Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Medicine and Health Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Articles 1 - 30 of 379

Full-Text Articles in Medicine and Health Sciences

Innovation Of Gonadotropin Releasing Hormone (Gnrh)-Modified Nanocarrier Delivered To Induce Testicular And Mammary Cell Apoptosis, Chatwalee Boonthum Jan 2018

Innovation Of Gonadotropin Releasing Hormone (Gnrh)-Modified Nanocarrier Delivered To Induce Testicular And Mammary Cell Apoptosis, Chatwalee Boonthum

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The main overall goal of this study is to investigate the application of modified chitosan as a potential vector for apoptotic gene delivery to gonadotropin-releasing hormone receptor (GnRHR)-expressing cells (i.e. testicular cells and mammary cancer cells). This study reported Gonadotropin Releasing Hormone-modified Chitosan (GnRH-CS) nanoparticle as a promising vector for targeted gene delivery, and a GnRH peptide was used for active targeting of a transgene in GnRHR expressing cells. The physiological characterizations of the prepared nanoparticle were investigated by proton nuclear magnetic resonance spectroscopy (1H NMR), Attenuated total reflectance Fourier transform infrared spectroscopy (ATR-FTIR) and Nanosizer. The prepared GnRH-CS was …


ปัจจัยพยากรณ์ของการกลับเป็นซ้ำในมะเร็งปอดชนิดอะดีโนระยะต้นที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหมด, นุสรา ลีลเดชกุล Jan 2018

ปัจจัยพยากรณ์ของการกลับเป็นซ้ำในมะเร็งปอดชนิดอะดีโนระยะต้นที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหมด, นุสรา ลีลเดชกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มา: ผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดอะดีโนที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหมดจัดว่าเป็นกลุ่มที่มีการพยากรณ์โรคที่ดี แต่อย่างไรก็ตามพบว่ามีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 30 ที่ยังพบการกลับเป็นซ้ำของโรค วัตถุประสงค์: ศึกษาปัจจัยทางคลินิก,พยาธิวิทยา และโมเลกุลพันธุกรรม เพื่อหาปัจจัยพยากรณ์ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสการกลับเป็นซ้ำของโรคมะเร็งในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว วิธีการศึกษา: ศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดอะดีโนที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง หลังได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหมด ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2552 ถึง 31 ธันวาคม พศ.2559 จำนวน 220 คน โดยตัวชี้วัดปฐมภูมิในการศึกษานี้คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางคลินิก และลักษณะทางพยาธิวิทยากับโอกาสปลอดโรค ซึ่งใช้การวิเคราะห์ด้วยสถิติถดถอยทั้งแบบตัวแปรเดียวและแบบหลายตัวแปร ผลการศึกษา: หลังจากติดตามผู้ป่วยเป็นเวลาเฉลี่ย 4 ปี พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงร้อยละ 61.8, ไม่มีประวัติสูบบุหรี่ร้อยละ 67.7, เป็นโรคระยะที่1 ร้อยละ 85.5, พบการกลายพันธุ์ของยีนอีจีเอฟอาร์รีเซปเตอร์ร้อยละ 52.4 และพบผู้ป่วยมีการกลับเป็นซ้ำของโรคทั้งหมด 60 รายจาก 220 รายคิดเป็นร้อยละ 27.3 จากผลการวิเคราะห์ทางสถิติถดถอยแบบหลายตัวแปร พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสปลอดโรคอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ขนาดของก้อนมะเร็งตั้งแต่ 4 เซนติเมตรขึ้นไป, การพบการลุกลามของมะเร็งไปยังเยื่อหุ้มปอดด้านใน, การพบการตายของเซลล์มะเร็งในก้อนมะเร็ง และระยะห่างจากก้อนมะเร็งมายังหลอดลมที่น้อยกว่า 2 เซนติเมตร สรุปผลการศึกษา: ขนาดของก้อนมะเร็งตั้งแต่ 4 เซนติเมตรขึ้นไป, การพบการลุกลามของมะเร็งไปยังเยื่อหุ้มปอดด้านใน, การพบการตายของเซลล์มะเร็งในก้อนมะเร็ง และระยะห่างจากก้อนมะเร็งมายังหลอดลมที่น้อยกว่า 2 เซนติเมตร เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการพยากรณ์การกลับเป็นซ้ำของโรคอย่างมีนัยสำคัญ ในผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดอะดีโนที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหลังได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหมด ทั้งนี้การพบกลายพันธุ์ของยีนอีจีเอฟอาร์รีเซปเตอร์ไม่พบว่าเป็นปัจจัยพยากรณ์การกลับเป็นซ้ำของโรคอย่างมีนัยสำคัญในการศึกษานี้


การศึกษาความชุก ลักษณะทางคลินิคและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษในผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว, วีรภัทร โฆษิตานุฤทธิ์ Jan 2018

