Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®
- Keyword
-
- AESTHETICS (1)
- AUGMENTED REALITY (AR) (1)
- AUTHENTIC LEARNING (1)
- AWARENESS(การคิดวิเคราะห์ (1)
- CHILDREN WITH AUTISM (1)
-
- COMPUTER-BASED TESTING(การแก้โจทย์ปัญหาทางด้านพันธุศาสตร์ (1)
- CONCEPTUAL FRAMEWORK (1)
- CREATIVE THINKING (1)
- CRITICAL THINKING (1)
- DEMOCRATIC SKILL(การพัฒนา (1)
- DEVELOPMENT (1)
- EDUCATION PROVISION SUSTAINABLE DEVELOPMENT(การพัฒนาครู (1)
- EFFECTIVE (1)
- EFFICIENCY MANAGEMENT (1)
- ENGLISH LISTENING ABILITY (1)
- ENGLISH VOCABULARY (1)
- FACTOR AFFECTING TO DEVELOP CCPR SKILLS (1)
- FIELD TRIPS WITH ART OUTDOOR ACTIVITIES (1)
- GENETIC PROBLEM SOLVING ABILITY (1)
- GLOBAL LEADERSHIP (1)
- GROUPINVESTIGATION (1)
- HISTORICAL EMPATHY (1)
- HISTORICAL THINKING SKILLS (1)
- IMMEDIATE FEEDBACK (1)
- IN-SERVICE MILITARY CONSCRIPTS(รูปแบบการฝึกอบรม (1)
- INAPPROPRIATE BEHAVIOR (1)
- KINDERGARTENERS(กรอบแนวคิด (1)
- LEADERSHIP DEVELOPMENT(ภาวะผู้นําแบบโลกาภิวัตน์ (1)
- LEARNING PROCESS (1)
- LIFELONG LEARNING (1)
Articles 1 - 22 of 22
Full-Text Articles in Education
การพัฒนาแบบวัดสมรรถนะเชิงวัฒนธรรม, ชุตินันท์ จันทรเสนานนท์, ศิริชัย กาญจนวาสี, กมลวรรณ ตังธนกานนท์
การพัฒนาแบบวัดสมรรถนะเชิงวัฒนธรรม, ชุตินันท์ จันทรเสนานนท์, ศิริชัย กาญจนวาสี, กมลวรรณ ตังธนกานนท์
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแบบวัดสมรรถนะเชิงวัฒนธรรมที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ทั้ง ด้านความตรงและความเที่ยง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ จากโรงเรียน ๓ สังกัด ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใน ๔ ภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน ๖,๑๔๙ คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลาย ขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบวัดสมรรถนะเชิงวัฒนธรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ผลการวิเคราะห์คุณภาพของแบบวัดสมรรถนะเชิงวัฒนธรรม พบว่า แบบวัดมีค่าอำนาจจำแนกอยู่ ระหว่าง -๐.๕๐ ถึง ๐.๒๐ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ ๐.๙๗ และแบบวัดมีความตรงเชิงโครงสร้างจากการ วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง มีค่าไค-สแควร์ เท่ากับ ๑๗.๓๗, ที่องศาอิสระ ๑๕, p = 0.30, GFi = 1.00, AGFi = 1 และ RMSEA = 0.0052
มุมห้องเรียน, อรนุชา อัฏฏะวัชระ
รูปแบบการพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว, แพรรัตน สบเสถียร, กมล สุดประเสริฐ, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์
รูปแบบการพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว, แพรรัตน สบเสถียร, กมล สุดประเสริฐ, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และเพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ จากตัวอย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ ๑๔ แห่ง ของประชากรมหาวิทยาลัยราชภัฏ ๔๐ แห่ง เครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารและคณาจารย์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย(M) ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เปรียบเทียบนัยสำคัญด้วย ค่า t ?test ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบัน รูปแบบหลักทุกรูปแบบปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลางดังนี้ รูปแบบหลักที่ ๔: การพัฒนาโดยยึดผู้ให้การอบรมเป็นฐานมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง ( X = 2.90)รูปแบบหลักที่ปฏิบัติรองลงไปคือ รูปแบบหลักที่ ๒: การพัฒนาโดยยึดปัจเจกบุคคลเป็นฐาน( X = 2.89)รูปแบบหลักที่ ๑: การพัฒนาโดยยึดองค์กรเป็นฐาน ( X = 2.88) และรูปแบบหลักที่ ๓: การพัฒนาโดยยึดบทบาทของนักการศึกษาเป็นฐาน ( X = 2.79) ตามลำดับรูปแบบการพัฒนาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีการปฏิบัติเป็นอันดับ ๑ มีการปฏิบัติในระดับปานกลาง คือ รูปแบบหลักที่ ๔: การพัฒนาโดยยึดผู้ให้การอบรมเป็นฐาน ( X = 4.28) รูปแบบหลักที่พึงประสงค์รองลงไปคือ รูปแบบหลักที่ ๒: การพัฒนาโดยยึดปัจเจกบุคคลเป็นฐาน ( X = 4.17) รูปแบบหลักที่ ๓: การพัฒนาโดยยึดบทบาทของนักการศึกษาเป็นฐาน( X = 4.13) และรูปแบบหลักที่ ๑: การพัฒนาโดยยึดองค์กรเป็นฐาน( X = 4.09) ตามลำดับ
รูปแบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี: บทเรียนจากโครงการพระราชทาน ความช่วยเหลือทางการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม พหุกรณี, อุบลวรรณ หงษ์วิทยากร
รูปแบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี: บทเรียนจากโครงการพระราชทาน ความช่วยเหลือทางการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม พหุกรณี, อุบลวรรณ หงษ์วิทยากร
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการถอดบทเรียนที่ดีในการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูของโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในโครงการพระราชทานความช่วยเหลือทางการศึกษาของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นต้นแบบในการจัดการศึกษาและการพัฒนา ครู โดยมีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ คือ ๑) วิเคราะห์จุดเด่นในการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูตามแนว พระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๒) สังเคราะห์ประเด็นการจัดการศึกษา และการพัฒนาครูตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ ๓) สร้างรูปแบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีวิธีการดำเนินวิจัย ๒ วิธีหลัก คือ การศึกษาเอกสาร และการศึกษาภาคสนาม ใน ๒ พื้นที่ที่มีความแตกต่างเรื่องขนาดโรงเรียน คือ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดปรางค์ อำเภอปัว จังหวัดน่าน และโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดนิโครธาราม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูตามแนว พระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีลักษณะเป็น ?กงล้อการพัฒนา? ประกอบด้วย กำ เปรียบเสมือน ฐานคิด ที่ครอบคลุมรอบด้าน ทั้ง ๖ ทิศ คือ การศึกษา การจัดการ ความรู้ ครู นักเรียน และชุมชน โดยมีหลักคิดในการจัดการศึกษาและการพัฒนาครูตามแนว พระราชดำริฯ ๓ ประการ คือ ๑) การพัฒนาผู้เรียนอย่างเสมอภาค ๒) การพัฒนาผู้เรียนให้มีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ และ ๓) การพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม กง เปรียบเสมือน กิจปฏิบัติ ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมีแนวทาง ๓ ด้าน คือ การเรียน การสอน และ การสร้างสัมพันธ์ ซึ่งมีหลักปฏิบัติสำคัญ ๑๒ ประการ คือ ๑) ความร่วมมือ ๒) ความสำนึกในหน้าที่ ๓) ความศรัทธา …
การพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัยของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ, ศิริมาศ โกศัลย์พิพัฒน์, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์, ปิยพงษ์ สุเมตติกุล
การพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัยของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ, ศิริมาศ โกศัลย์พิพัฒน์, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์, ปิยพงษ์ สุเมตติกุล
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัย ๒) นำเสนอกระบวนทัศน์ที่พึงประสงค์ของการบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัย และ ๓) นำเสนอกลยุทธ์การพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัยของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงบรรยายประชากรคือ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย คณบดีคณะครุศาสตร์ ประธานสาขา อาจารย์ นักศึกษาภาคปกติชั้นปีที่ ๒ ? ๕ บัณฑิตและผู้ใช้บัณฑิต จำนวน ๔๖๒ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบตรวจสอบความเหมาะสมของกลยุทธ์และแนวคำถามการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบค่า ?ที? (t-test) ที่ระดับนัยสำคัญ .๐๑ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการใช้เทคนิค Modif ied Priority Needs Index (PNImodif ied) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า ๑) สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ บริหารสาขาตามกระบวนทัศน์การบริหารแบบเดิมมากกว่ากระบวนทัศน์การบริหารแบบใหม่ทั้งในสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยของสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารแบบเดิมมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากระบวนทัศน์การบริหารแบบใหม่ ๕ ด้าน จาก ๘ ด้าน ส่วนอีก ๓ ด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยของสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารแบบใหม่สูงกว่ากระบวนทัศน์การบริหารแบบเดิม๒) กระบวนทัศน์ที่พึงประสงค์ของการบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัยของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ที่อยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการสร้างจิตสำนึกในสังคม (ค่าเฉลี่ย = ปฐมวัย ที่อยู่ในระดับมากที่สุด คือ ๑) นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการพัฒนาสังคม (ค่าเฉลี่ย = ๔.๖๐) และ๒) ปลูกฝังให้นักศึกษามีจิตสำนึกที่คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมส่วนรวม (ค่าเฉลี่ย = ๔.๕๒) และ ๓) กลยุทธ์การพัฒนากระบวนทัศน์การบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัยของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์หลัก คือ ๑) กลยุทธ์การบริหารสาขาการศึกษาปฐมวัย๒) กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ ๓) กลยุทธ์การพัฒนาอาจารย์และนักศึกษา …
