาปัตยกรรมยังคงสืบสานวิถีทางวัฒนธรรมมาจนปัจจุบัน โดยการวิจัยนี้เป็นลักษณะการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการสังเคราะห์หลักการทางพุทธศาสนาร่วมกับการสังเกตเชิงลึกการจากข้อมูลภาคสนาม ผลการศึกษาสามารถสรุปในเชิงคุณสมบัติทางงานสถาปัตยกรรม มีดังต่อไปนี้ คือสถาปัตยกรรมแห่งการตระหนักรู้ ที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจต่อคุณค่าและความหมายของชีวิต และการรู้เท่าทันตามความเป็นจริงบนวิถีที่เป็นเอกภาพกับธรรมชาติ, สถาปัตยกรรมแห่งสภาวะจิตตั้งมั่นมีสติสัมปชัญญะเห็นแจ้งในสภาวะสากลของชีวิต และสถาปัตยกรรมแห่งการน้อมนา เหตุและปัจจัยจากภายนอกที่ให้จิตได้รับรู้ และเข้าถึงสภาวะแห่งศีล สภาวะแห่งสมาธิและสภาวะแห่งปัญญา อันเป็นวิถีแห่งการพัฒนาทางจิตวิญญาณและผลการศึกษาในเชิงคุณค่าและความหมาย คือการสร้างงานสถาปัตยกรรมที่รองรับการดำรงอยู่บนวิถีที่มีเป้าหมายในการพัฒนาจิตใจไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตเป้าหมายของชีวิตคือวิถีทางเดียวกันกับธรรมชาติ สถาปัตยกรรมจึงมีความหมายเป็นดั่ง มหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ที่สะท้อนพลังในมิติทางจิตวิญญาณ ที่มุ่งพัฒนาชีวิตสู่สภาวะการดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์และเข้าถึงคุณค่าสูงสุด
แนวทางในการออกแบบเพื่อลดผลกระทบจากการสะท้อนของเปลือกอาคาร, ทัชชา อังกนะภัทรขจร
แนวทางในการออกแบบเพื่อลดผลกระทบจากการสะท้อนของเปลือกอาคาร, ทัชชา อังกนะภัทรขจร
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
จากความนิยมในการเลือกใช้วัสดุเปลือกอาคารกระจกเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดปัญหาแสงสะท้อนที่สร้างความเดือดร้อนแก่สภาพแวดล้อมโดยรอบตามมา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของแสงสะท้อนจากเปลือกอาคาร ที่มีสาเหตุมาจากรูปทรงอาคารและทิศทางการวางอาคารต่อสภาพแวดล้อม รวมทั้งเสนอแนะแนวทางในการออกแบบอาคารเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากแสงสะท้อนของเปลือกอาคาร สำหรับเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการสร้างมาตรฐานการออกแบบอาคารให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งงานวิจัยนี้ ได้ใช้ซอฟต์แวร์ทางคอมพิวเตอร์ในการคำนวณหาความส่องสว่างและทิศทางการสะท้อนของรังสีอาทิตย์ตามวันเวลาที่กำหนด โดยมีอาคารกรณีศึกษา 5 รูปทรง ประกอบด้วย อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปลือกอาคารเรียบตรง อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมเปลือกอาคารลาดเอียงเข้าหาอาคาร อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมเปลือกอาคารลาดเอียงออกจากอาคาร อาคารรูปทรงโค้งเว้า และอาคารรูปทรงแตงกวา เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการจำลอง พบว่า บนพื้นที่ขนาด 500 เมตร x 500 เมตร อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกอาคารลาดเอียงออกจากอาคารในแนวตั้งในทางทิศใต้ ก่อให้เกิดแสงสะท้อนในแนวราบเป็นพื้นที่รวมมากที่สุด ในขณะที่อาคารรูปทรงแตงกวาก่อให้เกิดการกระจายตัวของแสงสะท้อนทุกทิศทางเป็นบริเวณกว้างมากที่สุด และอาคารรูปทรงโค้งเว้าก่อให้เกิดค่าความส่องสว่างของแสงสะท้อนสูงที่สุดจากการสะท้อนรวมกันไปยังจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งพื้นที่ที่โดนแสงสะท้อนสูงสุดมีค่าความส่องสว่างมากกว่าค่าเฉลี่ยแสงธรรมชาติในส่วนที่ไม่ถูกสะท้อนกว่า 2 เท่า และสำหรับแสงที่สะท้อนตกกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบอาคารกรณีศึกษา หากรัศมียิ่งใกล้อาคารจะเกิดแสงสะท้อนที่มีระยะเวลายาวนานกว่า โดยจากการใช้วิธีการทางสถิติในการแบ่งระดับคะแนนของแสงสะท้อนจากเปลือกอาคารออกเป็น A B C และ D โดยระดับ A เป็นระดับที่ก่อให้เกิดค่าความส่องสว่างต่ำที่สุด ในขณะที่ระดับ D เป็นระดับที่ก่อให้เกิดค่าความส่องสว่างสูงที่สุด พบว่า อาคารรูปทรงแตงกวา เป็นรูปทรงที่แสงสะท้อนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับคะแนน D เป็นจำนวนมากที่สุดในรูปทรงทั้งหมดที่ทำการศึกษา ทั้งสภาพแวดล้อมแนวราบและแนวตั้ง จึงถือเป็นรูปแบบอาคารที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการออกแบบเพราะก่อให้เกิดผลกระทบด้านแสงสะท้อนโดยรวมมากที่สุด
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ให้บริการตรวจรักษาและส่วนเกี่ยวเนื่องแผนกผู้ป่วยนอก : กรณีศึกษาแผนกสูตินรีเวชและแผนกกุมารเวช, พาขวัญ รูปแก้ว
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ให้บริการตรวจรักษาและส่วนเกี่ยวเนื่องแผนกผู้ป่วยนอก : กรณีศึกษาแผนกสูตินรีเวชและแผนกกุมารเวช, พาขวัญ รูปแก้ว
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
แผนกสูตินรีเวชและแผนกกุมารเวชเป็นแผนกที่มีความเกี่ยวเนื่องกันของผู้มารับบริการ เนื่องจากแผนกสูตินรีเวชเป็นแผนกที่ให้บริการทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคของระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงรวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในระยะตั้งครรภ์และระยะหลังคลอดบุตร จึงมีความซับซ้อนในด้านขั้นตอนการให้บริการ อีกทั้งต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ป่วย ในส่วนของแผนกกุมารเวชเป็นแผนกที่ให้บริการทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคในทารก เด็ก และวัยรุ่น มีบางพื้นที่แตกต่างจากแผนกผู้ป่วยนอกทั่วไป นอกจากนี้ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่พบวิจัยที่เกี่ยวกับการวิจัยด้านกายภาพของแผนกผู้ป่วยนอกแผนกสูตินรีเวชและกุมารเวช จึงดำเนินการวิจัยโดยเข้าศึกษาในพื้นที่ของโรงพยาบาลที่มีลักษณะการให้บริการที่แตกต่างกัน 3 ประเภท ได้แก่ โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพ การวางผัง ลักษณะการใช้พื้นที่และปัญหาของพื้นที่ให้บริการตรวจโรคและส่วนเกี่ยวเนื่องแผนกสูตินรีเวชและแผนกกุมารเวช และหาปัจจัยที่ส่งผลต่อลักษณะทางกายภาพและการวางผังของแผนกสูตินรีเวชและแผนกกุมารเวช ผลการศึกษาพบว่า โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์มีการแบ่งแผนกสูติกรรมและนรีเวชกรรมออกจากกัน เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้งานมาก แตกต่างจากโรงพยาบาลประเภทอื่น ในแผนกกุมารเวชของโรงพยาบาลกรณีศึกษาเกือบทุกแห่งมีการแบ่งพื้นที่พักคอยของผู้ป่วยเด็กสุขภาพดี และเด็กป่วยออกจากกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบแผนกสูตินรีเวชและแผนกกุมารเวชของประเภทโรงพยาบาลที่แตกต่างกัน คือจำนวนผู้ใช้งานของโรงพยาบาลแต่ละประเภทซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่ในแผนกสูตินรีเวชและกุมารเวชมีขนาดแตกต่างกันเพื่อมารองรับจำนวนผู้ใช้งานตามประเภทโรงพยาบาลนั้นๆ อีกหนึ่งปัจจัยคือขั้นตอนการให้บริการ เนื่องจากโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลรัฐมีจำนวนผู้มารับบริการจำนวนมาก ขั้นตอนการให้บริการจำเป็นต้องกระจายผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างจากโรงพยาบาลเอกชนที่มีจำนวนผู้มารับบริการน้อยกว่าโรงพยาบาลทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ปัญหาที่พบจากการสัมภาษณ์ผู้ใช้งานได้แก่ พื้นที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งานและพื้นที่ที่ออกแบบมาไม่ตรงกับการใช้งาน ดังนั้นในอนาคตหากการออกแบบได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะทำให้แผนกที่ถูกออกแบบมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กระบวนการก่อสร้างเรือนปกาเกอะญอแบบดั้งเดิมกรณีศึกษาโครงการบ้านวัฒนธรรมบ้านโป่งลึก-บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี, พงศ์ชวิน อุดหนุนสมบัติ
กระบวนการก่อสร้างเรือนปกาเกอะญอแบบดั้งเดิมกรณีศึกษาโครงการบ้านวัฒนธรรมบ้านโป่งลึก-บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี, พงศ์ชวิน อุดหนุนสมบัติ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของชาวปกาเกอะญอมาเป็นเวลานาน ภายหลังการขึ้นทะเบียนอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานชาวปกาเกอะญอได้รับผลกระทบจากการจัดสรรพื้นที่ทำกินทำให้วิถีของการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จากการสำรวจพื้นที่ผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อด้านสถาปัตยกรรมของชาวปกาเกอะญอเป็นหลัก ผู้วิจัยเล็งเห็นความสำคัญในการจดบันทึกเก็บรายละเอียดการก่อสร้างเรือนปกาเกอะญอแบบดั้งเดิม เพื่อให้ภูมิปัญญาทางสถาปัตยกรรมแขนงนี้ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา จึงได้ทำการศึกษาร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการก่อสร้างเรือนปกาเกอะญอแบบดั้งเดิมภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในชุมชนปกาเกอะญอ บ้างโป่งลึก - บางกลอย จังหวัดเพชรบุรี บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ดั้งเดิมของชุมชน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจดบันทึกและวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่ได้จากการศึกษากระบวนการก่อสร้าง เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเรือนในหมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยในอนาคต โดยลงพื้นที่เพื่อจดบันทึกตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มการก่อสร้าง ระหว่างการก่อสร้าง ตลอดจนถึงหลังการก่อสร้าง โดยเน้นความสำคัญถึงเรื่องเทคนิคการก่อสร้างแบบดั้งเดิมของช่างปัจจุบันภายในหมู่บ้าน ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะแรงงานกับวันและเวลาในการก่อสร้าง และความสัมพันธ์ของการเตรียมวัสดุกับขั้นตอนการก่อสร้าง จากการศึกษาพบว่ากระบวนการก่อสร้างเรือนปกาเกอะญอดั้งเดิมใช้เวลาทั้งหมด 19 วัน ระบบโครงสร้างมีลักษณะเป็นแบบเรือนเครื่องผูกดั้งเดิม การก่อสร้างถูกดำเนินงานโดยช่างในหมู่บ้านซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ช่างอาวุโสภายในหมู่บ้าน ช่างประจำโครงการ และ แรงงานรับจ้างรายวัน
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงขอบเขตหน้าที่ผู้ควบคุมงานตามสัญญาจ้างของโครงการอาคารหน่วยงานของรัฐ, พิชชานันท์ สวัสดิ์เอื้อ