การศึกษาความชุก ลักษณะทางคลินิคและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษในผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว, วีรภัทร โฆษิตานุฤทธิ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มาและความสำคัญ: ความชุกของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวและการฟื้นตัวของภาวะนี้ยังไม่เป็นที่ทราบดีในปัจจุบัน วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความชุกของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษและการฟื้นตัวของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวและเพื่อศึกษาหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษ ระเบียบวิธีวิจัย: ทำการศึกษาแบบทบทวนย้อนหลังในผู้ป่วย 90 คนที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวและมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษระหว่างปีพ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2560 ทำการคัดผู้ป่วย 26 คนออกจากการศึกษาเนื่องจากมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (2 คน) ลิ้นหัวใจเอออติกตีบรุนแรง (1 คน) ลิ้นหัวใจไมตรัลตีบหรือรั่วรุนแรง (4 คน) หลอดเลือดหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด (1 คน) และไม่มีผลการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจขณะนอนโรงพยาบาล (18 คน) ได้ผู้ป่วยเข้าสู่การศึกษาทั้งหมด 64 คน โดยกำหนดนิยามดังนี้ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษ คือ มีการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่างน้อยกว่าร้อยละ 55 การฟื้นตัวของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษโดยสมบูรณ์ คือ มีการฟื้นตัวของการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่างมากกว่าร้อยละ 55 และการฟื้นตัวของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษบางส่วน คือ มีการฟื้นตัวของการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่างเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 แต่การบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่างยังน้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 55 ผลการศึกษา: ผู้ป่วย 64 คน มีผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายลดลง (Heart failure with reduced ejection fraction; HFrEF) คิดเป็นร้อยละ 19 และมีผู้ป่วยที่มีภาวะภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษ 33 คน คิดเป็นร้อยละ 0.9 ของผู้ป่วยทั้งหมดที่มานอนโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว โดยมีค่าเฉลี่ยของอายุอยู่ที่ 46 + 15 ปี เป็นผู้หญิงร้อยละ 58 ในจำนวนผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษ 33 คน มีผู้ป่วย 14 คนที่มีผลการตรวจติดตามคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหลังการรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษ และมีผู้ป่วย 7 คนคิดเป็นร้อยละ 57 ที่มีการฟื้นตัวของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งผู้ป่วย 7 คนมีการฟื้นตัวของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษโดยสมบูรณ์ และ 1 คนมีการฟื้นตัวของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษบางส่วน จากการวิเคราะห์หาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษพบว่าระดับฮีโมโกลบิน ระดับเม็ดเลือดขาว และระดับครีเอตินีนที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติจากไทรอยด์เป็นพิษโดยสมบูรณ์ โดยมีค่าอัตราส่วนปัจจัยเสี่ยงเป็น 1.35 ระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 เป็น 1.01-1.79; …


Delay In Health Seeking Behavior Among Tb Patients In Chiang Rai Province, Thailand, Yotsanon Sikkhajan Jan 2018

Delay In Health Seeking Behavior Among Tb Patients In Chiang Rai Province, Thailand, Yotsanon Sikkhajan

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The aim of this study was to determine the pattern of health seeking behavior and factors associated with delay in health seeking behavior among tuberculosis patients in border hospitals, Chiang Rai province, Thailand. A cross-sectional study was conducted in four biggest border hospitals in Chiang Rai province, Thailand during May to July 2018 among 103 identified tuberculosis cases. Data was collected by a structured questionnaire on patients' general characteristics, HIV status, distance from health service, health seeking treatment with onset symptoms, and patient delay. Collected data was analyzed in SPSS 22. Both descriptive and inferential statistics was employed in data …


Neurodevelopmental And Neurobehavioral Outcomes In Early Antiretroviral Treated Young Children With Perinatally-Acquired Hiv Infection (Phiv) Compared To Age-Matched Perinatally Hiv-Exposed Uninfected Children (Pheu), Watsamon Jantarabenjakul Jan 2018

Neurodevelopmental And Neurobehavioral Outcomes In Early Antiretroviral Treated Young Children With Perinatally-Acquired Hiv Infection (Phiv) Compared To Age-Matched Perinatally Hiv-Exposed Uninfected Children (Pheu), Watsamon Jantarabenjakul

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Introduction: Although early initiation of antiretroviral therapy (ART) in perinatally HIV infected (PHIV) infants significantly reduces morbidity and mortality, neurodevelopmental and neurobehavioral problems are still issues of concern. Objectives: This study aims primarily to compare neurodevelopmental outcomes and neurobehavioral outcomes between PHIV children who initiated ART within 12 months of life and perinatally HIV-exposed uninfected (PHEU) children. The secondary aims are to assess the outcomes by timing of ART initiation and to delineate factors and predictors associated with neurodevelopmental and neurobehavioral outcomes. Methods: This study was a prospective observational study which enrolled PHIV and PHEU children aged 12-56 months. Neurodevelopmental …