ผลของการใช้กิจกรรมการอภิปรายแบบผสมผสานและกระดานสนทนาในการเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาที่มีต่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๕, นุชนาถ ชูกลิ่น, ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ
ผลของการใช้กิจกรรมการอภิปรายแบบผสมผสานและกระดานสนทนาในการเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาที่มีต่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๕, นุชนาถ ชูกลิ่น, ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนที่เรียนด้วยกรณีศึกษาโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายต่างกัน ๒) เพื่อเปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนที่เรียนด้วยกรณีศึกษาโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายที่แตกต่างกัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)๒ จำนวน ๕๐ คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง กลุ่มทดลองที่ ๑เรียนโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายแบบผสมผสาน กลุ่มทดลองที่ ๒ เรียนโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายบนกระดานสนทนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาบนเว็บ แบบทดสอบการคิดอย่างมีวิจารณญาณระดับ ๑๐ แบบประเมินพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของผู้เรียนในการทำกิจกรรมการอภิปราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ( x ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (t?test) ผลการวิจัยพบว่า ๑) นักเรียนที่เรียนด้วยกรณีศึกษาโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายที่ต่างกันมีคะแนนการคิดอย่างมีวิจารณญาณก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และ ๒) นักเรียนที่เรียนด้วยกรณีศึกษาโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายแบบผสมผสานกับนักเรียนที่เรียนด้วยกรณีศึกษาโดยใช้กิจกรรมการอภิปรายบนกระดานสนทนา มีคะแนนการคิดอย่างมีวิจารณญาณไม่แตกต่างกัน
เปิดประเด็น, เฉลิมลาภ ทองอาจ
แนะนำหนังสือ, ปะราลี ปาละสุวรรณ
อิทธิพลของสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียน ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, รัตนา ตั้งศิริชัยพงษ์, ชาตรี นาคะกุล, สมคิด สร้อยนํ้า, สุกิจ สุวรรณชัยรบ
อิทธิพลของสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียน ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, รัตนา ตั้งศิริชัยพงษ์, ชาตรี นาคะกุล, สมคิด สร้อยนํ้า, สุกิจ สุวรรณชัยรบ
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน และโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ อิทธิพลของสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียน ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทำการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนมัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๔๐๐ โรงเรียน จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ๑) ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีระดับสมรรถนะในการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมาก ทั้งในด้านคุณลักษณะของผู้บริหารโรงเรียน ด้านความรู้ความสามารถของผู้บริหารโรงเรียน และด้านทักษะปฏิบัติการของผู้บริหารโรงเรียน ๒) โมเดลความสัมพันธ์ เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยตัวแปรแฝง ๗ ตัวแปร และตัวแปรสังเกตได้ ๒๙ ตัวแปร มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ด้วยค่า ?2 = 428.08, df = 304, P = 0.521, RMSEA = 0.034, GFi = 0.90 และAGFi = 0.97 โดยพบว่า ตัวแปรสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน มีอิทธิพลทางตรงระหว่าง ๐.๒๑ - ๐.๕๒ มีอิทธิพลทางอ้อมระหว่าง ๐.๑๐ - ๐.๔๑และมีอิทธิพลรวมระหว่าง ๐.๑๐ - ๐.๖๓ ซึ่งตัวแปรทุกตัวร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ร้อยละ ๖๕
คิดนอกกรอบ, สันติ ศรีประเสริฐ
หลักสูตรศิลปศึกษา : กรณีศึกษาเปรียบเทียบสาธารณรัฐฟินแลนด์ และประเทศไทย, ขนบพร วัฒนสุขชัย
หลักสูตรศิลปศึกษา : กรณีศึกษาเปรียบเทียบสาธารณรัฐฟินแลนด์ และประเทศไทย, ขนบพร วัฒนสุขชัย
Journal of Education Studies
No abstract provided.
การพัฒนารูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศด้วยการใช้เทคโนโลยีเว็บ ๒.๐ โดยการวัดและประเมินตามสภาพจริงเพื่อส่งเสริมสมรรถนะทางวิชาชีพของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู, ปราโมทย์ พรหมขันธ์, จินตวีร์ คล้ายสังข์
การพัฒนารูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศด้วยการใช้เทคโนโลยีเว็บ ๒.๐ โดยการวัดและประเมินตามสภาพจริงเพื่อส่งเสริมสมรรถนะทางวิชาชีพของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู, ปราโมทย์ พรหมขันธ์, จินตวีร์ คล้ายสังข์
Journal of Education Studies
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษารูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศด้วยการใช้เทคโนโลยีเว็บ ๒.๐ โดยการวัดและประเมินตามสภาพจริงเพื่อส่งเสริมสมรรถนะทางวิชาชีพของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๑๗ ท่าน โดยใช้เทคนิคเดลฟาย ๒) สร้างรูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศฯ ๓) ศึกษาผลของการใช้รูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศฯ ที่พัฒนา ๔) นำเสนอรูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศฯ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษาครูที่ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง ๑๕ คน และกลุ่มควบคุม ๑๕ คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัย พบว่า ๑) รูปแบบประกอบด้วย ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ สมาชิกเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศ การวัดและประเมินตามสภาพจริง และ เครื่องมือของเทคโนโลยีเว็บ ๒.๐ ๒) รูปแบบประกอบด้วย๖ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นผูกโยงเครือข่าย ๒) ขั้นสร้างความสัมพันธ์ มุ่งมั่นสู่จุดมุ่งหมาย ๓) ขั้นรับกัลยาณมิตรหมั่นฝึกจิตความเป็นครู ขั้นร่วมช่วยแก้ไข เปิดใจรับเพื่อปรับปรุง ขั้นประเมินผล พิสูจน์ตนเชิงประจักษ์และ ขั้นขยายเครือข่าย ผลของการใช้รูปแบบเครือข่ายกัลยาณมิตรนิเทศฯ พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนประเมินเฉลี่ยของพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ ทักษะการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และคุณลักษณะความเป็นครู สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕
อุดมศึกษาไทยกับการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน, นงณภัทร รุ่งเนย
อุดมศึกษาไทยกับการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน, นงณภัทร รุ่งเนย
Journal of Education Studies
กระแสโลกาภิวัตน์ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ก่อให้เกิดการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยจนเกิดความไม่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง สถาบันอุดมศึกษาถือว่ามีบทบาทสำคัญมากท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ซับซ้อนสถาบันอุดมศึกษาต้องเป็นสถาบันหลักที่ช่วยให้สังคมอยู่รอดได้โดยต้องปรับกระบวนทัศน์ในการบริหารงานสถาบันและปรับบทบาทในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน คำนึงถึงทิศทางในการพัฒนาของประเทศ พัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เน้นการผลิตและพัฒนาบัณฑิตที่มีความรู้ ทักษะและมีคุณลักษณะที่เหมาะสมในการเป็นผู้นำสังคมได้
มุมห้องเรียน, ชยการ คีรีรัตน์
การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ, อาชัญญา รัตนอุบล, สารีพันธุ์ ศุภวรรณ, วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา, มนัสวาสน์ โกวิทยา, วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา, ปาน กิมปี, ณัฏฐลักษณ์ ศรีมีชัย, สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล, ระวี สัจจโสภณ
การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ, อาชัญญา รัตนอุบล, สารีพันธุ์ ศุภวรรณ, วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา, มนัสวาสน์ โกวิทยา, วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา, ปาน กิมปี, ณัฏฐลักษณ์ ศรีมีชัย, สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล, ระวี สัจจโสภณ