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงขอบเขตหน้าที่ผู้ควบคุมงานตามสัญญาจ้างของโครงการอาคารหน่วยงานของรัฐ, พิชชานันท์ สวัสดิ์เอื้อ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561เป็นต้นมา ขอบเขตหน้าที่ของผู้ควบคุมงานก่อสร้างหน่วยงานของรัฐ เป็นไปตามพระราชบัญญัติและระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (ฉบับใหม่) ซึ่งมีการแก้ไขจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 (ฉบับเดิม) จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนค่าบริการวิชาชีพและรายละเอียดงานตามข้อกำหนดโครงการ (TOR: Terms of Reference) เพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงศึกษาขอบเขตหน้าที่ตามรายละเอียด TOR ตามระเบียบฯว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 (เดิม) และระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ. 2560 (ใหม่) มาศึกษาการเปรียบเทียบ เพื่อหาข้อสรุปของรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยคือ 1) ศึกษาข้อมูลและทบทวนทฤษฎีเกี่ยวกับระเบียบการจัดจ้างผู้ควบคุมงาน และขอบเขตหน้าที่ของผู้ควบคุมงาน 2) เปรียบเทียบข้อกำหนดโครงการ (TOR) จากกรณีศึกษา ระหว่างระเบียบฯว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จำนวน 5 โครงการ และ ระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ.2560 จำนวน 9 โครงการ 3) ประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อสรุปผลการศึกษา จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่า การระบุในข้อกำหนดโครงการ(TOR) ขอบเขตหน้าที่ของผู้ควบคุมงานเกินกว่าขอบเขตจากที่ระเบียบฯ(เดิม)กำหนด และพบว่าขอบเขตหน้าที่ของผู้ควบคุมงานตามข้อกำหนดโครงการ (TOR) ในระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ.2560 มีขอบเขตงานที่เพิ่มเติมจาก ระเบียบฯว่าด้วยการพัสดุ ปีพ.ศ.2535 (เดิม) คือ 1) เพิ่มเติมด้านบุคลากร 2) ข้อกำหนดการปฏิบัติงาน และเครื่องมือการบริหารงาน และ 3) ผู้ควบคุมงานเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เรื่อง ค่าซอฟต์แวร์ ค่าเช่าสำนักงานสนาม พร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน ค่าใช้จ่ายเอกสารที่เกี่ยวข้องในกระหว่างการควบคุมงานก่อสร้าง ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าในการปรับเปลี่ยนค่าบริการวิชาชีพให้มีอัตราค่าบริการวิชาชีพเพิ่มสูงขึ้นตามพรบ. ส่งผลให้เกิดการพัฒนาการบริหารโครงการ ในเรื่องจำนวนและความชำนาญของบุคลากร ทั้งนี้กรณีศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ.2560 บางโครงการเริ่มใช้แบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Building Information Modeling : BIM) เข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารโครงการ เพื่อลดข้อผิดพลาดปัญหาข้อผิดในการก่อสร้าง จากผลวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ความซับซ้อนของโครงการมีผลต่อการระบุรายละเอียดขอบเขตงานใน TOR ดังนั้นโครงการหน่วยงานของรัฐ ควรมีมาตรฐานในการเขียนข้อกำหนด TOR เพื่อคัดเลือกผู้ควบคุมงานและรายละเอียดของเขตหน้าที่ ตามความซับซ้อนของโครงการ อย่างมีมาตรฐานเพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมงาน และประโยชน์สูงสุดของรัฐ
พัฒนาการแนวคิดและรูปแบบสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบในเขตพุทธาวาส : กรณีศึกษา ผลงานออกแบบของสถาปนิกยุคบุกเบิก (พ.ศ. 2509-2553), พิมพ์พร ไชยพร
พัฒนาการแนวคิดและรูปแบบสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบในเขตพุทธาวาส : กรณีศึกษา ผลงานออกแบบของสถาปนิกยุคบุกเบิก (พ.ศ. 2509-2553), พิมพ์พร ไชยพร
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาพัฒนาการแนวคิดและรูปแบบสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบในเขตพุทธาวาส ได้แก่ เจดีย์ อุโบสถ วิหาร และมณฑป ที่ออกแบบโดยสถาปนิกไทยยุคบุกเบิกซึ่งมีผลงานในช่วงพ.ศ. 2509-2553 ที่คัดเลือกมาจำนวน 10 คน เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของสถาปัตยกรรมวัดจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และสถาปัตยกรรม โดยมีสมมติฐานว่าจุดเปลี่ยนที่มีบทบาทสำคัญคือการก่อตั้งหลักสูตรการเรียนการสอนสถาปัตยกรรมแบบสากลขึ้น การศึกษาวิจัยใช้การเปรียบเทียบระหว่างสถาปัตยกรรมวัดที่ออกแบบโดยสถาปนิกไทยยุคบุกเบิกกับสถาปัตยกรรมวัดในอดีตซึ่งทั้งหมดอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยอิงทฤษฎีทางสถาปัตยกรรมไทยและสถาปัตยกรรมแบบสากล กรณีศึกษาได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสำรวจ และการสัมภาษณ์แนวคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมวัดจำนวน 53 หลัง จากวัด 42 แห่งทุกภูมิภาค และจำแนกกลุ่มลักษณะทางกายภาพตามประเด็นทางสถาปัตยกรรม ดังนี้ 1. ผังบริเวณวัดและผังบริเวณในเขตพุทธาวาส 2. รูปแบบทางสถาปัตยกรรม และการประดับตกแต่งและสัญลักษณ์ 3. การใช้สอย และที่ว่างภายใน และ 4. โครงสร้าง และวัสดุก่อสร้าง และนำมาวิเคราะห์เพื่อศึกษาปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษาสรุปว่าสถาปัตยกรรมวัดที่ทาการวิจัยมีความหลากหลายของรูปแบบและการใช้สอยและมีลักษณะเฉพาะอยู่เป็นจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมวัดไม่ได้เกิดขึ้นและจบลงตามลำดับเวลา แต่เกิดขึ้นพร้อมกันและขนานกันไปตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นจึงไม่สามารถจำแนกเป็นกลุ่มรูปแบบตามลำดับช่วงเวลาอย่างพัฒนาการประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมทั่วไปได้ นอกจากนี้ ยังพบว่าสถาปนิกยุคบุกเบิกได้พัฒนาแนวคิดในการออกแบบจากการใช้ศาสตร์สถาปัตยกรรมแบบสากลมาทำความเข้าใจองค์ความรู้เดิม ทำให้มีมุมมองว่าวัดเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างสรรค์ได้อย่างอิสระเหมือนกับสถาปัตยกรรมประเภทอื่น ๆ และสร้างสรรค์งานออกแบบที่มีรูปแบบตั้งแต่ประเพณีนิยมไปจนถึงรูปแบบใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงพร้อมกับการใช้สอยและที่ว่างภายใน รวมถึงการทดลองใช้โครงสร้างและวัสดุก่อสร้างใหม่ ซึ่งผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมวัดมีความเป็นปัจเจกตามแนวคิดและประสบการณ์ของสถาปนิก และยังคงพัฒนาตามแนวทางของแต่ละคนต่อไป
การจัดผังรูปแบบและการใช้สอยของส่วนพยาบาลหอผู้ป่วยใน : กรณีศึกษา โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน, พิชญ์สินี จงยั่งยืนวงศ์
การจัดผังรูปแบบและการใช้สอยของส่วนพยาบาลหอผู้ป่วยใน : กรณีศึกษา โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน, พิชญ์สินี จงยั่งยืนวงศ์
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
หอผู้ป่วยในเป็นแผนกหนึ่งในโรงพยาบาล ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยส่วนบริการผู้ป่วยและญาติ ส่วนทำงานเจ้าหน้าที่ ส่วนสนับสนุนเจ้าหน้าที่ และหอผู้ป่วยในเป็นส่วนที่ให้บริการผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ในปัจจุบันการทำงานภายในหอผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี แต่มาตรฐานในการออกแบบพื้นที่ส่วนพยาบาลปัจจุบันอิงข้อมูลการใช้พื้นที่ในอดีต และมีความแตกต่างในการใช้งานแต่ละแผนก รวมถึงแต่ละประเภทโรงพยาบาลมีลักษณะการจัดพื้นที่ส่วนพยาบาลแตกต่างกัน ส่งผลให้เกณฑ์และมาตรฐานเดิมไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้งานพื้นที่ในปัจจุบัน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการออกแบบของพื้นที่ส่วนพยาบาลหอผู้ป่วยใน ศึกษาลักษณะการใช้งานพื้นที่ส่วนพยาบาล และเพื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่มีผลต่อพื้นที่ส่วนพยาบาลหอผู้ป่วยใน จากการศึกษาพบว่ามาตรฐาน และพบข้อจำกัดที่ใช้ในการออกแบบแต่ละประเภทโรงพยาบาลแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้การจัดผังรูปแบบและการใช้สอยพื้นที่ของแต่ละประเภทโรงพยาบาลมีลักษณะที่แตกต่างกัน รวมถึงการใช้งานพื้นที่ส่วนหัตถการของพื้นที่ส่วนพยาบาลหอผู้ป่วยในแต่ละแผนกก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน และพบว่าในการออกแบบพื้นที่ส่วนพยาบาลหอผู้ป่วยในมีปัจจัยที่ส่งผล คือประเภทโรงพยาบาล ประเภทหอผู้ป่วย ตำแหน่งที่ตั้งพื้นที่ส่วนพยาบาล จำนวนผู้ป่วย และจำนวนบุคลากร ดังนั้นพื้นที่ส่วนพยาบาลในแต่ละประเภทโรงพยาบาลมีสัดส่วนที่แตกต่างกัน โดยโรงพยาบาลเอกชนมีสัดส่วนพื้นที่ส่วนพยาบาลน้อยกว่าโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากการให้บริการเน้นพื้นที่ให้บริการผู้ป่วยเป็นหลักและมีความต้องการใช้สอยพื้นที่ใช้สอยน้อยที่สุดทั้งด้านขนาดและลักษณะพื้นที่ ส่วนโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์มีสัดส่วนพื้นที่ส่วนพยาบาลมากกว่าโรงพยาบาลรัฐเนื่องจากโรงเรียนแพทย์มีผู้ใช้งานที่หลากหลายและมีจำนวนบุคลากรมากกว่าโรงพยาบาลรัฐ รวมถึงมีความต้องการใช้สอยพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดทั้งด้านขนาดและลักษณะพื้นที่ ทั้งนี้ ระบบการทำงาน และการจัดการภายโรงพยาบาลก็ส่งผลต่อสัดส่วนพื้นที่ส่วนพยาบาลเช่นกัน
องค์ประกอบและรูปแบบทางกายภาพที่ส่งผลต่อการจัดการโรงอาหารภายในมหาวิทยาลัย กรณีศึกษาโรงอาหารส่วนกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มุจลินท์ สุพรรณชนะบุรี
องค์ประกอบและรูปแบบทางกายภาพที่ส่งผลต่อการจัดการโรงอาหารภายในมหาวิทยาลัย กรณีศึกษาโรงอาหารส่วนกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มุจลินท์ สุพรรณชนะบุรี
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่ ที่มีทรัพยากรกายภาพพื้นฐานให้บริการแก่ทั้งนิสิต อาจารย์ บุคลากรทั่วไป โรงอาหารคือหนึ่งในทรัพยากรกายภาพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีจำนวนผู้เข้าใช้บริการเป็นจำนวนมากและบ่อยครั้งที่สุดในแต่ละเทอมหรือปีการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดเตรียมโรงอาหารเพื่อรองรับผู้ใช้บริการเป็นจำนวนทั้งสิ้น 14 โรงอาหาร บริหารโดยหน่วยงานส่วนกลางของมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของโรงอาหารทั้งหมด โรงอาหารส่วนกลางทั้ง 7 โรงอาหารมีบางแห่งที่ได้ผ่านการเปิดใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน โดยเปิดให้บริการมาเป็นเวลากว่า 40 ปี ในระหว่างการเปิดให้บริการนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนชุดคณะทำงานรวมไปถึงมีการปรับเปลี่ยนสภาพทางกายภาพในหลายส่วนจากการใช้งานเดิมเพื่อให้สอดรับกับการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและเพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้บริการที่มีความต้องการในจำนวนที่เพิ่มขึ้น โดยจากการสำรวจพบข้อจำกัดและอุปสรรคในพื้นที่อันเกิดจากสภาพทางกายภาพ จึงเป็นที่มาของการศึกษาถึงปัญหาและรูปแบบด้านกายภาพที่เกิดกับโรงอาหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในบทความวิจัยนี้ ในการนี้ได้คัดเลือกกรณีศึกษาคือโรงอาหารส่วนกลางที่บริหารโดยหน่วยงานส่วนกลางของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงประจักษ์ (Empirical Research) แบบกรณีศึกษา (Case Study Approach) ที่ได้ทำการสำรวจและพบปัญหา จึงนำมาวิเคราะห์ร่วมกับตำราและเอกสารที่สืบค้น พบองค์ประกอบของโรงอาหาร 3 ประเภท คือ 1) องค์ประกอบด้านกายภาพ 2) องค์ประกอบด้านผู้ปฏิบัติงาน 3) องค์ประกอบด้านผู้ใช้งาน เมื่อนำองค์ประกอบข้างต้นมาแยกเป็นองค์ประกอบย่อยที่อยู่ในขอบเขตของการศึกษาเพื่อนำมาพิจารณาร่วมกับเกณฑ์ด้านสุขอนามัยและอาคารสถานที่ ปรากฏกรณีที่เกิดขึ้นเฉพาะสำหรับแต่ละองค์ประกอบย่อย เมื่อนำแต่ละกรณีที่เกิดขึ้นเฉพาะข้างต้นมาวิเคราะห์และพิจารณาร่วมกันในกรณีศึกษาทั้ง 7 (โรงอาหารส่วนกลางทั้ง 7) พบรูปแบบและปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการด้านความสะอาดของโรงอาหารคือ 1) รูปแบบและตำแหน่งผังของร้าน 2) ระยะทางจากร้านค้าถึงจุดพักขยะใหญ่ 3) ระยะทางจากจุดคัดแยกภาชนะถึงที่ล้าง 4) วิธีการที่ปฏิบัติงานที่พื้นที่ปรุงและพื้นที่เตรียม 5) ระยะทางจากพื้นที่ปรุงและพื้นที่เตรียมถึงพื้นที่ขาย รูปแบบและปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการด้านความปลอดภัยของระบบที่ใช้ในโรงอาหารคือ 1) รูปแบบและตำแหน่งที่ติดตั้งท่อแก๊ส 2) ระยะทางจากห้องวางถังแก๊สรวมถึงจุดจ่ายแก๊ส 3) วิธีการกำหนดจุดวางถัง 4) วิธีการจ่ายแก๊ส รูปแบบและปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการด้านประสิทธิภาพของระบบที่ใช้ในโรงอาหารคือ 1) วิธีการที่ระบายควัน 2) ระยะทางจากจุดดูดควันถึงจุดระบายควัน ข้อสรุปจากการศึกษาครั้งนี้คือ 1) การจัดการด้านความสะอาด ประกอบไปด้วยองค์ประกอบจุดพักขยะ จุดคัดแยกภาชนะ จุดล้างภาชนะ จุดเตรียมวัตถุดิบ จุดปรุง จุดจำหน่าย 2) การจัดการด้านความปลอดภัย ประกอบไปด้วยองค์ประกอบระบบแก๊สหุงต้ม และ 3) การจัดการด้านประสิทธิภาพระบบ ประกอบไปด้วยองค์ประกอบระบบดูดควันระบายควัน ทั้ง 3 ส่วนนี้ล้วนส่งผลถึงประสิทธิภาพ สุขอนามัยและความปลอดภัยอันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของโรงอาหาร การสำรวจตรวจสอบร่วมกับการกำหนดและวางแผนรูปแบบด้านกายภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อการบริหารจัดการของโรงอาหารที่เป็นหนึ่งในทรัพยากรของมหาวิทยาลัย