The Role Of Hpv16 E1 In Cervical Carcinogenesis, Fern Baedyananda Jan 2018

The Role Of Hpv16 E1 In Cervical Carcinogenesis, Fern Baedyananda

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Objectives: This study aimed to determine the expression profile of HPV-16 E1 in cervical samples and the role of E1 in cervical carcinogenesis. In addition, this work also aimed to determine whether the HPV-16 E1 63bp duplication is present in the Thai population.
Methods: One-hundred and twenty-four HPV16 positive cervical samples ranging from normal, CIN1, CIN2/3, and SCC lesions were studied. E1 mRNA expression was determined by ddPCR. Methylation of promoters p97 and p670 was quantified by pyrosequencing, while PCR and sequencing were used to determine the physical state and variations of HPV16 E1 genome. HEK 293T cells were transfected …


Characterization Of Leptospiral Extracellular Vesicles In Stress Conditions, Eakalak Phanchamnan Jan 2018

Characterization Of Leptospiral Extracellular Vesicles In Stress Conditions, Eakalak Phanchamnan

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Pathogenic Leptospira spp. is a causative agent of leptospirosis, a worldwide zoonosis with public health concern especially in the urban slum of metropolis and rural areas in tropical and subtropical countries. The pathogenesis of leptospirosis remains elusive. Extracellular vesicles (ECVs), which pinch off from the bacterial membranes, simultaneously harbor multiple active molecules that may serve as a secretion system, communication tool, and vaccine candidates. Recently, chemically induced leptospiral ECVs were studied and used as vaccine candidates. However, the naturally produced leptospiral ECVs has not been characterized. This study aimed to identify proteins in leptospiral ECVs produced under stress conditions including …


Antilithogenic Efficacy Of An Innovative Beverage Hydrozitla: In Vitro And In Vivo Studies, Nalinthip Lordumrongkiat Jan 2018

Antilithogenic Efficacy Of An Innovative Beverage Hydrozitla: In Vitro And In Vivo Studies, Nalinthip Lordumrongkiat

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Urinary stone disease is a common urologic disease worldwide, and it is highly recurrent. Calcium oxalate (CaOx) stone is the most common type of urinary stones. The main causes of urinary stone formation include inadequate water intake, low urinary citrate excretion and increased oxidative stress. At the present day, potassium citrate is a drug of choice for preventing stone formation and recurrence. We developed a new regimen for preventing urinary stone formation, called HydroZitLa. It was in a form of concentrate in pouch. For consumption, water was added up to 500 mL and shake well before drink. Therefore, drinking of …


Anticancer Effects Of Mansonone G Derivative On Human Colorectal Cancer Cells, Savinee Chanvijit Jan 2018

Anticancer Effects Of Mansonone G Derivative On Human Colorectal Cancer Cells, Savinee Chanvijit

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Mansonone G (MG), 1,2-naphthoquinone, isolated from the heartwood of Mansonia gagei Drumm (Chan-Cha-Mod), exhibited several pharmacological effects including anti-bacterial, anti-estrogenic and anti-adipogenic effects. However, anticancer activity of MG and its derivatives on colorectal cancer (CRC) has never been investigated. Therefore, the objective of this study was to investigate the cytotoxic effect of MG and its derivatives and to determine the mechanism(s) underlying cytotoxicity of the most potent MG derivative on two CRC cell lines, HCT-116 cells carrying p53 wild-type and HT-29 cells carrying p53 mutant. In the present study, MG and its derivatives could inhibit viability of HCT-116 and HT-29 …


การส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทย, ณัฐพันธุ์ อุไรลักษมี Jan 2018

การส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทย, ณัฐพันธุ์ อุไรลักษมี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่อง การส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทย มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการส่งเสริมการตลาดกับการตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือผู้ที่เข้าร่วมแข่งขันในรายการวิ่งมาราธอนในประเทศไทยทั้งเพศชายและหญิง จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือซึ่งมีค่า ดัชนีควาสอดคล้องเท่ากับ 0.98 และมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.88 และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า ระดับความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนเกี่ยวกับการส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทย โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการขายโดยใช้บุคคล ด้านการโฆษณา และด้านการส่งเสริมการขาย มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การส่งเสริมการตลาดสามารถพยากรณ์การตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทยได้ร้อยละ 22.1 ค่าสหสัมพันธ์พหุคูณ (R) มีค่าเท่ากับ 0.470 โดยการส่งเสริมการตลาดรายด้านที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันของนักวิ่งมาราธอนในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ประกอบด้วย ด้านการขายโดยใช้บุคคล ด้านการโฆษณา และด้านการประชาสัมพันธ์


Knowledge, Attitude And Health Care Practices For Gender-Based Violence Cases In Yangon, Myanmar, Aye Nyein Ei Jan 2018

Knowledge, Attitude And Health Care Practices For Gender-Based Violence Cases In Yangon, Myanmar, Aye Nyein Ei

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Gender-based violence has negative impact on physical, psychological and social wellbeing of the survivor. The initial response can lessen the magnitude of the effect and thus the health care sector's readiness to response GBV cases is important. Hence, a study to explore the knowledge, attitude and practice level regarding GBV response among health care personnel was conducted. A cross-sectional study was conducted in 48 public hospitals in Yangon, Myanmar during April and May 2019 involving 398 health care personnel (doctors and nurses). The measurement tool is self-administered structured questionnaires for demographic assessment, knowledge, attitude, supportive environmental factors and practice. Analysis …