Journal of Education Studies
การวิจัยเรื่อง ?การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ? ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ๑) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุในประเทศและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ๒) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุในประเทศไทย ๓) เพื่อจัดทำรูปแบบและแนวทางการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุ ญาติที่อยู่ร่วมกับผู้สูงอายุ บุคลากรทางการศึกษา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในท้องถิ่น ที่อาศัยใน ๕ ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคตะวันออก และภาคใต้ การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น ๒ ขั้นตอน คือ ๑) ขั้นตอนการวิจัย เป็นการศึกษาเอกสาร การศึกษากรณีตัวอย่างที่ดี และการสำรวจสภาพ ปัญหา และความต้องการการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้ของผู้สูงอายุ ญาติ บุคลากรทางการศึกษา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในท้องถิ่น๒) ขั้นตอนการพัฒนา เป็นการพัฒนารูปแบบและแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ ๑) ผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลการให้บริการการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุของประเทศไทยและต่างประเทศ และการเปรียบเทียบกับการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุของประเทศไทย พบว่า กรณีศึกษาที่ดีของประเทศไทยเป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ ครอบครัว และชุมชนโดยรวม โดยบูรณาการกิจกรรมการเรียนรู้และกิจกรรมการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขสำหรับในต่างประเทศ พบว่า มีการดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นระบบในการหาความต้องการ การวางแผน การจัดทำโครงการ การดำเนินการและการประเมินผล โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและจัดกิจกรรม ตลอดจนมีการประเมินผลกิจกรรมการเรียนรู้ ๒) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาและความต้องการการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้ สำหรับผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุมีปัญหาสุขภาพทางกายมากที่สุด สำหรับความต้องการการส่งเสริมการจัดการศึกษา/เรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุด้านรูปแบบการจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า มีความต้องการด้านความเชี่ยวชาญของวิทยากร/ผู้สอนมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบความต้องการ การส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพสำหรับผู้สูงอายุ ระหว่างบุคลากรทางการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในท้องถิ่น พบว่า มีความต้องการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๑๐ ๓) รูปแบบและแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ พบว่า แบ่งออกเป็น ๕ รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบมหาวิทยาลัยวัยที่สาม รูปแบบศูนย์เอนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน รูปแบบเมือง/ชุมชนสำหรับผู้สูงอายุ รูปแบบชมรมผู้สูงอายุ/สโมสรผู้สูงอายุ และรูปแบบการรวมกลุ่มของผู้สูงอายุตามอัธยาศัย และแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ ประกอบด้วย ๔ หลักสำคัญ คือ (๑) การกำหนดเนื้อหา/กิจกรรมการเรียนรู้ (๒) การเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการศึกษา/การเรียนรู้(๓) การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้/สื่อการเรียนรู้ และ (๔) การวิจัยและพัฒนา
การพัฒนารูปแบบการฝึกอบรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมการรู้สารสนเทศและการเรียนรู้แบบนำตนเองของผู้เรียนวัยผู้ใหญ่, ปิยะ ศักดิ์เจริญ
การพัฒนารูปแบบการฝึกอบรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมการรู้สารสนเทศและการเรียนรู้แบบนำตนเองของผู้เรียนวัยผู้ใหญ่, ปิยะ ศักดิ์เจริญ