การปรับประโยชน์ใช้สอยอาคารประวัติศาสตร์เพื่อเป็นพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ กรณีศึกษา อาคารในพื้นที่อนุรักษ์ของกรุงเทพมหานคร, ภูรี อำพันสุข
การปรับประโยชน์ใช้สอยอาคารประวัติศาสตร์เพื่อเป็นพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ กรณีศึกษา อาคารในพื้นที่อนุรักษ์ของกรุงเทพมหานคร, ภูรี อำพันสุข
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การปรับประโยชน์ใช้สอยเป็นหนึ่งในวิธีการอนุรักษ์ด้วยการนำอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ถูกทิ้งร้าง หรือมีสภาพที่ไม่สามารถตอบสนองการใช้งานเดิมได้ มาปรับปรุงพร้อมกับปรับเปลี่ยนการใช้งาน ซึ่งในการปรับปรุงอาคารนั้นอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของอาคารมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการเลือกระดับของการอนุรักษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวิธีการนี้ คือเมื่อทำการปรับปรุงแล้วจะต้องคำนึงถึงการคงคุณค่าของอาคารให้ได้มากที่สุด หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะต้องส่งเสริมคุณค่าของอาคารให้เด่นชัดขึ้น วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการในการปรับประโยชน์ใช้สอยอาคาร ศึกษาการวางแนวคิด ศึกษาการออกแบบโปรแกรมการใช้สอย และศึกษาการวางผังพื้นที่ใช้สอย จากอาคารที่ได้รับการปรับประโยชน์ใช้สอยเป็นพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ กรณีศึกษาในการวิจัยนี้คืออาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ของกรุงเทพมหานคร 3 โครงการ อันประกอบด้วยศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย และหอสมุดเมืองกรุงเทพมหานคร กรอบทฤษฎีของการวิจัยนี้คือแนวคิดในเรื่องการปรับประโยชน์ใช้สอยและการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ ผลการศึกษาพบว่ากรณีศึกษาทั้ง 3 โครงการมีการดำเนินการเป็นไปตามลำดับขั้นตอนของกระบวนการปรับประโยชน์ใช้สอยตามหลักการอนุรักษ์สากล เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดโครงการ การวางแผน การปรับปรุง และการดูแลหลังเปิดใช้งาน โดยกรณีศึกษาทั้ง 3 เป็นโครงการที่ดำเนินการภายใต้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการนำเอาอาคารประวัติศาสตร์ในลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เคยใช้งานเป็นสำนักงานมาปรับประโยชน์ใช้สอยใหม่ เนื่องจากอาคารประเภทนี้เป็นอาคารที่มีศักยภาพตามที่พื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์พึงมี ทั้งนี้กรณีศึกษาทั้ง 3 ได้รับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยตามแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ โดยออกแบบในลักษณะของ"พื้นที่การเรียนรู้" ผสมผสานกับ "พื้นที่ทำงานร่วมกัน" ในการนี้แต่ละโครงการได้เลือกวิธีการอนุรักษ์หลายระดับอันประกอบด้วย การรักษาสภาพ การปรับปรุงและซ่อมแซม และการต่อเติม ซึ่งในภาพรวมของตัวอาคารยังคงรักษารูปลักษณ์ภายนอกเอาไว้ได้ ในขณะที่อาคารได้รับการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ที่ว่างภายใน งานระบบ และอุปกรณ์ประกอบอาคารเป็นหลัก จากการศึกษาการปรับประโยชน์ใช้สอยอาคารประวัติศาสตร์เพื่อใช้เป็นพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ในพื้นที่อนุรักษ์ของกรุงเทพมหานคร นำมาสู่ข้อค้นพบที่ว่าการปรับประโยชน์ใช้สอยไม่ได้เป็นแค่วิธีการอนุรักษ์ในลักษณะแช่แข็งอาคารให้อยู่ในสภาพเดิม แต่การอนุรักษ์ด้วยวิธีการนี้ยังให้ความสำคัญกับคุณค่าและความแท้ของอาคารประวัติศาสตร์ ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงการใช้งานตามความต้องการในปัจจุบันอย่างมีประสิทธิภาพ
การศึกษาคุณลักษณะที่ว่างของตรอกบริเวณชุมชนตรอกศิลป์-ตรอกตึกดิน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร, วิสุทธิ์ นุชนาบี
การศึกษาคุณลักษณะที่ว่างของตรอกบริเวณชุมชนตรอกศิลป์-ตรอกตึกดิน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร, วิสุทธิ์ นุชนาบี
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การวิจัยนี้เป็นการศึกษาคุณลักษณะที่ว่างของ "ตรอก" ในเขตชุมชนเมืองเก่า ผ่านกรณีศึกษาชุมชนตรอกศิลป์-ตรอกตึกดิน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการอยู่อาศัยทางสังคมของมนุษย์ ผ่านทฤษฎีทางจิตวิทยาสถาปัตยกรรมและการอยู่อาศัยสถาปัตยกรรมเป็นกรอบในการวิเคราะห์ งานวิจัยเริ่มต้นจากการศึกษาประวัติศาสตร์เรื่องราวของของย่านและชุมชน สู่การศึกษาการใช้สอยที่ว่างภายในตรอก โดยอาศัยข้อมูลภาคสนามจากแผนที่แสดงการใช้สอยที่ว่างของตรอกในฐานะ "ทางแห่งการเชื่อมโยง" และ "ที่แห่งการปฏิสัมพันธ์" ด้วยการบันทึกพฤติกรรมการสัญจรบนตรอกโดยวิธีการสะกดรอยและการบันทึกพฤติกรรมการครอบครอบที่ว่างบนตรอกโดยวิธีการจับภาพชั่วขณะตามลำดับ ผ่านมิติของผู้ใช้งานตรอกประกอบด้วยคนในพื้นที่และคนนอกพื้นที่ และมิติของเวลาทั้งในวันธรรมดาและวันสุดสัปดาห์ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางกายภาพและการใช้สอยที่ว่างภายในตรอกในบทบาท "ทางแห่งชีวิต" และ "ที่แห่งชีวิต" ผ่านแผนที่แสดงความเข้มข้นของการใช้สอยที่ว่างภายในตรอก สู่การสังเคราะห์คุณลักษณะที่ว่างของตรอกในฐานะ "พื้นที่รองรับชีวิต" ซึ่งส่งผลให้ตรอกในชุมชนตรอกศิลป์-ตรอกตึกดินเป็นพื้นที่รองรับการอยู่อาศัยทางสังคมที่มีชีวิตชีวา โดยสรุป สาระสำคัญของคุณลักษณะที่ว่างของตรอกบริเวณชุมชนตรอกศิลป์-ตรอกตึกดิน ประกอบด้วย ที่ว่างที่ให้ประสบการณ์อันหลากหลาย ที่ว่างที่มีปฏิสันถารกับชีวิต ที่ว่างที่ซ่อนอยู่ในที่ว่าง ที่ว่างที่รองรับมิติการใช้สอยอันหลากหลาย และที่ว่างที่มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนการใช้สอย
การประเมินประสิทธิภาพแสงธรรมชาติและการใช้พลังงานจากการออกแบบหิ้งสะท้อนแสงในอาคารสำนักงานตามเกณฑ์การประเมินอาคารเขียว ลีด เวอร์ชัน 4.0, ศิรวิชญ์ รงควิลิต
การประเมินประสิทธิภาพแสงธรรมชาติและการใช้พลังงานจากการออกแบบหิ้งสะท้อนแสงในอาคารสำนักงานตามเกณฑ์การประเมินอาคารเขียว ลีด เวอร์ชัน 4.0, ศิรวิชญ์ รงควิลิต
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอแนวทางการออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำแสงธรรมชาติเข้ามาใช้ภายในอาคารสำนักงาน โดยการลดการใช้พลังงานจากแสงประดิษฐ์ ด้วยการออกแบบหิ้งสะท้อนแสง และประเมินผลโดยใช้ค่า Spatial Daylight Autonomy (sDA) และ Annual Sunlight Exposure (ASE) ตามเกณฑ์ LEED V4 หัวข้อ Daylight ด้วยโปรแกรม Rhinoceros - Grasshopper - Ladybug Tools, Honeybee Tools ในการจำลองผล โดยมีตัวแปร คือ ระยะยื่นของหิ้งสะท้อนแสงภายนอกขนาด 0.30 เมตร 0.60 เมตร และ 0.90 เมตร ระยะติดตั้งต่ำจากฝ้าเพดาน 0.50 เมตร และ 1.00 เมตร องศาฝ้าเพดาน 0 องศา 15 องศา และ 30 องศา สัดส่วนพื้นที่ช่องเปิดต่อพื้นที่ผนัง 60% และ 100% ตำแหน่งทิศที่ติดตั้งหิ้งสะท้อนแสงทั้ง 8 ทิศ และการติดตั้งหิ้งสะท้อนแสงภายในระยะยื่นขนาด 0.30 เมตร โดยจำลองกับห้องภายในอาคารสำนักงาน กว้าง 9 เมตร ลึก 12 เมตร และสูง 3 เมตร ซึ่งผลการวิจัย ทุกกรณีศึกษามีค่า sDA ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด ส่วนค่า ASE มีกรณีศึกษาที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ซึ่งการมีระยะยื่นของหิ้งสะท้อนแสงภายนอกที่มากขึ้น ทำให้แสงสามารถเข้าสู่ภายในอาคารได้น้อยลง ส่งผลให้ค่า sDA และ ASE ลดลง การมีระยะติดตั้งต่ำจากฝ้าเพดานที่มากขึ้น ทำให้ค่า sDA และ ASE เพิ่มขึ้น องศาของฝ้าเพดานที่เพิ่มขึ้น ช่วยในการกระจายแสงเข้าสู่ภายในอาคาร มีผลให้ค่า sDA เพิ่มขึ้น แต่ไม่ส่งต่อค่า ASE สัดส่วนพื้นที่ช่องเปิดต่อพื้นที่ผนังที่มากขึ้น …
แนวทางการมีส่วนร่วมเพื่อบรรเทาผลกระทบทางลบของโครงการก่อสร้างเขื่อนริมตลิ่ง ต่อชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี, พชร ภู่กำชัย
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการก่อสร้างเขื่อนริมตลิ่งในพื้นที่ริมน้ำบริเวณอำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยา จากการที่รัฐบาลปัจจุบันมีโครงการแผนพัฒนาพื้นที่ริมน้ำ โดยโครงการแผนพัฒนาแม่บทกินพื้นที่ริมน้ำเป็นวงกว้างครอบคลุม 4 จังหวัด (Thaipublica , 2015) หน่วยงานราชการท้องถิ่นได้นำแผนพัฒนานี้ไปดำเนินการ โดยแบ่งโครงการเป็นส่วน ๆ ซึ่งพื้นที่กรณีศึกษาดำเนินการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ แต่ส่วนหนึ่งเกิดการทรุดตัวลงสร้างความเสียหายให้ผู้อยู่อาศัยบริเวณนั้น จากการลงสำรวจพื้นที่โครงการรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงที่อยู่ในแผนพัฒนาพื้นที่ริมน้ำนั้นพบว่าเกิดผลกระทบทางลบหลายด้าน โดยแบ่งออกเป็นทางกายภาพและผลกระทบทางทัศนคติ เช่น แนวเขื่อนทำให้วิถีชิวิตริมน้ำต้องเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการมีส่วนร่วมภาคประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นเท่าที่ควร จึงได้เกิดการตั้งคำถามถึงผลกระทบจากกระบวนการมีส่วนร่วมซึ่งกำหนดไว้เป็นกรอบให้หน่วยงานราชการต้องดำเนินการ โดยวิธีวิจัยเน้นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับชุมชนริมน้ำในพื้นที่โครงการ โดยแบ่งผู้มีส่วนได้เสียเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการทรุดตัว 2) ผู้อาศัยบริเวณโดยรอบเขื่อนแต่ไม่ได้รับความเสียหายและ 3) ผู้อาศัยในชุมชนใกล้เคียงกับชุมชนที่เขื่อนเกิดการทรุดตัว จากการศึกษาพบว่ากระบวนการมีส่วนร่วมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชุมชนต้องได้รับผลกระทบเหล่านั้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผลวิจัยนี้ชี้ถึงผลกระทบจากโครงการที่ชุนชนไม่ได้มีส่วนร่วมกับภาครัฐผู้ดำเนินโครงการเท่าที่ควร จึงได้นำเสนอแนวทางการมีส่วนร่วม และตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจากภาครัฐในโครงการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำ เพื่อการบรรเทาผลกระทบทางลบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนริมตลิ่งและโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่อื่น ๆ ต่อไป
การเดินทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารรถบัสในย่านเมืองเก่านครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, โพเงิน แหวนวงทอง
การเดินทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารรถบัสในย่านเมืองเก่านครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, โพเงิน แหวนวงทอง
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษารูปแบบการเดินทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางของผู้ที่ใช้รถบัสในย่านเมืองเก่านครหลวงเวียงจันทน์ มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อสำรวจรูปแบบการเดินทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางของผู้ใช้บริการรถบัสในย่านเมืองเก่าในนครหลวงเวียงจันทน์ 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อรูปแบบการเดินทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางของผู้ใช้รถบัส และ 3. เสนอแนะแนวทางการส่งเสริมการเดินทางแบบไม่ใช้เครื่องยนต์ รูปแบบของงานวิจัยนี้ มีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากผู้ที่ใช้บริการรถโดยสารสาธาณณะ จำนวน 140 ตัวอย่าง โดยสามารถจำแนกผู้ใช้บริการออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ คนลาว และคนต่างชาติ แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติไคสแควร์จากผลการศึกษาพบว่าผู้ใช้รถบัสส่วนใหญ่เดินเท้าเข้าสู่จุดหมายปลายทางในย่านเมืองเก่านครหลวงเวียงจันทน์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเดินเท้ามากกว่าคนลาว หลังจากรสบัสเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2017 คนลาวส่วนใหญ่ยังคงใช้รถยนต์เป็นหลักในการเดินทางเพื่อไปทำงาน การเดินทางด้วยรถบัสเป็นการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวและการซื้อสินค้าของผู้หญิงคนต่างชาติ ป้ายรถเมล์ที่มีคนเดินเยอะจึงมักเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ รวมถึงเป็นย่านพาณิชยกรรมการค้า ตลาด และโรงแรม เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเดินเท้า พบว่า คุณลักษณะของผู้เดินทาง ได้แก่ เพศ อายุ รายได้ เชื้อชาติ และลักษณะทางกายภาพบริเวณป้ายรถบัส ได้แก่ ป้ายและเครื่องหมายบอกทิศทางในเวลาเดิน ที่นั่งหรือผ่อนคลายในเวลาหยุดพัก ห้องน้ำ ความต่อเนื่องของกิจกรรม และความสะอาดของทางเท้ามีผลต่อการเดินเท้าเข้าสู่จุดหมายปลายทางอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานำไปสู่ข้อเสนอแนะที่สำคัญในการออกแบบเมืองเพื่อส่งเสริมการเดินทางแบบไม้ใช้เครื่องยนต์ อาทิ การออกแบบป้ายสัญลักษณ์ที่อำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการออกแบบภูมิทัศน์ให้ทางเท้ามีต้นไม้ร่มรื่นน่าเดิน มีห้องน้ำ จุดนั่งพักระหว่างทางและมีกิจกรรมสองข้างทาง จะช่วยส่งเสริมการเดินเท้านำไปสู่การพัฒนาเมืองน่าอยู่และยั่งยืนต่อไป
แนวทางการออกแบบ และปรับปรุง ที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันกรณีศึกษา ชมรมเพื่อนพาร์กินสัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ณัฐ จิระอมรนิมิต
แนวทางการออกแบบ และปรับปรุง ที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันกรณีศึกษา ชมรมเพื่อนพาร์กินสัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ณัฐ จิระอมรนิมิต
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ประชากรผู้สูงอายุของโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น พาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรังที่มักเกิดกับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 8 ถูกพบว่าเป็นโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 40 ปี ดังนั้นโรคพาร์กินสันจึงไม่ใช่โรคของผู้ป่วยสูงอายุเท่านั้น ดังนั้นการศึกษาแนวทางการเตรียมความพร้อมด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ดี โดยพึ่งพาตนเองได้มากที่สุด ที่อยู่อาศัยที่มีความเหมาะสมสามารถส่งเสริมสภาพร่างกาย และจิตใจ ให้มีความพร้อมสู่การใช้ชีวิตในสังคมภายนอก ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันร้อยละ 73 เคยได้รับอุบัติเหตุภายในที่พักอาศัย โดยเกิดเหตุในห้องนอนและทางเดิน ร้อยละ 40 ห้องนั่งเล่นร้อยละ 33 2) สาเหตุหลักมาจากอาการของโรคพาร์กินสันที่ก้าวขาไม่ออก และปัญหาการทรงตัว 3) ผู้ป่วยที่ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุส่วนใหญ่พบว่าอยู่ในระยะการดำเนินอาการที่ 2 และ 2.5 จากทั้งหมด 5 ระยะ โดยผู้ป่วยและผู้ดูแล มีความระมัดระวังต่อการการเกิดอุบัติเหตุสูง สรุปผลการศึกษาพบว่า ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีข้อสำคัญดังนี้ 1) พื้นควรมีระดับที่เสมอกันทั้งบริเวณ 2) พื้นที่แต่ละส่วนควรมีความกระชับ กล่าวคือผู้ป่วยสามารถเดินจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งได้ในระยะที่สอดคล้องกับสภาพร่างกายของตัวผู้ป่วยเอง 3) การจัดผังทางเดินควรวางให้เรียบง่าย เป็นเส้นตรง ไม่ซับซ้อนหรือไม่ต้องให้ผู้ป่วยหมุนตัวบ่อย ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้กับผู้ป่วย 4) ประตู ควรเป็นบานเลื่อน และมีที่ให้ผู้ป่วยจับยึดขณะเปิด 5) ทางเดินภายในควรมีระยะทางเดินอย่างน้อย 1.20 ม. มีราวจับ หรือวางเฟอร์นิเจอร์ที่มั่นคงเพื่อให้ผู้ป่วยได้ยึดจับ
ประสิทธิภาพการลดการถ่ายเทความร้อนในระบบผนังด้วยฉนวน โดยพิจารณาอัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมด, จิราภา เดชจิระกุล
ประสิทธิภาพการลดการถ่ายเทความร้อนในระบบผนังด้วยฉนวน โดยพิจารณาอัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมด, จิราภา เดชจิระกุล
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาค่าการต้านทานความร้อนของผนังภายนอกอาคาร เพื่อวางแนวทางในการปรับปรุงอาคารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและประเมินความคุ้มค่าด้านการลงทุนในฉนวนความร้อนแต่ละชนิด โดยแบ่งอาคารเป็น 3 ประเภทตามกฎกระทรวง และมีช่วงระยะอัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมดแบ่งเป็น 6 ระยะ เริ่มจาก 10% ไปถึง 35% มีช่วงระยะห่างของแต่ละทางเลือกที่ 5% การศึกษาใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าการถ่ายเทความร้อนผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อประเมินประสิทธิภาพพลังงานของอาคาร (Building Energy Code Software, BEC) ทำการศึกษาระบบผนัง 4 ประเภท คือผนังก่ออิฐฉาบปูน, ผนังก่ออิฐมวลเบา, ผนังคอนกรีต และผนังก่ออิฐ 2 ด้าน เว้นช่องอากาศ 10 เซนติเมตร ผลการศึกษาพบว่าสำหรับอาคารที่มีการใช้งาน 9 และ 12 ชั่วโมงต่อวัน หากใช้วัสดุคอนกรีตเป็นผนังภายนอกอาคาร สำหรับอาคารที่มีอัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมดเท่ากับ 10%, 15%, 20% และ 25% จำเป็นจะต้องติดตั้งฉนวนความร้อน ในขณะที่อาคารที่มีการใช้งาน 24 ชั่วโมง จำเป็นต้องติดตั้งฉนวนความร้อนที่อัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมดเท่ากับ 15%, 20%, 25% และ 30% จึงสรุปได้ว่าผนังคอนกรีตมีความจำเป็นมากที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพการลดการถ่ายเทความร้อนผ่านผนัง เนื่องจากมีค่าการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังก่อนการติดตั้งฉนวนความร้อนที่ไม่ผ่านเกณฑ์เป็นจำนวนมากหากเปรียบเทียบกับระบบผนังประเภทอื่นๆ เมื่อวิเคราะห์มูลค่าปัจจุบัน (Life cycle Cost) ผนังคอนกรีตอาคารที่มีการใช้งาน 9 ชั่วโมงต่อวัน ควรติดตั้งฉนวนใยแก้ว 32 kg/m³ ความหนา 50 mm. สำหรับผนังคอนกรีตอาคารที่มีการใช้งาน 12 ชั่วโมงต่อวัน ที่อัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมดเท่ากับ 10% และ 15% ควรติดตั้งฉนวนโพลิสไตรีน ความหนา 50 mm. และที่อัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมดเท่ากับ 20% และ 25% ควรติดตั้งฉนวนใยแก้ว 32 kg/m³ ความหนา 50 mm. และสำหรับผนังคอนกรีตยอาคารที่มีการใช้งาน 24 ชั่วโมง ที่อัตราส่วนพื้นที่ของผนังโปร่งแสงต่อพื้นที่ผนังทั้งหมดเท่ากับ 15% และ 25% ฉนวนใยแก้ว 32 kg/m³ …
เกณฑ์และหลักคิดในการออกแบบพุทธประทีปมหาสถูปเจดีย์, วัชรพงษ์ ชุมดวง
เกณฑ์และหลักคิดในการออกแบบพุทธประทีปมหาสถูปเจดีย์, วัชรพงษ์ ชุมดวง
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
วิทยานิพนธ์นี้เป็นการทำความเข้าใจ หาเกณฑ์และหลักคิดในการออกแบบพุทธประทีปมหาสถูปเจดีย์ของมูลนิธิพระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ด้วยวิธีการศึกษาในหลักพุทธธรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ที่ปรากฏอยู่ในหลักอริยสัจ 4 และได้สรุปลงมาเป็นหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นหลักในการเข้าถึงพุทธธรรม โดยศึกษาหลักหลักธรรมทางพุทธศาสนา โดยการค้นคว้าจากพระคัมภีร์ในขั้นปฐมภูมิ ได้แก่ พระไตรปิฎก ในขั้นทุติยภูมิ ได้แก่ ตำราวิชาการทั้งภายในประเทศและระดับนานาชาติ ได้ไปสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และได้เดินทางไปศึกษาดูงานและวิเคราะห์จากสถานที่จริงของพระสถูปเจดีย์ในอดีต เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการการออกแบบพื้นที่ที่เอื้อให้จิตมีความสงบระงับ จิตมีศีล จิตมีความตั้งมั่น จิตมีสมาธิ จิตได้รู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จิตมีปัญญา มีความสะอาด สว่าง สงบเย็น ผลการศึกษาพบว่า หลักในการเข้าถึงพุทธธรรม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเกณฑ์ในการออกแบบพุทธประทีปมหาสถูปเจดีย์ และมีหลักคิดอยู่ 4 ข้อ ได้แก่ 1. นิมิตหมายแห่งปัญญา คือ องค์พุทธประทีปมหาสถูปเจดีย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ 2. มณฑลศักดิ์สิทธิ์ คือ พื้นที่แห่งความสงบจิตตั้งมั่นของจิต 3. พื้นที่สัปปายะ คือ พื้นที่แห่งความสบายกายและสบายใจ โดยมีความสงบเย็นเป็นตัวชี้วัด 4. พื้นที่ที่เป็นสากล คือ พื้นที่ในการศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติธรรมอบรมพัฒนาจิต ตามหลักพุทธธรรมให้พ้นจากทุกข์ได้ทุกเวลา ทุกชาติพันธุ์ และทุกศาสนา สรุปผลของการศึกษา จึงได้หลักในการออกแบบพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการยังประโยชน์ทางจิตวิญญาณ ไปสู่ชีวิตที่เป็นอิสระหลุดพ้นจากความทุกข์ มีความสัปปายะ ด้วยการทำให้จิตสงบระงับ มีศีล ให้จิตมีสมาธิตั้งมั่น ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติ มีปัญญาญาณ
ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยต่อการอยู่อาศัยในอาคารชุดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์: กรณีศึกษาโครงการแฮปปี้ คอนโด ลาดพร้าว 101 และโครงการเอ็ม จตุจักร, เชี่ยวชาญ ไพศาลธีระจิต
ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยต่อการอยู่อาศัยในอาคารชุดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์: กรณีศึกษาโครงการแฮปปี้ คอนโด ลาดพร้าว 101 และโครงการเอ็ม จตุจักร, เชี่ยวชาญ ไพศาลธีระจิต
