Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Medicine and Health Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

2016

Chulalongkorn University

ความเครียด

Articles 1 - 4 of 4

Full-Text Articles in Medicine and Health Sciences

ความเครียดและพฤติกรรมการจัดการความเครียดของผู้ประกันตนกรณีว่างงานของสำนักงานประกันสังคมในกรุงเทพมหานคร, พัตราพร ปัญญายงค์, ศิริลักษณ์ ศุภปีติพร Nov 2016

ความเครียดและพฤติกรรมการจัดการความเครียดของผู้ประกันตนกรณีว่างงานของสำนักงานประกันสังคมในกรุงเทพมหานคร, พัตราพร ปัญญายงค์, ศิริลักษณ์ ศุภปีติพร

Chulalongkorn Medical Journal

เหตุผลของการทำวิจัย : ผู้ว่างงานย่อมเผชิญกับสภาวะความเครียด ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดรายได้หลักที่เคยได้รับอย่างต่อเนื่องทุก ๆ เดือน รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผู้ว่างงานต้องรับภาระและความกดดันจากสังคมรอบข้าง และจากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา ผู้วิจัยพบว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับความเครียดและพฤติกรรมการจัดการความเครียดของผู้ประกันตนกรณีว่างงานค่อนข้างน้อยวัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาระดับและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และพฤติกรรมการจัดการความเครียดของผู้ประกันตนกรณีว่างงานของสำนักงานประกันสังคมในกรุงเทพมหานครรูปแบบการวิจัย : การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาศึกษา ณ เวลาใดเวลาหนึ่งสถานที่ทำการศึกษา : สำนักงานจัดหางานในกรุงเทพมหานครจำนวน 3 แห่งตัวอย่างและวิธีการศึกษา : ศึกษาจากผู้ประกันตนที่มาขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานของสำนักงานประกันสังคมในกรุงเทพมหานคร จำนวน 225 คนโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเอง และแบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการความเครียดวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test,One-way ANOVA และทำนายปัจจัยโดยใช้ stepwise multipleregression analysisผลการศึกษา : พบว่าประมาณร้อยละ 57 ของผู้ประกันตนกรณีว่างงานมีระดับความเครียดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 23 มีความเครียดต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 15 มีความเครียดสูงกว่าปกติเล็กน้อยและร้อยละ 3.1มีความเครียดสูงกว่าปกติมาก ซึ่งพบว่าเพศหญิงมีระดับความเครียดสูงกว่าเพศชายอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ในส่วนของพฤติกรรมการจัดการความเครียดพบว่าผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการจัดการความเครียดระดับปานกลาง (ร้อยละ 85.8)ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการจัดการความเครียด ได้แก่ เพศอายุ ระดับการศึกษา รายได้ก่อนว่างงาน และการสูบบุหรี่ โดยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเพศหญิง, ผู้ที่มีอายุน้อย, ผู้ที่มีระดับการศึกษาปริญญาตรี, ผู้ที่มีรายได้ก่อนว่างงานสูงกว่า 25,000 บาท และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มีพฤติกรรมการจัดการความ เครียดที่ดีกว่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ในปัจจัยเดียวกันสรุปผลการวิจัย : ผู้ประกันตนกรณีว่างงานส่วนใหญ่ มีระดับความเครียดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีพฤติกรรมการจัดการความเครียดระดับปานกลางเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกันตนที่มาขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานที่สำนักจัดหางาน ซึ่งยังว่างงานมาไม่นานนัก (อยู่ในระหว่าง1 เดือนถึง 6 เดือน) และยังมีรายได้จากสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานหรือเลิกจ้าง ส่วนปัจจัยทำนายพฤติกรรมการจัดการความเครียดได้แก่ รายได้ก่อนว่างงานอายุและเพศ.


ความเครียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของนิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นภัสกร ขันธควร, ธีรยุทธ รุ่งนิรันดร Jul 2016

ความเครียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของนิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นภัสกร ขันธควร, ธีรยุทธ รุ่งนิรันดร

Chulalongkorn Medical Journal

เหตุผลของการทำวิจัย : การศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะมีการเรียนและการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากระดับมัธยมศึกษาอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น ทั้งนี้หากนิสิตนักศึกษาเกิดความเครียดอย่างผิดปกติ ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ ด้านวัตถุประสงค์ของการวิจัย : เพื่อศึกษาระดับความเครียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียดของนิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรูปแบบการวิจัย : การวิจัยเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งสถานที่ในการวิจัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้ง 19 คณะตัวอย่างและวิธีการศึกษา : กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรีจาก 19 คณะปีการศึกษา 2558 โดยทำการสุ่มอย่างง่ายในทุกคณะ รวมจำนวนทั้งสิ้น 418 คน โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล, แบบสอบถามแหล่งความเครียด และแบบประเมินความเครียดสวนปรุง (ฉบับปรับปรุง) โดยเสนอค่าความเครียดเป็นค่าเฉลี่ย,ค่าสัดส่วน และร้อยละ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้การทดสอบไคสแควร์แล้วทำการวิเคราะห์ความถดถอยแบบลอจิสติกเพื่อหาปัจจัยทำนายความเครียดในระดับสูงถึงรุนแรงผลการศึกษา : พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดโดยรวมของนิสิต ทั้งหมดเท่ากับ48.2 (SD = 27.2, Min = 0, Max = 132) โดยนิสิตส่วนใหญ่มีความเครียดอยู่ในระดับรุนแรง (ร้อยละ 32.1) ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำนายความเครียดในระดับสูงถึงรุนแรงของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การที่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้อย่างชัดเจน (OR = 2.00, 95%C.I.= 1.26 – 3.18, P = 0.003), การที่มีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ(OR=1.47, 95% C.I.= 1.48 - 3.39, P = <0.001), และการมีความขัดแย้งกับคนในครอบครัว (OR = 12.74, 95% C.I.= 1.65 –98.53, P = 0.015)สรุปผลการศึกษา : นิสิตส่วนใหญ่มีความเครียดระดับสูงถึงรุนแรง โดยปัจจัยที่ทำนายความเครียดในระดับสูงถึงรุนแรง ได้แก่ การไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้อย่างชัดเจน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการมีความขัดแย้งกับคนในครอบครัว.