Journal of Education Studies
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ ๑) พัฒนารูปแบบการฝึกอบรมผ่านเว็บที่ส่งเสริมการรู้สารสนเทศและการเรียนรู้แบบนำตนเอง โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบนำตนเองและการเรียนรู้แบบใช้ทรัพยากรเป็นฐาน ๒) ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการฝึกอบรมผ่านเว็บที่ได้พัฒนาขึ้นทางด้านการรู้สารสนเทศ การเรียนรู้แบบนำตนเอง และความพึงพอใจในการฝึกอบรม โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม และใช้การเปรียบเทียบผลก่อนและหลังฝึกอบรม โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นผู้ใช้บริการของศูนย์บรรณสารสนเทศทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ที่อาสาเข้าร่วมฝึกอบรมจำนวน ๒๒ คน เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ เว็บฝึกอบรม เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงาน แบบวัดระดับการรู้สารสนเทศ แบบวัดระดับการเรียนรู้แบบนำตนเองและแบบวัดระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ดังนี้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและ t-test ผลการวิจัยพบว่า ๑) รูปแบบการฝึกอบรมผ่านเว็บ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ คือ๑. วัตถุประสงค์ ๒. ผู้เรียน ๓. ช่วงเวลา ๔. เนื้อหาสาระ ๕. กิจกรรมการเรียนรู้ ๖. สื่อการเรียนการสอนและ ๗. การประเมินผล ๒) ผลของรูปแบบการฝึกอบรมผ่านเว็บที่พัฒนาขึ้นพบว่าสามารถเสริมสร้างความรู้ และทัศนคติในการรู้สารสนเทศ และพฤติกรรมในการเรียนรู้แบบนำตนเองของกลุ่มทดลองให้มีระดับสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง และมีระดับสูงขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ที่มีภูมิหลัง และการสนับสนุนทางด้านการเรียนของผู้ปกครองแตกต่างกัน, สุพร ชัยเดชสุริยะ, พัชรี วรจรัสรังสี
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ที่มีภูมิหลัง และการสนับสนุนทางด้านการเรียนของผู้ปกครองแตกต่างกัน, สุพร ชัยเดชสุริยะ, พัชรี วรจรัสรังสี
Journal of Education Studies
การวิจัยระยะยาวครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม รวม ๓ รุ่น ที่มี ภูมิหลัง และการสนับสนุนของผู้ปกครองทางการเรียนแตกต่างกัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนที่เข้าศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ รุ่นปีการศึกษา ๒๕๔๕, ๒๕๔๖ และ ๒๕๔๗ รวม ๓ รุ่น จำนวนรวม ๖๔๔ คนและผู้ปกครองของนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูล และแบบสอบถามใช้แบบบันทึกรวบรวมข้อมูลด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้ง ๓ รุ่น รวม ๖ ครั้ง ใช้แบบสอบถามรวบรวมข้อมูลด้านการสนับสนุนของผู้ปกครองทางการเรียนปีเว้นปีรวม ๓ ครั้ง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยาย การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซํ้า และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยที่สำคัญ สรุปได้ว่า ๑) ในภาพรวมทั้ง ๓ รุ่นเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ๒ ด้านคือ ด้านประเภทของนักเรียน ค่าเฉลี่ยของนักเรียนประเภทบุคคลภายนอกสูงกว่าประเภทสวัสดิการการศึกษาสงเคราะห์ และบุตรบุคลากร และด้านความพร้อมและความรู้พื้นฐาน ค่าเฉลี่ยของนักเรียนกลุ่มที่มีความพร้อมและความรู้พื้นฐานสูงมีค่าสูงกว่ากลุ่มที่มีความพร้อมและความรู้พื้นฐานปานกลางและตํ่า เมื่อควบคุมอิทธิพลของตัวแปรสถานภาพทางเศรษฐกิจ และการสนับสนุนทางการเรียนของผู้ปกครอง ๒) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่ละรุ่นจากการวัดซํ้า ๖ ครั้ง พบว่าค่าเฉลี่ยจากการวัดแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของคะแนนเฉลี่ยลดลงเป็นแบบเส้นตรง มีค่าเฉลี่ยในการวัดครั้งที่ ๒ หรือ ๓ สูงสุด และในการวัดครั้งที่ ๕ ตํ่าสุด ๓) เมื่อเปรียบเทียบแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีความแตกต่างกันด้านความพร้อมและความรู้พื้นฐานต่างกันด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจ และด้านการสนับสนุนทางการเรียนของผู้ปกครอง พบว่า ไม่มีความแตกต่างของแนวโน้ม แต่พบว่าค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการวัดแต่ละครั้งแตกต่างกัน และ ๔) ตัวแปรความพร้อมและความรู้พื้นฐาน สถานภาพทางเศรษฐกิจ และด้านการสนับสนุนทางการเรียนของผู้ปกครอง อธิบายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ร้อยละ ๒๕.๒ ๑๘.๘ และ ๒๓.๑ ตามลำดับ