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การเพิ่มขึ้นของอาคารชุดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน เกิดขึ้นจากค่านิยมการเลี้ยงสัตว์ของคนเมือง งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของผู้อยู่อาศัยต่อการอยู่อาศัยในอาคารชุดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ โดยศึกษาภาพรวมของอาคารชุด 13 แห่งในกรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด จากนั้นเลือกกรณีศึกษา 2 แห่ง คือโครงการแฮปปี้ คอนโด ลาดพร้าว 101 (HCL) และโครงการเอ็ม จตุจักร (MJJ) ใช้การสอบถามผู้อยู่อาศัย โดยแบ่งเป็นผู้มีสัตว์เลี้ยงแห่งละ 105 ชุด และผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงแห่งละ 105 ชุด รวม 2 แห่งเป็น 420 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ และค่าร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้มีสัตว์เลี้ยงและไม่มีสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 50 อยู่อาศัยเป็นคู่รักทั้งสมรส และไม่สมรส ซึ่งส่วนมากไม่มีบุตรถึงร้อยละ 95 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี ทั้งนี้กลุ่มผู้มีสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าถึงร้อยละ 60 ในขณะที่ผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงร้อยละ 90 เป็นเจ้าของห้องชุด 2) การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารชุด แบ่งได้ 3 ลักษณะ (1) สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เช่น คลินิกสัตว์เลี้ยง หรือพื้นที่ขับถ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น (2) สิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้สัตว์เลี้ยงใช้ร่วมกับคน ได้แก่ สวนรอบอาคาร และดาดฟ้าอาคาร (3) ไม่มีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้สัตว์เลี้ยง โดยสัตว์เลี้ยงไม่สามารถออกไปเดินนอกห้องชุดได้ ยกเว้นการอุ้มเท่านั้น 3) ทัศนคติของผู้มีสัตว์เลี้ยงใน HCL เห็นว่าไม่มีปัญหาทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่อาศัย ในขณะที่ผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงของ HCL เห็นว่าเป็นปัญหาทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่อาศัย ส่วนผู้มีสัตว์เลี้ยงและไม่มีสัตว์เลี้ยงใน MJJ เห็นว่าไม่มีปัญหาก่อนเข้าอยู่อาศัย แต่พบว่ามีปัญหาหลังเข้าอยู่อาศัย 4) ผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงมีความพึงพอใจต่ออาคารชุดน้อยกว่าผู้มีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะเรื่องความเหมาะสมของห้องชุดต่อการเลี้ยงสัตว์ การระบายอากาศ และการมีเพื่อนบ้านที่เลี้ยงสัตว์ ในขณะที่ผู้มีสัตว์เลี้ยงมีความพึงพอใจสูงในหลายด้าน ยกเว้นเรื่องการป้องกันเสียงเห่าหอนจากห้องข้างเคียง 5) ปัญหาส่วนใหญ่ที่ผู้มีสัตว์เลี้ยงและไม่มีสัตว์เลี้ยงพบตรงกันคือ ได้ยินเสียงรบกวนของสัตว์เลี้ยงจากห้องข้างเคียง รองลงมาคือพบสัตว์เลี้ยงตัวอื่นขับถ่ายแล้วเจ้าของไม่ทำความสะอาด ส่วนปัญหาที่พบต่างกันคือ ผู้มีสัตว์เลี้ยงพบปัญหานิติบุคคลดูแลเรื่องสัตว์เลี้ยงไม่เต็มที่ ส่วนผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงพบปัญหาสัตว์เลี้ยงเห่าทำให้ตกใจเสียขวัญ อย่างไรก็ตามในภาพรวมผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงจะรู้สึกถึงปัญหามากกว่าผู้มีสัตว์เลี้ยง ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีสัตว์เลี้ยงและไม่มีสัตว์เลี้ยงในอาคารชุดเดียวกัน รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ไม่มีสัตว์เลี้ยงจะรู้สึกถึงปัญหามากกว่า โดยเฉพาะเรื่องเสียงรบกวนของสัตว์เลี้ยงจากห้องข้างเคียง ในขณะที่ผู้มีสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่พบปัญหาสัตว์เลี้ยงตัวอื่นขับถ่ายแล้วเจ้าของไม่ทำความสะอาด …
การจัดการที่พักแรงงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร, วิภาวี อังศุวัชรากร
การจัดการที่พักแรงงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร, วิภาวี อังศุวัชรากร
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
แรงงานก่อสร้าง เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้าง จากแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทำให้เกิดความต้องการแรงงานและที่พักแรงงานเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการหรือบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จะต้องรับหน้าที่จัดเตรียมที่พักสำหรับแรง งานก่อสร้าง เพื่อเป็นแหล่งพักอาศัย ทำให้เกิดความสะดวกต่อการทำงานและการควบคุมบริหารงานก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากในการดำเนินงาน แต่จากการศึกษางานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า ลักษณะที่พักแรงงานก่อสร้าง ร้อยละ 70 มีการจัดพื้นที่และใช้วัสดุในการก่อสร้างต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ได้รับการจัดการเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยที่ดี รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ ที่ควรได้รับ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด วิธีการ ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการที่พักแรงงานก่อสร้างของ 2 บริษัทที่เป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีการจัดที่พักแรงงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในเขตเมืองของกรุงเทพมหานคร โดยผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการจัดที่พักแรงงาน รวมถึงทัศนคติของแรงงานก่อสร้าง และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ผลการศึกษาแบ่งได้เป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้ ส่วนที่ 1 แนวคิดในการจัดการที่พักแรงงานก่อสร้างของ 2 บริษัทที่เป็นกรณีศึกษา ผู้ดำเนินการจัดการที่พักแรงงานก่อสร้างโดยมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ด้วยการจัดที่พักแรงงานก่อสร้างให้มีสุขลักษณะ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งส่งผลให้แรงงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ส่วนที่ 2 วิธีการจัดการที่พักแรงงานก่อสร้าง ซึ่งแบ่งเป็น 12 ประเด็น ได้แก่ 1.การเลือกทำเลที่ตั้ง 2.การจัดผังบริเวณ 3.การก่อสร้าง (โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก) 4.การจัดแรงงานเข้าพักอาศัย 5.การจัดการเดินทาง 6.การจัดการสุขลักษณะ 7.การจัดการสิ่งแวดล้อม 8.การจัดการความปลอดภัย 9.การบริการรักษาพยาบาล 10.กฎระเบียบและบทลงโทษ 11.การสื่อสารและอบรมให้ความรู้ 12.การจัดการงบประมาณ ส่วนที่ 3 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการ พบว่า มีข้อจำกัดในเรื่องการหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม ภายใต้งบประมาณและพื้นที่ในเมืองที่จำกัด และปัญหาจากพฤติกรรมส่วนบุคคลของแรงงานเอง และส่วนที่ 4 ทัศนคติของแรงงานก่อสร้าง พบว่า แรงงานมีทัศนคติที่ดีต่อการพักอาศัยในที่พักที่จัดให้ทั้ง 2 บริษัทที่เป็นกรณีศึกษา
แนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ กรณีศึกษา ชุมชนรุ่งมณีพัฒนา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร, หฤษฏ์ โคกผา
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
โครงสร้างประชากรไทยมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงวัย จึงควรปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมเพื่อลดอุบัติเหตุจากสภาพร่างกายที่เสื่อมลง แต่จากสภาพทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุพบว่ามีรายได้ไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยมีราคาสูงส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่มีความสามารถในการจ่ายเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมได้ งานวิจัยนี้จึงศึกษาลักษณะเศรษฐกิจ สภาพที่อยู่อาศัย และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกองทุนปรับปรุงที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุภายในชุมชนรุ่งมณีพัฒนา รวมถึงวิเคราะห์องค์ประกอบของกองทุนทั้งผลดีและผลเสียจากกองทุนในชุมชน เพื่อเสนอแนะแนวทางรูปแบบกองทุนเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในพื้นที่ชุมชนรุ่งมณีพัฒนา จากข้อมูลการสอบถามผู้สูงอายุภายในชุมชน และสัมภาษณ์กรรมการระบบการเงินชุมชน ผู้เชี่ยวชาญจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และผู้ดูแลพื้นที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พบว่า กองทุนภายในชุมชนรุ่งมณีพัฒนามีกองทุนทั้งหมด 7 กองทุน โดยมี 3 กองทุนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากติดระเบียบข้อบังคับของกองทุน ได้แก่ กองทุนรักษาดินรักษาบ้าน วิสาหกิจชุมชน และกองทุนแม่แห่งแผ่นดิน และอีก 4 กองทุนที่สามารถแก้ไขระเบียบข้อบังคับได้ ได้แก่ สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคง สถาบันการเงินกองทุน กองทุนสวัสดิการ และกลุ่มสัจจะสตรี จากการสอบถามผู้สูงอายุในชุมชนพบว่า ร้อยละ 76.2 เห็นด้วยกับการมีกองทุนเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับรองรับผู้สูงอายุในชุมชนและยินดีจะออมเงินเพื่อใช้สำหรับปรับปรุงที่อยู่อาศัย ในส่วนของการสัมภาษณ์ ผู้เชี่ยวชาญ และคณะกรรมการระบบการเงินชุมชน วิเคราะห์ได้ว่ากองทุนที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ไขระเบียบข้อบังคับ ให้เป็นแหล่งเงินทุนในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุกองทุนที่มีความเหมาะสมที่สุดคือ สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคง และรองลงมาคือสถาบันการเงินกองทุนชุมชน จึงควรเสนอแนะแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อการปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในชุมชนรุ่งมณีพัฒนา ได้แก่การปรับปรุงแก้ไขกองทุนเดิม ได้แก่ สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคง และสถาบันการเงินกองทุน และในกรณีชุมชนที่ไม่มีระบบการเงินชุมชน เสนอควรให้จัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองเพื่อเป็นระบบการเงินชุมชนก่อนในเบื้องต้น เพื่อพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อการปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุต่อไป
ติดตามผลที่ผู้อยู่อาศัยได้รับจากบ้านประหยัดพลังงานในโครงการบ้านจัดสรร กรณีศึกษาโครงการเสนาปาร์ค วิลล์ และโครงการเสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา วงแหวน, มัลลิกา มงคลรังสฤษฎ์
ติดตามผลที่ผู้อยู่อาศัยได้รับจากบ้านประหยัดพลังงานในโครงการบ้านจัดสรร กรณีศึกษาโครงการเสนาปาร์ค วิลล์ และโครงการเสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา วงแหวน, มัลลิกา มงคลรังสฤษฎ์