การเปรียบเทียบอัตราเสียชีวิตในโรงพยาบาลระหว่างผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียกที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วมและไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วมที่ได้รับการรักษาโดยวิธีการฉีดสีและถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยการใช้บอลลูนหรือขดลวดในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, สุเมธ ปรีชาวุฒิเดช Jan 2018

การเปรียบเทียบอัตราเสียชีวิตในโรงพยาบาลระหว่างผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียกที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วมและไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วมที่ได้รับการรักษาโดยวิธีการฉีดสีและถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยการใช้บอลลูนหรือขดลวดในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, สุเมธ ปรีชาวุฒิเดช

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มา: ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียก ถ้ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วม จะมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี มีภาวะแทรกซ้อนทางด้านการไหลเวียนโลหิตและระบบไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลต่อภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่ของการศึกษาก่อนหน้านี้ได้รับการรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำและยังจำกัดการศึกษาในประชากรผิวขาว วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบอัตราเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียกซึ่งมีและไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วมในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการฉีดสีและถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยการใช้บอลลูนขดลวด วิธีการศึกษา: เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียกที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการฉีดสีและถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยการใช้บอลลูนขดลวดในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่ 1 มกราคม 2550 - 31 ธันวาคม 2559 ผลการศึกษา: ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียกที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการฉีดสีและถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยการใช้บอลลูนขดลวดจำนวน 452 ราย มีผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดร่วมจำนวน 99 ราย อัตราเสียชีวิตในโรงพยาบาลเท่ากับร้อยละ 23.2 สาเหตุหลักมาจากการเกิดภาวะหัวใจช็อค เทียบกับร้อยละ 5.1 ในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือด (ค่าพีน้อยกว่า 0.001) ผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดมีอุบัติการณ์ของการเกิดภาวะหัวใจช็อคมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (ร้อยละ 48.5 เทียบกับร้อยละ 15.6, ค่าพีน้อยกว่า 0.001) สัดส่วนการบีบตัวของหัวใจเวนตริเคิลซ้ายน้อยกว่า (ร้อยละ 51.15 ± 17.27 เทียบกับร้อยละ 55.79 ± 12.46, ค่าพี 0.037) ภาวะการนำกระแสไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติชนิดเอวีบล็อคสมบูรณ์ (ร้อยละ 33.3 เทียบกับร้อยละ 11.9 ค่าพีน้อยกว่า 0.001) และภาวะชนิดวีที (ร้อยละ 15.2 เทียบกับร้อยละ 5.9 ค่าพี 0.003) หลังจากนำตัวแปรอายุ เพศหญิง ภาวะหัวใจช็อค สัดส่วนการบีบตัวของหัวใจเวนตริเคิลซ้าย ภาวะชนิดวีที และภาวะการนำกระแสไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติชนิดเอวีบล็อคสมบูรณ์มาปรับ พบว่าภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวทำนายที่ไม่ดีสำหรับการตายในโรงพยาบาล (อัตราส่วนความเสี่ยงอันตรายที่ปรับแล้ว 1.96 ช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95, 0.73 ถึง 5.23 ค่าพี 0.18) อย่างไรก็ตามมันเป็นตัวทำนายอิสระที่สำคัญสำหรับการตายที่ 1 ปี (อัตราส่วนความเสี่ยงอันตรายที่ปรับแล้ว 2.12 ช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95, 1.03 ถึง 4.36 ค่าพี 0.041) สรุปผล: ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อผนังหัวใจช่วงล่างของเวนตริเคิลซ้ายขาดเลือดชนิดเอสทียกซึ่งได้รับการรักษาโดยวิธีการฉีดสีและถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยการใช้บอลลูนขดลวด และมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดมีอัตราตายในโรงพยาบาลสูงกว่าเมื่อเทียบกับที่ไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือด และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือดมีแนวโน้มที่จะส่งผลที่ไม่ดีเกิดขึ้นตามมามากกว่าเมื่อเทียบกับไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเวนตริเคิลขวาขาดเลือด


The Role Of Cytokine Response Signatures In The Pathogenesis Of Leptospirosis Associated Acute Kidney Injury, Nattachai Srisawat Jan 2018

The Role Of Cytokine Response Signatures In The Pathogenesis Of Leptospirosis Associated Acute Kidney Injury, Nattachai Srisawat

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Background: Acute Kidney Injury (AKI) is one of the most serious complications of leptospirosis, an important zoonosis in the tropics. Host pathogen interaction is one of the potential key factor in development of leptospirosis associated AKI. In this multicenter study, we aimed to study the association of cytokines, leptospiral burden, and anti-leptospira antibody and AKI in leptospirosis. Method: In the first cohort, patients who presented with clinical suspiciousness of leptospirosis were prospectively enrolled in 9 centers from August 2012 to November 2014. In the second cohort, we prospectively recruited patients from 15 centers from February 2016 to July 2017. The …