ยุทธศาสตร์การบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล, ธำรง รัตนภรานุเดช, อภิภา ปรัชญพฤทธิ์
ยุทธศาสตร์การบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล, ธำรง รัตนภรานุเดช, อภิภา ปรัชญพฤทธิ์
Journal of Education Studies
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการคือ ๑) ศึกษาสภาพการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล ๒) พัฒนายุทธศาสตร์การบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามสภาพการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาไทยตามหลักธรรมาภิบาล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย กลุ่มผู้บริหารระดับสูงของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน กลุ่มผู้บริหารระดับกลาง กลุ่มคณาจารย์และบุคลากรระดับปฏิบัติงาน และกลุ่มนิสิตนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นโดยการวิเคราะห์เนื้อหาสาระและสถิติเชิงบรรยาย วิเคราะห์สภาพการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล ต่อจากนั้นใช้เทคนิค SWOT วิเคราะห์สภาพแวดล้อมของการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล นำผลการวิเคราะห์มากำหนดยุทธศาสตร์การบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาล และตรวจสอบแผนยุทธศาสตร์โดยวิธีการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัยพบว่า สภาพการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยตามหลักธรรมาภิบาลมีการนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยในระดับมาก ยุทธศาสตร์การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย๖ ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทยด้านหลักนิติธรรม ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใส ด้านหลักการมีส่วน ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่า
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสเพื่อส่งเสริมการพัฒนามนุษย์และสังคมอย่างยั่งยืน, เกียรติวรรณ อมาตยกุล
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสเพื่อส่งเสริมการพัฒนามนุษย์และสังคมอย่างยั่งยืน, เกียรติวรรณ อมาตยกุล
Journal of Education Studies
งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสเพื่อเสริมสร้างการพัฒนามนุษย์และสังคมอย่างยั่งยืน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ การสังเกต และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๑๐ คน ผลการวิจัยพบว่า ๑) มีการนำแนวคิดแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสมาใช้ในการจัดการศึกษาแต่ละระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย สามารถทำให้ผู้เรียนมีคลื่นสมองตํ่า มีภาพพจน์ด้านบวกของตัวเองสูงขึ้น และมีแนวทางในการดูแลสุขภาพตนเองได้ดีขึ้น ๒) รูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสเพื่อส่งเสริมการพัฒนามนุษย์และสังคมอย่างยั่งยืนมีรูปแบบการจัดการศึกษาที่ชัดเจน ประกอบด้วย เป้าหมาย และหลักการที่คล้ายกัน แต่มีกระบวนการแตกต่างกัน และ ๓) แนวทางการนำรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสไปใช้ปฏิบัติในบริบทสังคมไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้ใทุกบริบทของการเรียนรู้ในสังคมไทย โดยองค์ความรู้ที่ได้สามารถนำไปกำหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนามนุษย์และสังคม และใช้เป็นข้อมูลสำคัญสำคัญผู้สนใจในการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อนำไปศึกษาหรือทำวิจัยต่อไป
จับกระแสการศึกษาโลก, ศรีไพร โชติจิราวัฒนา
จับกระแสการศึกษาโลก, ศรีไพร โชติจิราวัฒนา
Journal of Education Studies
No abstract provided.