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา แนวคิดของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน ขนาด 135-259 ตารางเมตร รวมถึงศึกษาลักษณะการใช้งาน และทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อรูปแบบบ้านประหยัดพลังงาน โดย วิธีการสัมภาษณ์จากผู้ประกอบการ และแจกแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง ที่เป็นผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านประหยัดพลังงานที่เป็น กรณีศึกษาทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ เสนาพาร์ควิลล์ และ เสนาพาร์คแกรนด์ จำนวน 90 ตัวอย่าง สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณและใช้การ สัมภาษณ์เชิงลึก 10 ตัวอย่างสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ การศึกษาแนวความคิดบ้านประหยัดพลังงาน ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและด้านงานระบบที่ส่งผลให้เกิดการประหยัด พลังงานภายในบ้าน ค้นพบว่า บ้านประหยัดพลังงานมีช่องเปิดระบายอากาศ และ สัดส่วนอาคารต่อที่ดิน สูงกว่ามาตรฐานกำหนดไว้ อีกทั้ง ระบบ Solar cell ที่ช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 700 - 4,100 ต่อเดือน ซึ่งจัดอยู่ในระดับค่าไฟฟ้าค่อนข้าง ไม่สูงมากหนักเมื่อเทียบกับบ้านขนาดเดียวกันในโครงการอื่นๆ อันนี้เป็นตัวแปรสำคัญต่อการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน ผลการสำรวจด้านครัวเรือน และการใช้งานพื้นที่พบว่าผู้อยู่อาศัยบ้านประหยัดพลังงานทั้ง 5 รูปแบบ ส่วนใหญ่มี สมาชิกในครัวเรือนจำนวน 4 คน มีรายได้ครัวเรือนประมาณ 100,000 ขึ้นไป ช่วงเช้า – ช่วงเย็น จะใช้งานส่วนพื้นที่ห้องรับแขกเป็น หลัก เฉลี่ยอยู่บ้านต่อวันเป็น 17 ชม. นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยทั้ง 5 รูปแบบ การใช้ระบบภายในบ้านที่คล้ายกัน คือ การใช้ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า และแผงโซลาเซลล์ ผลที่ได้รับจากบ้านประหยัดพลังงาน (ก่อนอยู่) ทั้งด้านสถาปัตยกรรม และ ด้านระบบของบ้านประหยัดพลังงาน อยู่ในระดับปานกลาง และ ความพึงพอใจต่อบ้านประหยัดพลังงาน(อยู่อาศัย) ทั้งด้าน สถาปัตยกรรม และด้านระบบของบ้านประหยัดพลังงานอยู่ ในระดับมากการปรับปรุงด้านสถาปัตยกรรม 3 อันดับแรก คือ ปรับปรุง รูปแบบบ้านให้มีระแนงกันแดดเข้าถึงตัวบ้าน รองลงมาคือ รูปแบบบ้านน่าจะเหมาะสมกับราคามากกว่านี้ และ อยากให้ใช้สีกับตัว บ้านมีความโดดเด่นมากกว่านี้ ผู้อยู่อาศัย ต้องการให้เพิ่มแบตเตอรี่เก็บไฟตอนกลางคืน ข้อเสนอแนะด้านอื่นๆ อยากให้ปลูกต้นไม้ที่ …
ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของผู้ใช้บริการกับประเภทร้านค้าในคอมมูนิตี้ มอลล์ กรณีศึกษา : โครงการเดอะ เซ้นส์ ปิ่นเกล้า และโครงการเออร์เบิน สแควร์, เสาวพร วรสินธพ
ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของผู้ใช้บริการกับประเภทร้านค้าในคอมมูนิตี้ มอลล์ กรณีศึกษา : โครงการเดอะ เซ้นส์ ปิ่นเกล้า และโครงการเออร์เบิน สแควร์, เสาวพร วรสินธพ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การกำหนดประเภทของร้านค้าให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายถือเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้ มอลล์ งานวิจัยนี้ศึกษาแนวคิดในการกำหนดประเภทร้านค้ารวมถึงลักษณะของผู้ใช้บริการโดยมีกรณีศึกษาคือ โครงการเดอะ เซ้นส์ ปิ่นเกล้า (SP) และโครงการเออร์เบิน สแควร์ (US) ใช้วิธีการสำรวจลักษณะทางกายภาพโครงการ สัมภาษณ์ผู้ประกอบการ และสอบถามผู้ใช้บริการ 300 คน วิเคราะห์โดยวิธีการทางสถิติและการถอดคำสำคัญจากบทสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการเลือกทำเลที่ตั้งและการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้คอมมูนิตี้ มอลล์เป็นสถานที่ตอบสนองความต้องการของการใช้ชีวิต เน้นความสะดวกสบายและใกล้ชุมชน 2) ประเภทร้านค้าของทั้งสองโครงการทีมีความคล้ายคลึงกัน คือ มีซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านสุขภาพและความงาม สถาบันกวดวิชา ธนาคารและตู้เอทีเอ็ม อย่างไรก็ตาม มีการจัดตราสินค้าของร้านค้าแต่ละประเภทแตกต่างกันตามกลุ่มเป้าหมาย 3) ลักษณะของผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของโครงการ SP คือ กลุ่มอายุ 26-35 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ส่วนโครงการ US เป็นกลุ่มอายุ 18-25 ปี มีอาชีพนักเรียน/นักศึกษา ทั้งนี้ ร้านค้าที่มีการใช้บริการหลักคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารรวมถึงร้านเครื่องดื่มและขนม 4) ประเภทร้านค้าที่จัดไว้ทั้งสองโครงการเป็นร้านค้าที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวันและมีความหลากหลายของตราสินค้า อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของตราสินค้าส่งผลต่อการใช้บริการที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาการเข้าใช้บริการและค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าประเภทร้านค้าที่มีอยู่ในคอมมูนิตี้ มอลล์ยุคนี้คือ ร้านอาหารและร้านเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ซึ่งถือเป็นกลุ่มร้านค้าหลักนอกเหนือจากซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งนี้ ตราสินค้าจะเป็นตัวบ่งชี้ลักษณะการใช้บริการของกลุ่มเป้าหมาย งานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้พัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ โดยเฉพาะการเลือกที่ตั้งที่ควรสะดวกต่อการเดินทางและมีร้านค้าที่มีตราสินค้าตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมาย
โอกาสและข้อจำกัดของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโดยใช้แนวคิดสุขภาวะของผู้ประกอบการ ในเขตกรุงเทพมหานคร, ณิชารัตน์ อัครมณี
โอกาสและข้อจำกัดของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโดยใช้แนวคิดสุขภาวะของผู้ประกอบการ ในเขตกรุงเทพมหานคร, ณิชารัตน์ อัครมณี
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ปัจจุบันการคำนึงถึงสุขภาวะในการอยู่อาศัยเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโอกาสและข้อจำกัดในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการโดยใช้แนวคิดสุขภาวะ รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมจำนวน 131 คน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจำนวน 11 คน โดยใช้แบบสอบถาม และกลุ่มผู้ประกอบการจำนวน 4 บริษัท โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการถอดคำสำคัญ จัดกลุ่มคำตามความหมายและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ผลการศึกษาพบว่า 1) ความพึงพอใจเรื่องสุขภาวะในคอนโดมิเนียมที่ผู้อยู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ให้คะแนนความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก (ร้อยละ 76) โดยอายุต่ำกว่า 20 ปี มีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยมากที่สุด (4.27 คะแนน) 2) องค์ประกอบของลักษณะคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมให้เกิดสุขภาวะในการอยู่อาศัย สามารถจำแนกได้ 8 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) คุณภาพอากาศ (2) ความสะดวก (3) สุนทรียภาพ (4) สภาวะน่าสบาย (5) การจัดการชุมชน (6) ความปลอดภัย (7) แสงสว่าง (8) การเลือกใช้วัสดุ 3) ในทัศนคติของผู้ประกอบการ มีโอกาสสูงในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมสุขภาวะ เพราะมีนโยบายเรื่องนี้อยู่แล้ว ประกอบกับแนวโน้มการคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามมีข้อจำกัดด้านการเงินการลงทุนที่ค่อนข้างสูง โดยเพิ่มขึ้นจาก (1) การออกแบบ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ส่วนกลาง (2) วัสดุ รวมถึงข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีในการผลิตวัสดุที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในการพัฒนาในอนาคตได้ และการสื่อสารทางการตลาด 4) องค์ประกอบของลักษณะคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมให้เกิดสุขภาวะในการอยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่ามีโอกาสสูงในการทำได้จริงและมีคุณประโยชน์และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการลงทุนต่ำ (ระดับ A) เช่น ปัจจัยด้านความปลอดภัยเรื่อง Safety และ Secure ปัจจัยด้านการจัดการชุมชนเรื่องการบริหารจัดการที่ดีของนิติบุคคล เป็นต้น ทั้งนี้ปัจจัยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการมีการทำอยู่แล้วในโครงการปัจจุบัน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ในทัศนคติของผู้ประกอบการพบว่ามีโอกาสสูงในการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมสุขภาวะในการอยู่อาศัยในอนาคต ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดโดยเฉพาะด้านการเงินการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่อนข้างมาก โครงการส่วนใหญ่จึงอยู่ในระดับราคาสูง โดยผลการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ รวมถึงภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมสุขภาวะในการอยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้อยู่อาศัยในอนาคต
การพัฒนาโครงการอาคารชุดระดับราคาสูง ในเขตกรุงเทพมหานครของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2560, ธัญลักษณ์ พุ่มมาก
การพัฒนาโครงการอาคารชุดระดับราคาสูง ในเขตกรุงเทพมหานครของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2560, ธัญลักษณ์ พุ่มมาก
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
จากการที่มีรถไฟฟ้า ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น และการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งบมจ.แสนสิริ ถือได้ว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาตลาดอาคารชุดระดับราคาสูง และจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าตลาดอาคารชุดระดับราคาสูงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา การพัฒนาโครงการอาคารชุดระดับราคาสูงของ บมจ.แสนสิริ โดยศึกษาลักษณะการพัฒนาโครงการและการวางผังอาคารชุดระดับราคาสู วิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการพัฒนาโครงการ ด้วยวิธีการศึกษาเอกสาร และการสัมภาษณ์ฝ่ายปฏิบัติงาน และฝ่ายผู้บริหาร จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการพัฒนาโครงการอาคารชุดระดับราคาสูงโดยแบ่งตามช่วงระยะเวลา พบว่า 1) ช่วงระยะเวลาที่ 1 (2550-2552) เป็นช่วงที่ บมจ.แสนสิริ มีกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการอาคารชุดระดับราคาสูง ส่งผลให้ในมีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดระดับราคาสูงถึง 5 โครงการ แต่มีการเว้นช่วงในปี 2551 เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจซัพไพร์ม ในช่วงเวลานั้นมีห้องชุดขนาด 50 ตร.ม. ซึ่งราคาขายอยู่ที่ 100,000-140,000 บาท/ตร.ม. 2) ช่วงระยะเวลาที่ 2 (2553-2555) เป็นช่วงที่ตลาดอสังหาฯ มีการขยายตัว เนื่องมาจากมีการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า โดยในปี 2553 เกิดโครงการ 4 โครงการ ช่วงนี้ตลาดขยายตัว ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูง จึงส่งผลให้ขนาดของห้องชุดมีขนาดเล็กลง คือ 40 ตร.ม. ตั้งราคาขายอยู่ที่ 120,000-195,000 บาท/ตร.ม. 3) ช่วงระยะเวลาที่ 3 (2556-2557) เป็นช่วงที่ตลาดอาคารชุดมีการขยายตัว ทำในปี 2556 ที่ดินมีราคาเพิ่มสูงมากขึ้น ส่งผลให้มีขนาดห้องชุดเล็กลงถึง 30 ตร.ม. ตั้งราคาขายอยู่ที่ 180,000 บาท/ตร.ม. เนื่องจากราคาที่ดินสูงมาก จึงทำให้ช่วงระยะเวลานี้ บมจ.แสนสิริ เน้นไปพัฒนาโครงการอาคารชุดระดับอื่น และเริ่มทำการขยายฐานลูกค้าไปยังชาวต่างชาติ 4) ช่วงระยะเวลาที่ 4 (2558-2560) เป็นช่วงเวลาที่ตลาดอสังหาฯเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาการเมืองในปี 2557 และหลังจากนั้นภาครัฐได้มีนโยบายการสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ทำให้ตลาดอสังหาฯมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาที่ดินในเมืองเริ่มเหลือน้อย และมีราคาแพง ทำให้ บมจ.แสนสิริ มีการร่วมทุนกับ บมจ.บีทีเอส เพื่อพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินของ บมจ.บีทีเอส และนอกจากนี้ยังทำให้ได้ข้อมูลลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้กลยุทธ์การตลาดสามารถมุ่งเป้าไปยังกลุ่มลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นผลให้มีการพัฒนาโครงการห้องชุดพักอาศัยระดับราคาสูงแบ่งเป็น 2 ขนาด ได้แก่ ห้องชุดขนาดเฉลี่ย …
ทัศนคติและความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยเจเนอเรชั่นวายต่อพื้นที่ส่วนกลางด้านนันทนาการในอาคารชุด กรณีศึกษา บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), ธัญญ์นารี ชัยชาญ
ทัศนคติและความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยเจเนอเรชั่นวายต่อพื้นที่ส่วนกลางด้านนันทนาการในอาคารชุด กรณีศึกษา บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), ธัญญ์นารี ชัยชาญ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ให้ความสำคัญต่อพื้นที่ส่วนกลางด้านนันทนาการจากกลยุทธชุมชนน่าอยู่ เพื่อคนทุกวัยอาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคนหนุ่มสาวในวัยทำงาน หรือคนเจเนอเรชั่นวาย (GenY) ในปัจจุบัน ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2524 - 2543 งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพและองค์ประกอบของพื้นที่ส่วนกลางด้านนันทนาการ และ ศึกษาทัศนคติและความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยเจเนอเรชั่นวาย โครงการกรณีศึกษา 5 SUB BRAND ด้วยการสังเกต, ถ่ายภาพ, การสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และแจกแบบสอบถามผู้อาศัยเพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ผลการศึกษาพบว่าพื้นที่ส่วนกลางด้านนันทนาการมีองค์ประกอบ 9 ประเภท โดยใช้พื้นที่ระหว่างร้อยละ 5-8 ของพื้นที่โครงการ แยกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ (1)พื้นที่ที่ใช้ทำกิจกรรมอเนกประสงค์ เช่น ทำบุญตักบาตร, งานเทศกาลประจำปี เป็นต้น (2)พื้นที่สำหรับใช้ทำกิจกรรมเฉพาะ เช่น ว่ายน้ำ, อ่านหนังสือ, ออกกำลังกาย เป็นต้น โดยมีตำแหน่งการวาง 2 จุดคือ (1)อยู่ชั้น 1 ของโครงการ โดยประเภทพื้นที่ที่วางไว้ที่ชั้น 1 เหมือนกันทุกโครงการคือ สวน/ลานกิจกรรม และ สนามเด็ก และ (2)วางไว้ชั้นอื่น ๆ ในตัวอาคาร โดยประเภทพื้นที่ที่วางไว้ที่ชั้นอื่น ๆ เหมือนกันทุกโครงการคือ ฟิตเนส และแต่ละโครงการมีความแตกต่างกันในด้านความครบครัน, ตำแหน่งการจัดวาง, ขนาดพื้นที่ และแนวความคิดในการออกแบบ ด้านผู้อาศัยเจเนอเรชั่นวายพบว่า มีบุคลิกเด่นชัด 4 ลักษณะ คือ (1)ชอบพบปะพูดคุย มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนชอบทีมเวิร์ค ในกรณีศึกษา 1, (2)ชอบการมีส่วนร่วม ในกรณีศึกษา 2, (3)มีความสมดุลในการทำงานและใช้ชีวิต ในกรณีศึกษา 3 และ 5, (4)รักอิสระ ในกรณีศึกษา 4 ผู้อยู่อาศัยเจเนอเรชั่นวายมีความพึงพอใจรวมต่อพื้นที่ส่วนกลางด้านนันทนาการในระดับมาก 4 โครงการคือ กรณีศึกษา 1, 2, 3 และ 4 โดยกรณีศึกษา 5 …
สภาพการอยู่อาศัยของผู้ค้าแผงลอยอาหารในย่านเยาวราช, นนธวัช วรมงคลชัย
สภาพการอยู่อาศัยของผู้ค้าแผงลอยอาหารในย่านเยาวราช, นนธวัช วรมงคลชัย
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
เยาวราชเป็นแหล่งแผงลอยอาหารกลางคืนที่มีชื่อเสียง และมีรูปแบบการค้านอกระบบที่มีการประกอบอาชีพเชื่อมโยงกับที่พักอาศัย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการอยู่อาศัยของผู้ค้าแผงลอยอาหารบนถนนเยาวราชเป็นกรณีศึกษา รวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจและสัมภาษณ์ กระบวนการประกอบอาชีพแผงลอยอาหาร สภาพสภาพสังคม เศรษฐกิจ และที่อยู่อาศัย ของผู้ค้าแผงลอยอาหารแบบมีโครงสร้าง จำนวน 93 ตัวอย่าง ร่วมกับการสำรวจที่พักอาศัยของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 25 ตัวอย่าง เพื่อศึกษาการอยู่อาศัยและการใช้พื้นที่ประกอบอาชีพร่วมกับการอยู่อาศัย และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงปริมาณและพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1). ผู้ค้าแผงลอยอาหารที่เป็นเจ้าของกิจการ ประกอบอาชีพและอยู่อาศัยในย่านเยาวราชมานานกว่า 20 ปี ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 62.4 และเป็นกลุ่มคนที่สืบทอดธุรกิจจากรุ่นพ่อแม่ ขณะที่ร้อยละ 37.6 เป็นกลุ่มคนต่างถิ่นย้ายเข้ามาทำการค้าในย่านเยาวราชมากขึ้น 2). ผู้ค้าแผงลอยอาหารส่วนใหญ่พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ ห้องเช่าและทาวน์เฮาส์ ตามลำดับ ซึ่งตั้งอยู่ในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากแหล่งประกอบอาชีพแผงลอยอาหาร ส่วนลูกจ้างพักอาศัยอยู่ระยะห่างไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากย่านเยาวราช 3). ผู้ค้าแผงลอยอาหารใช้ที่พักอาศัยเพื่อทั้งการอยู่อาศัยและจัดเตรียมอาหารเพื่อไปขายที่แผงลอยที่เยาวราช โดยส่วนใหญ่ใช้พื้นที่เปิดโล่งของอาคารสำหรับการจัดเตรียมและปรุงอาหาร ทั้งนี้พบว่าอาคารพาณิชย์และห้องเช่า มีพื้นที่เปิดโล่งไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ ทำให้มีการใช้พื้นที่อเนกประสงค์ภายในอาคารในการจัดเตรียมอาหารเพื่อการค้าและการอยู่อาศัยร่วมกัน แต่ปรับเปลี่ยนตามเวลาใช้งาน รวมถึงมีการใช้พื้นที่นอกอาคารที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ เช่น หน้าห้อง ทางเดิน ในการจัดเตรียมอาหาร ในขณะที่ทาวน์เฮาส์มีพื้นที่แยกส่วนระหว่างการอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพอาหาร งานวิจัยนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจสภาพการอยู่อาศัย สภาพสังคม เศรษฐกิจ และกระบวนการประกอบอาชีพของผู้ค้าแผงลอยอาหารในย่านเยาวราช สามารถเป็นแนวทางให้ภาครัฐ นักพัฒนา และผู้ค้าแผงลอยอาหาร ในการนำข้อเสนอแนะการจัดการพื้นที่ประกอบอาชีพทั้งบริเวณแผงลอย และที่พักอาศัย ไปใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดสุขอนามัยและความปลอดภัยทั้งการอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพอาหารแผงลอยต่อไป
การตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกคอนโดมิเนียมบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัย มหิดล ศาลายา : กรณีศึกษา โครงการไอคอนโด ศาลายา, โครงการอิลิท ศาลายา และ โครงการวีคอนโด ศาลายา, พิมพ์ประไพ อุดมปละ
การตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกคอนโดมิเนียมบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัย มหิดล ศาลายา : กรณีศึกษา โครงการไอคอนโด ศาลายา, โครงการอิลิท ศาลายา และ โครงการวีคอนโด ศาลายา, พิมพ์ประไพ อุดมปละ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การพัฒนาคอนโดมิเนียมบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัยมีแนวโน้มสูงขึ้น และขณะเดียวกันผู้ซื้อมีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปจากอดีต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะและการตัดสินใจเลือกคอนโดมิเนียมโดยรอบมหาวิทยาลัย มหิดล ศาลายา (ม.มหิดล ศาลายา) ของผู้ซื้อและผู้เช่ารวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างในโครงการกรณีศึกษา 3 โครงการ จํานวน 433 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างผู้ที่เลือกคอนโดมิเนียมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้ซื้อมีร้อยละ 54 ขณะที่กล่มผู้เช่ามีร้อยละ 46 ทั้งนี้กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นผู้มีครอบครัวแล้วอยู่ในวัยทำงานโดยมีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน เจ้าของกิจการ และรับราชการ ขณะที่กลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาถึงร้อยละ 93 โดยมีค่าเช่าประมาณ 7,000 – 9,000 บาทต่อเดือน 2) ผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ร้อยละ 68 ต้องการซื้อเพื่อลงทุนและเก็บเป็นทรัพย์สิน รองลงมาคือซื้อเพื่ออยู่อาศัยร้อยละ 31 และที่เหลือเป็นการเก็งกำไร ทั้งนี้ พบว่ากลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุนมักเป็นการซื้อให้บุตรพักอาศัยระหว่างศึกษา (ร้อยละ 75) และปล่อยเช่าต่อหลังจากบุตรจบการศึกษาแล้ว 3) ปัจจัยในการเลือกคอนโดมิเนียมของทั้งผู้ซื้อและผู้เช่ามีความคล้ายคลึงกันคือพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง และราคาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เช่ามีเหตุผลในการเลือกเช่าโดยพิจารณาจาก 1.สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 2.มีความปลอดภัยมากกว่า และ 3.ราคาเช่าใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับอพาร์ทเม้นท์ นอกจากนี้ยังพบว่าสิ่งอำนวยความสะดวกที่กลุ่มซื้อและกลุ่มผู้เช่าให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือที่จอดรถ จากการศึกษาสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการซื้อคอนโดมิเนียมรอบ ม.มหิดล ศาลายา ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักซื้อคอนโดมิเนียมไว้เพื่อลงทุนโดยเฉพาะการนำไปปล่อยเช่าในราคาค่าเช่าสูงกว่าอพาร์ทเม้นท์โดยรอบ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเลือกเช่าคอนโดมิเนียมซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงความปลอดภัยที่มากกว่าที่อยู่อาศัยเช่าทั่วไป ดังนั้นงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะเลือกทำเลที่ตั้ง และการออกแบบโครงการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภคดังกล่าว
การดำเนินงานในรูปแบบบริษัทเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่า: กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำจันทบูร จ.จันทบุรี, พชรพร ภุมรินทร์
การดำเนินงานในรูปแบบบริษัทเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่า: กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำจันทบูร จ.จันทบุรี, พชรพร ภุมรินทร์
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