Study Of Megakaryocytes And Platelets In Bernard Soulier Syndrome Using Patient Induced Pluripotent Stem Cells, Ponthip Mekchay Jan 2018

Study Of Megakaryocytes And Platelets In Bernard Soulier Syndrome Using Patient Induced Pluripotent Stem Cells, Ponthip Mekchay

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Bernard-Soulier syndrome (BSS) is a hereditary macrothrombocytopenia caused by defects in GPIb-IX-V complex. The mechanism of large platelet formation remains unclear. Currently, megakaryocytes (MKs) can be generated from induced pluripotent stem cells (iPSCs) to study platelet production under pharmacologic or genetic manipulations. In this study, we generated iPSC lines from 2 patients with mutations in different genes (GP1BA and GP1BB: termed BSS-A and BSS-B, respectively), iPSCs were then differentiated into MKs and platelets. In vitro iPSCs-derived platelets were stained for circumferential tubulin and measured the diameters (N = 500 per condition). BSS-iPSCs produced abnormal proplatelets with thick shafts and tips, …


Effect Of Cyclic Tensile Force On The Expression Of Bone Morphogenetic Protein 9 And Interleukin 6 In Human Periodontal Ligament Cells, Yanee Tantilertanant Jan 2018

Effect Of Cyclic Tensile Force On The Expression Of Bone Morphogenetic Protein 9 And Interleukin 6 In Human Periodontal Ligament Cells, Yanee Tantilertanant

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Periodontium is a specialized tissue laying between tooth and surrounding bone. It functions as force cushion. In particular stimulation including mechanical force, periodontal ligament (PDL) cells which are mechanosensitive cells have the ability to secrete specific cytokines and proteins. PDL cells also have the potential to differentiate into osteoblast-like cells or fibroblast-like cells. PDL cells perceive combination of force in oral cavity in which major component is cyclic tensile force (CTF). CTF play an essential role in modulating PDL cells to maintain both hard and soft tissue integrity. Here, we demonstrated that CTF was able to stimulate the expression of …


ผลของการผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศในท่าแบกน้ำหนักกระโดด ที่มีต่อความสามารถในการกระโดดในนักกีฬาบาสเกตบอลชาย, วสุพล มาเพ็ง Jan 2018

ผลของการผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศในท่าแบกน้ำหนักกระโดด ที่มีต่อความสามารถในการกระโดดในนักกีฬาบาสเกตบอลชาย, วสุพล มาเพ็ง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ : การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศ กับการฝึกด้วยน้ำหนักในท่าแบกน้ำหนักกระโดด ที่มีต่อความสามารถในการกระโดดในนักกีฬาบาสเกตบอลชาย วิธีดำเนินการวิจัย : กลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลชาย อายุ 18-25 ปี จำนวน 30 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม โดย กลุ่มทดลองที่ 1 ฝึกการผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศในท่าแบกน้ำหนักกระโดด ที่อัตราส่วนแรงต้านด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศ 50:50 และกลุ่มทดลองที่ 2 ฝึกด้วยน้ำหนักในท่าแบกน้ำหนักกระโดด ทั้ง 2 กลุ่มฝึก 2 วัน ต่อ สัปดาห์ ทั้งหมด 6 สัปดาห์ ทำการทดสอบความสามารถในการกระโดด ความเร็ว และความคล่องแคล่วว่องไว ก่อนและหลังได้รับการฝึก 6 สัปดาห์ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติ โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (Pair samples t-test) ก่อนและหลังการทดสอบภายในกลุ่ม และค่าที (Independent samples t-test) ก่อนและหลังการทดลองระหว่างกลุ่ม โดยทดสอบนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัย : 1. หลังการทดลอง 6 สัปดาห์ กลุ่มที่ฝึกด้วยการผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศ มีค่าพลังอดทน และความคล่องแคล่วว่องไว มากกว่ากลุ่มที่ฝึกด้วยน้ำหนักเพียงอย่างเดียว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และการกระโดดแนวดิ่ง การกระโดดไกล การก้าวกระโดดขาเดียวขาขวา การก้าวกระโดดขาเดียวขาซ้าย ความเร็ว และการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. หลังการทดลอง 6 สัปดาห์ กลุ่มที่ฝึกด้วยการผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศ มีค่าพลังอดทน การกระโดดแนวดิ่ง การกระโดดไกล การก้าวกระโดดขาเดียวขาขวา การก้าวกระโดดขาเดียวขาซ้าย ความเร็ว และความคล่องแคล่วว่องไว มากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลการวิจัย : การผสมผสานการฝึกด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศในท่าแบกน้ำหนักกระโดด ที่อัตราส่วนแรงต้านด้วยน้ำหนักและแรงดันอากาศ 50:50 …