การพัฒนารูปแบบการสร้างพลังอำนาจเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการทำวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ, ฐิติมาวดี เจริญรัชต์, ปทีป เมธาคุณวุฒิ, พิชิต ฤทธิ์จรูญ
การพัฒนารูปแบบการสร้างพลังอำนาจเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการทำวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ, ฐิติมาวดี เจริญรัชต์, ปทีป เมธาคุณวุฒิ, พิชิต ฤทธิ์จรูญ
Journal of Education Studies
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ และพัฒนารูปแบบการสร้างพลังอำนาจเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการทำวิจัย รวมทั้งติดตามผลการใช้รูปแบบ ผลวิจัยพบว่ามหาวิทยาลัยมีนโยบายสนับสนุนให้อาจารย์ทำการวิจัย อาจารย์ต้องการทำวิจัยเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ แต่มีปัญหาด้านความรู้ ทักษะการทำวิจัยและเกิดภาวะไร้พลัง รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย พลังอำนาจในตนเอง โดยการสนับสนุนจากองค์กรและองค์กรภายนอก และการพัฒนาศักยภาพการทำวิจัย วิธีการพัฒนาสภาพพลังอำนาจ ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ภาวะไร้พลัง การค้นหาเทคนิคสร้างพลังในตนเอง หลังการใช้รูปแบบอาจารย์มีพลังอำนาจและศักยภาพในการทำวิจัยเพิ่มขึ้น และสามารถเขียนโครงการวิจัยได้ในระดับดี
การประเมินและติดตามผลหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๘) สาขามัธยมศึกษา วิชาเอกภาษาไทย, กมลพร บัณฑิตยานนท์, วิภาวรรณ วงษ์สุวรรณ์ คงเผ่า
การประเมินและติดตามผลหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๘) สาขามัธยมศึกษา วิชาเอกภาษาไทย, กมลพร บัณฑิตยานนท์, วิภาวรรณ วงษ์สุวรรณ์ คงเผ่า
Journal of Education Studies
การประเมินและติดตามผลหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต(หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๘)สาขามัธยมศึกษา วิชาเอกภาษาไทยมีจุดประสงค์ เพื่อสำรวจความคิดเห็นของบัณฑิตคณะครุศาสตร์สาขามัธยมศึกษา วิชาเอกภาษาไทยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ และคุณลักษณะของบัณฑิตที่ได้จากการเรียนตัวอย่างประชากรเป็นบัณฑิตคณะครุศาสตร์ สาขามัธยมศึกษาวิชาเอกภาษาไทยที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๔๑ และ ๒๕๔๒ จำนวน ๑๓ คน และ ๑๐ คนตามลำดับรวม ๒๓ คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละค่ามัชฌิมเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลประเมินสรุปดังนี้ ๑) ด้านการจัดการเรียนการสอนเหมาะสมในระดับมาก ได้แก่ ให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองเป็นครูที่มีประสิทธิภาพและมีความรู้วิชาการตามลำดับ ส่วนในระดับน้อย ได้แก่ ความรู้วิชาชีพครูด้านวิเคราะห์แบบเรียน ๒) ด้านปัญหาของหลักสูตร อยู่ในระดับน้อย มีเพียงปัญหาด้านผู้สอนที่อยู่ในระดับมากคือการสอนแบบบรรยาย และที่อยู่ในระดับน้อยที่สุดคือการแนะนำวิชาและบอกข้อตกลงก่อนเริ่มสอน ๓) ด้านการนำเนื้อหาภาษาไทยไปใช้อยู่ในระดับมาก ส่วนในระดับน้อย คือ ภาษาถิ่น คำราชาศัพท์ และวรรณคดีมรดกและวรรณกรรมปัจจุบันในด้านประวัติผู้แต่ง ส่วนด้านการนำทักษะไปใช้อยู่ในระดับมากทุกทักษะ ได้แก่ ทักษะ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ตามลำดับ และในระดับน้อย คือ โต้วาที ขับร้องเพลงไทยเดิมและเพลงปฏิพากย์ อ่านและเขียนบทละคร เขียนโฆษณาจูงใจ ปลุกใจ ประกาศ จดหมาย โดยระดับน้อยที่สุดคือเขียนเรื่องสั้น๔) ด้านคุณลักษณะบัณฑิต ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนในระดับน้อยคือความสามารถในการทำวิจัย