งานวิจัยเรื่องการดำเนินงานในรูปแบบบริษัทเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่า กรณีศึกษาชุมชนริมน้ำจันทบูร จ.จันทบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์กลไกการดำเนินงานในรูปแบบบริษัทเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ในย่านเมืองเก่า พร้อมกับถอดบทเรียนของการดำเนินงาน โดยเลือกกรณีศึกษาชุมชนริมน้ำจันทบูร ซึ่งมีการดำเนินงานในการสนับสนุนการอนุรักษ์ ของบริษัท จันทบูรรักษ์ดี จำกัด ที่เป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยการระดมทุนของชาวชุมชนและผู้สนับสนุนภายนอกพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการอาคารที่ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟู โดยงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีการเก็บข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสำรวจพื้นที่ การสังเกตการณ์ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้เสียแบบมีโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า ข้อดีของการดำเนินงานในรูปแบบบริษัทคือ มีความคล่องตัวในการดำเนินงานเพราะมีงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนและงบประมาณของบริษัทที่ได้จากการร่วมระดมทุนของผู้ถือหุ้น รวมถึงรูปแบบบริษัทเป็นการบริหารงานที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย แต่ข้อจำกัดของการดำเนินงานในรูปแบบบริษัทคือ ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการในส่วนอื่นได้นอกจากตัวอาคารที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทเท่านั้น อีกทั้งยังพบว่าการดำเนินงานของบริษัท จันทบูรรักษ์ดี จำกัด ประสบความสำเร็จในด้านการเป็นธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ด้วยตัวเองในเชิงการบริหารธุรกิจมาตลอด 5 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นกิจการเพื่อสังคม เนื่องจากยังไม่สามารถปันผลและคืนกำไรบางส่วนสู่สังคมได้ ข้อค้นพบอื่นๆ ได้แก่ การดำเนินงานในพื้นที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานตามขั้นตอนการอนุรักษ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป มีระยะเวลาในการพัฒนาการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์ขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ ตั้งแต่เริ่มกระบวนการการสร้างความตระหนักรู้ ในเชิงการเงินพบว่า การระดมทุนน่าจะสามารถทำซ้ำได้ในพื้นที่ที่มีบริบทใกล้เคียงกับชุมชนริมน้ำจันทบูร ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม เช่น ความร่วมมือของชุมชน และความเข้าใจของผู้ร่วมทุน นอกจากนั้นแล้ว บริษัท จันทบูรรักษ์ดี จำกัด ยังแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ของกิจการเพื่อสังคมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่า ซึ่งในปัจจุบันพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจเพื่อสังคมมากขึ้น
รูปแบบเชิงพื้นที่ของพื้นที่ซอยท่าน้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานคร, ปณัฐพรรณ ลัดดากลม
รูปแบบเชิงพื้นที่ของพื้นที่ซอยท่าน้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานคร, ปณัฐพรรณ ลัดดากลม
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
พื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานครล้วนแต่เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ และ ย่านชุมชนริมน้ำดั้งเดิม ตั้งแต่การเริ่มตั้งถิ่นฐานของกรุงเทพฯ ทำให้มีพื้นที่ท่าน้ำแทรกตัวอยู่ตลอด พื้นที่ริมแม่น้ำ ทำหน้าที่เป็นพื้นที่สาธารณะมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดีในปัจจุบันพื้นที่ ท่าน้ำและบริเวณโดยรอบ มักมีการใช้งานที่ไม่เต็มศักยภาพ ทำให้พื้นที่ท่าน้ำเหล่านี้ไม่เอื้อ ประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ ย่าน และเมืองตามที่ควรจะเป็น งานวิจัยชิ้นนี้ ต้องการจำแนกประเภทพื้นที่ซอยท่าน้ำและศึกษารูปแบบเชิงพื้นที่ อัน ประกอบด้วย โครงข่ายการสัญจรและพื้นที่สาธารณะ การใช้ประโยชน์ที่ดินและอาคารรูปแบบมวล อาคารและพื้นที่ว่าง และรูปแบบพื้นที่มุมมอง ที่ส่งผลต่อรูปแบบการใช้พื้นที่อย่างอเนกประโยชน์ อันประกอบด้วย ความหลากหลายจากกลุ่มคนกิจกรรม และช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ผลการศึกษา พบว่า พื้นที่ซอยท่าน้ำจำแนกได้ 6 ประเภท และพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีรูปแบบการใช้พื้นที่อย่าง อเนกประโยชน์ จะมีรูปแบบเชิงพื้นที่ที่หลากหลายด้วย ผลการวิเคราะห์พบว่า โครงข่ายการสัญจรและพื้นที่สาธารณะมีผลต่อการเข้าใช้พื้นที่ อย่างอเนกประโยชน์มากที่สุด รองลงมาคือการใช้ประโยชน์ที่ดินและอาคารและรูปแบบมวลอาคาร และพื้นที่ว่างตามลำดับ กล่าวคือ พื้นที่ซอยท่าน้ำที่มีโครงข่ายที่สานต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของย่าน และเมือง จะมีโอกาสเหนี่ยวนำผู้คนให้เข้ามาใช้งานพื้นที่ได้มากและหากพื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ ประโยชน์ที่ดินและอาคารและรูปแบบมวลอาคารและพื้นที่ว่างที่หลากหลายด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้มี ความแตกต่างของกลุ่มคน กิจกรรมและช่วงเวลาในการเข้าใช้งาน
เศรษฐกิจเชิงเดี่ยวและความอ่อนไหวเปราะบางของเมือง กรณีศึกษาเทศบาลเมืองปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช, รวินทร์ ถิ่นนคร
เศรษฐกิจเชิงเดี่ยวและความอ่อนไหวเปราะบางของเมือง กรณีศึกษาเทศบาลเมืองปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช, รวินทร์ ถิ่นนคร
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ฐานเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อการสร้างความหลากหลายของความเป็นเมืองนำมาสู่ผลทวีคูณและการเติบโตทั้งด้านกายภาพ, เศรษฐกิจ และสังคม เอื้อให้เกิดการสร้างนวัตกรรมของเมืองในการเผชิญและรับมือกับผลกระทบภายนอกเชิงลบที่ไม่คาดคิด แต่ในทางตรงกันข้าม เมืองที่ไม่สามารถควบคุมการเติบโตของฐานเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวที่ก่อให้เกิดพลวัตเมืองเชิงลบและความเสื่อมถอยของเมือง ลดความหลากหลายของความเป็นเมือง นำมาซึ่งการสูญเสียทุนทั้งทางกายภาพ, เศรษฐกิจ และสังคม เพิ่มระดับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและสังคมของเมือง ส่งผลให้เมืองอ่อนไหวเปราะบางต่อการเปิดรับภัยอันตรายจากภายนอก งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวและความอ่อนไหวเปราะบางของเมือง กรณีศึกษาคือ เทศบาลเมืองปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีฐานเศรษฐกิจหลักของเมืองเป็นเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวคือธุรกิจรังนกแอ่น ระเบียบวิธีวิจัยสามารถแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่1 การศึกษาการเปลี่ยนแปลงสัณฐานเมืองจากการเติบโตของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ส่วนที่2 การศึกษารูปแบบการกระจายตัวของระดับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ-สังคม และระดับการเปิดรับภัยอันตรายเชิงพื้นที่ เพื่อนำมาสู่การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแผนที่ดัชนีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและสังคม, แผนที่ดัชนีการเปิดรับภัยอันตราย และการกระจุกตัวของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวจากธุรกิจรังนกแอ่น และส่วนที่3 การประเมินความสามารถในการปรับตัวเชิงสถาบันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ผลการศึกษาพบว่า การเติบโตของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวจากธุรกิจรังนกแอ่นเป็นรากสาเหตุของการเสื่อมถอยของศูนย์กลางเมืองในปัจจุบันที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของพื้นที่ศูนย์กลางเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังแสดงได้จาก (1) การเปลี่ยนแปลงสัณฐานเมืองและการพัฒนาที่ถูกจำกัดจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์อาคารเป็นอาคารสำหรับนกแอ่นทำรังซึ่งมีลักษณะเป็นเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวที่แทรกตัวอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางเมือง ไม่ก่อให้เกิดลักษณะสัณฐานที่สามารถดึงดูดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย (2) ค่าดัชนีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและสังคมมีระดับปานกลางค่อนข้างมากจนถึงระดับมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยพื้นที่อื่นๆของเมืองซึ่งมีอิทธิพลต่อระดับความอ่อนไหวเปราะบางของเมืองต่อการเปิดรับภัยอันตรายภายนอก ทั้งหมดเป็นผลมาจากความสามารถในการปรับตัวของสถาบันที่มีจำกัดในการควบคุมการเติบโตของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวจากธุรกิจรังนกแอ่น ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญของสัณฐานเมืองและโครงสร้างประชากร ดังนั้นข้อเสนอแนะคือ การเติบโตของเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวจำเป็นอย่างยิ่งต้องถูกควบคุมและปรับตัวโดยสถาบัน
ความสัมพันธ์ของทุนทางสังคมกับการเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติเมืองของแรงงานต่างชาติทักษะสูง, ณปรินทสิทธิ์ ปรีชาหาญ
ความสัมพันธ์ของทุนทางสังคมกับการเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติเมืองของแรงงานต่างชาติทักษะสูง, ณปรินทสิทธิ์ ปรีชาหาญ
Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ในปัจจุบัน โลกอยู่ในยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based economy) ที่มีความรู้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการสร้างความเติบโตและความมั่งคั่งของเศรษฐกิจ โดยมีทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในประเทศไทย รัฐบาลได้นำแนวคิด ประเทศไทย 4.0 มาเป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ที่ต้องการเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม แต่ทว่าทุนมนุษย์ของประเทศไทยยังมีอยู่จำกัด โดยเฉพาะการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลในด้านเทคโนโลยีและทักษะชั้นสูงในด้านต่างๆ นอกเหนือจากการทำงานที่ต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญชั้นสูงให้กับองค์กรและบริษัทต่างๆ แล้ว แรงงานต่างชาติทักษะสูง ยังเป็นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้ ด้วยการเผยแพร่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ (Knowledge spillover) ที่ช่วยเสริมสร้างความรู้และความเชี่ยวชาญให้กับทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย เพิ่มศักยภาพให้กับทุนมนุษย์ของประเทศ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประสบกับภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ เช่น คลื่นสึนามิใน พ.ศ. 2547 อุทกภัยใน พ.ศ. 2554 และภัยพิบัติหมอกควัน รวมถึงจลาจลและความไม่สงบทางการเมือง ส่งผลต่อความมั่นใจในการลงทุนในประเทศไทยของนักลุงทุนต่างชาติ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยของแรงงานต่างชาติทักษะสูง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มักมีทุนทางสังคม (Social capital) ต่ำเมื่อเทียบกับคนไทยที่อยู่ในท้องถิ่นในด้านการเตรียมตัวและรับมือภัยพิบัติ งานวิจัยนี้จึงเป็นงานวิจัยชิ้นแรกๆ ในการศึกษาทุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวและรับมือภัยพิบัติของแรงงานต่างชาติทักษะสูง โดยใช้กรณีศึกษาของแรงงานต่างชาติทักษะสูงในกรุงเทพมหานคร โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ด้วยการวิเคราะห์ทุนทางสังคมและวิเคราะห์โครงข่ายทางสังคม (Social network analysis) จากการทำการสัมภาษณ์เชิงลึกของกลุ่มตัวอย่าง 20 คนที่ทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ สถานฑูต มหาวิทยาลัย และบริษัทข้ามชาติ ผลของงานวิจัยพบว่า ทุนทางสังคมของแรงงานต่างชาติทักษะสูงไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร แต่เกิดขึ้นที่สถานที่ทำงานและสถานที่พักผ่อน ดังนั้นการวางแผนการเตรียมตัวและรับมือภัยพิบัติของแรงงานต่างชาติทักษะสูงจึงควรให้ความสำคัญกับพื้นที่บริเวณสถานที่ทำงาน ซึ่งแตกต่างกับการวางแผนการเตรียมตัวและรับมือภัยพิบัติของคนในท้องถิ่นที่มีทุนทางสังคมในชุมชนสูง