การเปรียบเทียบการทำความสะอาดรอบท่อปัสสาวะระหว่างน้ำเกลือปกติและน้ำยาแซฟลอน ก่อนสวนปัสสาวะในการลดอุบัติการณ์ของแบคทีเรียในปัสสาวะหลังการคาสายสวน: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม, สาริน คหะแก้ว Jan 2018

การเปรียบเทียบการทำความสะอาดรอบท่อปัสสาวะระหว่างน้ำเกลือปกติและน้ำยาแซฟลอน ก่อนสวนปัสสาวะในการลดอุบัติการณ์ของแบคทีเรียในปัสสาวะหลังการคาสายสวน: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม, สาริน คหะแก้ว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์: การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนเป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่พบบ่อยซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทำให้ผู้ป่วยต้องรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมากขึ้น พบว่าการมีเชื้อแบคทีเรียอยู่บริเวณรอบท่อปัสสาวะมีความสัมพันธ์กับอุบัติการณ์ของการมีแบคทีเรียในปัสสาวะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการทำความสะอาดรอบท่อปัสสาวะก่อนคาสายสวน ระหว่างของน้ำเกลือปกติและน้ำยาฆ่าเชื้อแซฟลอน ในการลดอุบัติการณ์ของแบคทีเรียในปัสสาวะหลังการคาสายสวน ผู้ป่วยและวิธีวิจัย: การวิจัยเชิงทดลองไปข้างหน้าแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมเปรียบเทียบ ว่าน้ำเกลือปกติไม่ด้อยกว่าน้ำยาแซฟลอนในการลดอุบัติการณ์ของแบคทีเรียในปัสสาวะในวันที่ 5 หลังการคาสายสวน โดยถือว่าไม่ด้อยกว่าหากอุบัติการณ์แตกต่างกันไม่เกินร้อยละ 10 ทำในผู้ป่วยที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะใน 2 หอผู้ป่วยอายุรกรรมวิกฤต 2 หอผู้ป่วยศัลยกรรมประสาทวิกฤต 1 หอผู้ป่วยศัลยกรรมวิกฤต 4 หอผู้ป่วยอายุรกรรมทั่วไป 4 หอผู้ป่วยศัลยกรรมทั่วไป และห้องฉุกเฉิน ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2561 ถึงวันที่ 30 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2562 โดยผู้ป่วยจะได้น้ำเกลือปกติหรือน้ำยาแซฟลอนทำความสะอาดรอบท่อปัสสาวะก่อนคาสายสวน น้ำยาแต่ละชนิดจะถูกสุ่มให้ใช้ในแต่ละหอผู้ป่วยที่มีลักษณะผู้ป่วยเหมือนกันตั้งแต่เริ่มการศึกษา และหลังจากนั้นจะสลับกันทุก 3 เดือนจนครบกำหนดระยะเวลาการศึกษา ผู้ป่วยที่ได้รับการคาสายสวนจะได้รับการเก็บปัสสาวะเพาะเชื้อในวันที่ 1, 3, และ 5 ของการคาสายสวน ผลการวิจัย: จำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 508 ราย ถูกสุ่มให้อยู่ในกลุ่มน้ำเกลือปกติ 254 ราย และน้ำยาแซฟลอน 254 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 55.7 ได้รับการคาสายสวนที่ห้องฉุกเฉิน อุบัติการณ์ของแบคทีเรียในปัสสาวะในวันที่ 3 และ 5 หลังการคาสายสวนของผู้ป่วยทุกรายเท่ากับร้อยละ 3.5 และ 12 ตามลำดับ อัตราการติดเชื้อ 2.9 ครั้งต่อ 1000 วันใส่สายสวน ระยะเวลามัธยฐานของการคาสายสวนคือ 5 (IQR 4, 7) วัน ในวันที่ 5 หลังการคาสายสวนพบว่าอุบัติการณ์ของแบคทีเรียในปัสสาวะในกลุ่มที่ใช้น้ำเกลือปกติและน้ำยาแซฟลอนในการทำความสะอาด เท่ากับร้อยละ 10.6 และ 6.6 ตามลำดับ (ค่าเฉลี่ยของผลต่าง ร้อยละ 3.9; 95% confidence interval (CI) 0.3 to …


Low Vitamin D And Kidney Function Decline Among Hiv-Infected Adults In Thailand, Win Hlaing Than Jan 2018

Low Vitamin D And Kidney Function Decline Among Hiv-Infected Adults In Thailand, Win Hlaing Than

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Background: Each respective prevalence of hypovitaminosis D and Chronic Kidney Diseases (CKD) is high among Thai HIV-infected adults. Therefore, we examined the factors, including hypovitaminosis D, associated with kidney function decline among chronically treated HIV-infected Thai adults. Methods: We analyzed participants, who were on suppressive combination antiretroviral therapy (ART) from the HIV-NAT long-term cohort, with estimated Glomerular filtration rate(eGFR) measured at least twice a year. Baseline were defined as when participants had a serum 25 (OH)D measured, with eGFR (>60 ml/min/1.73m2 by CKD-EPI equations). The primary outcome was kidney function assessment in terms of eGFR decline. Results: A total …