ความเครียด และปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังณ แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ณัฐพงศ์ เป็นลาภ, ธีรยุทธ รุ่งนิรันดร Jul 2016

ความเครียด และปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังณ แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ณัฐพงศ์ เป็นลาภ, ธีรยุทธ รุ่งนิรันดร

Chulalongkorn Medical Journal

เหตุผลของการทำวิจัย : โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่พบได้ทั่วโลก ซึ่งการเจ็บป่วยในโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยไม่เพียงแต่ ทำให้ผู้ป่วยต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยทั้งทางด้านร่างกายหรือทางจิตใจ แต่ยังมีผลกระทบทางลบไปยังสมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะผู้ดูแลผู้ป่วยด้วยวัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาความเครียด และปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ณ แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์รูปแบบการวิจัย : การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งสถานที่ทำการศึกษา : แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานครตัวอย่างและวิธีการศึกษา : ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มารับบริการตรวจรักษาแผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ณ แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมทั้งสิ้น107 ราย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วย, แบบวัดความเครียดของผู้ดูแลและแบบประเมินการสนับสนุนทางสังคมผลการศึกษา : ผลการศึกษาพบว่าผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโดยมีความเครียดร้อยละ44.9 ปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับความเครียดแบ่งออกเป็นปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วย ได้แก่ โรคประจำตัวอื่น ๆ นอกจากโรคไตเรื้อรังการรักษาที่ได้รับของผู้ป่วย จำนวนยาที่รับประทาน และปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ดูแลผู้ป่วย ได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ โรคประจำตัวของผู้ดูแล สถานภาพสมรส จำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วย อายุของผู้ดูแล และการสนับสนุนทางสังคม โดยมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P < 0.05 และปัจจัยที่สามารถทำนายความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ได้แก่การมีโรคประจำตัวอื่น ๆ นอกจากโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วย การรักษาโดยการล้างไตหรือผ่าตัดเปลี่ยนไต ร่วมกับการทานยา และความไม่เพียงพอของรายได้สรุปผลการศึกษา : ผลการศึกษาวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ในการเป็นแนวทางให้ทุกภาคส่วนได้เห็นความสำคัญของผู้ดูแล เพื่อให้ผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถลดความเครียดที่เกิดขึ้น.


ความเครียดของนักศึกษาซึ่งศึกษา ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา, เชิงชาย ถาวรยุธร, รัศมน กัลยาศิริ Jan 2016

ความเครียดของนักศึกษาซึ่งศึกษา ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา, เชิงชาย ถาวรยุธร, รัศมน กัลยาศิริ

Chulalongkorn Medical Journal

เหตุผลของการทำวิจัย : ในปีพ.ศ. 2551 ได้มีการศึกษาความเครียดของนักศึกษาซึ่งศึกษากฎหมาย ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา พบว่านักศึกษาร้อยละ 58.7 มีความเครียดในระดับสูงถึงรุนแรง เวลาและสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้พบความเครียดที่แตกต่างไปจากเดิมวัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาความเครียดของนักศึกษาซึ่งศึกษา ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ในปีพ.ศ. 2557รูปแบบการวิจัย : การศึกษาวิจัยเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งสถานที่ทำการศึกษา : สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาตัวอย่างและวิธีการศึกษา : เก็บรวบรวมข้อมูลจาก นักศึกษาซึ่งศึกษา ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จำนวน 435 คน โดยใช้แบบสอบถามแบบตอบด้วยตนเอง ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐาน 2) แบบทดสอบความเครียดสวนปรุงชุด 20 ข้อ 3) แบบสอบถามวิธีจัดการความเครียดของนักศึกษาซึ่งศึกษา ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาผลการศึกษา : พบว่ากลุ่มตัวอย่างจำนวนร้อยละ 41.6 มีความเครียดในระดับสูงและร้อยละ 14.3 มีความเครียดในระดับรุนแรง โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ได้แก่ โรคทางกาย ที่มาของรายได้หลัก ความเพียงพอของรายได้ การมีรายได้เหลือเก็บ การมีหนี้สิน สถานภาพสมรส และการใช้พฤติกรรมเชิงลบเพื่อจัดการความเครียด โดยพบว่าปัจจัยที่ทำนายความเครียดของนักศึกษา ได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ปัญหาสุขภาพ และสถานภาพสมรสสรุป : นักศึกษาซึ่งศึกษา ณ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภามีความเครียดในระดับสูงถึงรุนแรง รวมกันเกินกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เข้าร่วมการวิจัย คิดเป็นจำนวนร้อยละ 55.9 โดยสัดส่วน ผู้ที่มีความเครียดสูงและรุนแรงลดลงเล็กน้อยกว่าปีพ.ศ. 2551 ปัจจัยที่ทำนายความเครียด ได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ ปัญหาสุขภาพและสถานภาพสมรส.