The Influence Of Indoor Air Pollution Sources On Respiratory Health Of Occupants In Offices : A Cross-Sectional Study At Suan Sunandha Rajabhat University, Bangkok, Thailand, Thammarak Srimarut Jan 2018

The Influence Of Indoor Air Pollution Sources On Respiratory Health Of Occupants In Offices : A Cross-Sectional Study At Suan Sunandha Rajabhat University, Bangkok, Thailand, Thammarak Srimarut

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Background: Indoor air pollution contains several substances and can emanate from a range of sources. In particular importance might be substances known as volatile organic compounds and respirable particulates. The exposure to indoor air pollution can induce a wide range of acute and chronic respiratory health effects. The study's aims were to identify the effect of indoor air pollution sources and concentrations in offices on respiratory health of occupants and identify potential factors that may be related to respiratory health problems. Methods: Fourteen offices were measured the concentration of PM2.5 and TVOC at 1.20 meters high for 8 hours and …


Synbiotic Effects Of Jerusalem Artichoke (Helianthus Tuberosus) And Lactobacillus Rhamnosus-Supplemented Diet On Growth Performance, Immunological Parameters And Protection Against Aeromonas Veronii Challenge In Juvenile Red Tilapias (Oreochromis Spp.), Mariya Sewaka Jan 2018

Synbiotic Effects Of Jerusalem Artichoke (Helianthus Tuberosus) And Lactobacillus Rhamnosus-Supplemented Diet On Growth Performance, Immunological Parameters And Protection Against Aeromonas Veronii Challenge In Juvenile Red Tilapias (Oreochromis Spp.), Mariya Sewaka

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Synbiotics, a synergistic combination of probiotics and prebiotics, are now highlighted as one of the most practical nutritional supplements in red tilapia farms. The aim of the present study was to assess the effect of the dietary inclusion of Jerusalem artichoke, Lactobacillus rhamnosus, or their combination, on serum biochemical, growth performance, intestinal morphology, immune parameters, intestinal bacterial count and protection against Aeromonas veronii in juvenile red tilapia (Oreochromis spp.). One hundred and eighty male red tilapias (average body weight of 14.05±0.42 g) were distributed into six 1000-liter tanks containing water under continuous aeration and an average temperature of 25–28°C. Tilapias …


Efficacy And Safety Evaluations Of Topical Proretinal Nanoparticles, Benchaphorn Limcharoen Jan 2018

Efficacy And Safety Evaluations Of Topical Proretinal Nanoparticles, Benchaphorn Limcharoen

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Retinal (retinaldehyde) is one of natural vitamin A metabolites. It is widely used in clinical dermatology such as acne, acne scar, photoaging, wrinkles, psoriasis, skin neoplasia and seborrheic dermatitis. Retinal is a pivotal key to regulate keratinocyte proliferation and differentiation in the epidermis resulting in epidermal thickening and inhibit collagen destruction in the dermis. However, topical application of retinal is still irritative to the skin and chemically and photochemically unstable. Topically applied retinal can induce a retinoid dermatitis. This inflammation is induced by an overload of non-physiological amounts of exogenous retinoic acid in the skin. The adverse effects and physicochemical …


Appropriate Campylobacter Detection Method And Genetic Variation Of Campylobacter Jejuni In Broilers, Natnicha Phetsri Jan 2018

Appropriate Campylobacter Detection Method And Genetic Variation Of Campylobacter Jejuni In Broilers, Natnicha Phetsri

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Campylobacter has been known as an important cause of gastroenteritis in humans. The primary source is raw or undercooked poultry meat. Previous study showed that Campylobacter isolated from slaughterhouses were associated with Campylobacter isolated from broiler farms. Thus, detection of Campylobacter flock status and sorting flocks prior to slaughtering processes may help prevent Campylobacter contamination between Campylobacter-positive and negative flocks during slaughtering processes. Unfortunately, appropriate sample type and isolation method have not been clearly specified for Campylobacter detection at the farm level. Because Campylobacter are fastidious bacteria, improper detection method can attribute to false negative results. Therefore, the objectives of …


Genetic Characteristics Of Avian Influenza Viruses Isolated From Ducks In Java Island, Indonesia Year 2015-2017, Lestari - Jan 2018

Genetic Characteristics Of Avian Influenza Viruses Isolated From Ducks In Java Island, Indonesia Year 2015-2017, Lestari -

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Avian influenza becomes public health concern over years due to the serious impacts in both animal and human health. This study aimed to identify and characterize avian influenza viruses isolated from ducks in Java Indonesia during 2015-2017. Total 50 samples of previously identified as avian influenza viruses were acquired from the virus/culture collections of Disease Investigation Center (DIC) Wates Yogyakarta, Indonesia. The samples were recovered from either the avian influenza surveillance or avian influenza outbreaks in ducks in 3 provinces, East Java (n=26), Central Java (n=16), and Yogyakarta (n=8). Then the samples were processed for influenza A virus screening by …


ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์และความภักดีต่อสโมสรกีฬาอาชีพ กรณีของสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย, อลงกรณ์ กังวานณรงค์กุล Jan 2018

ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์และความภักดีต่อสโมสรกีฬาอาชีพ กรณีของสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย, อลงกรณ์ กังวานณรงค์กุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์และความภักดีต่อสโมสรฟุตบอลอาชีพของสมาชิกเฟซบุ๊คแฟนเพจสโมสรฟุตบอลในไทยลีก 1 และเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของสมาชิกเฟซบุ๊คแฟนเพจ และเพื่อศึกษาระดับความภักดีต่อสโมสรฟุตบอลในไทยลีก 1 วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ในลักษณะการเก็บข้อมูลแบบตัดขวาง (Cross-sectional Survey) โดยใช้แบบสอบถามปลายปิด (Close-ended Questionnaire) ในการเก็บข้อมูล ซึ่งแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ โดยกลุ่มตัวอย่างคือ สมาชิกเฟซบุ๊คแฟนเพจของสโมสรฟุตบอลในไทยลีก 1 ประจำฤดูกาล 2561 ทั้ง 18 สโมสร ผลที่ได้นำมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าสถิติพรรณนาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และสถิติอนุมานวิเคราะห์สมการถดถอย (Regression Analysis) ผลการวิจัย ความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อความภักดีต่อสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และสามารถอธิบายความแปรปรวนของความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อความภักดี ได้ที่ร้อยละ 75.2 โดยที่กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในสื่อสังคมออนไลน์ของสโมสรฟุตบอลในระดับมากที่สุด และมีระดับความภักดีต่อสโมสรฟุตบอลในระดับมากที่สุด สรุปผลการวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการใช้สื่อสังคมออนไลน์และความภักดีต่อสโมสรของสมาชิกเฟซบุ๊คแฟนเพจสโมสรฟุตบอลในไทยลีก 1 นั้นมีความสัมพันธ์กันเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยที่ระดับของความพึงพอใจที่มีต่อเฟซบุ๊คแฟนเพจของสโมสรและความภักดีต่อสโมสรฟุตบอล อยู่ในระดับสูง


การบรรลุเป้าหมายของระดับ Ldl-C ก่อนและหลังการใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, โชคชัย แซ่ลิ่ม Jan 2018

การบรรลุเป้าหมายของระดับ Ldl-C ก่อนและหลังการใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, โชคชัย แซ่ลิ่ม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ที่มา : ในการลดระดับ LDL-cholesterol (LDL-C) ด้วยยาลดไขมันในกลุ่มยา statin ที่มีความแรงระดับสูง (high-intensity statin) มีการพิสูจน์แล้วว่าลดอุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในกลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่เนื่องจากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีระดับ LDL-C ยังไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน (LDL-C น้อยกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และ/หรือ LDL-C ลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50) วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาผลของการใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานขณะจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลต่อผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเพื่อที่ระดับไขมันได้ตามเป้าหมาย วิธีการศึกษา : หลังจากที่มีการใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานภายในโรงพยาบาล ศึกษาข้อมูลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันทุกคน หลังจากนั้นติดตามเก็บผลระดับไขมันในเลือดที่ 2 ถึง 6 เดือน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลผู้ป่วยก่อนใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานในช่วง 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2561 ที่มีผลข้อมูลระดับไขมันช่วงนอนโรงพยาบาลและขณะติดตามที่ 2 ถึง 6 เดือน ผลการศึกษา : มีจำนวนผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในกลุ่มก่อนใช้ชุดคำสั่งมาตรฐาน 131 คน ที่มีผลระดับไขมันในเลือด ร้อยละ 97 ได้รับยา statin ที่มีความแรงระดับสูง เทียบกับยา atorvastatin 37.4 ± 9.8 มิลลิกรัมต่อวัน ค่าเฉลี่ยของ LDL-C ขณะนอนโรงพยาบาลและติดตาม คือ 116.43 ± 42.83 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และ 81.37 ± 25.17 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ตามลำดับ ส่วนในกลุ่มที่ใช้ชุดคำสั่งมาตรฐาน เก็บข้อมูลผู้ป่วยได้ 34 คน ร้อยละ 100 ได้รับ ยา statin ที่มีความแรงระดับสูง เทียบกับยา atorvastatin 40 มิลลิกรัมต่อวัน ค่าเฉลี่ยของ LDL-C ขณะนอนโรงพยาบาลและขณะติดตาม คือ 121 ± …


การศึกษาเปรียบเทียบระดับมิวซิน ระหว่างชิ้นเนื้อที่โดนแสงแดดเป็นประจำและไม่โดนแสงแดดเป็นประจำ, ณัฐพล งามจิรธรรม Jan 2018

การศึกษาเปรียบเทียบระดับมิวซิน ระหว่างชิ้นเนื้อที่โดนแสงแดดเป็นประจำและไม่โดนแสงแดดเป็นประจำ, ณัฐพล งามจิรธรรม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Glycosaminoglycans เป็นองค์ประกอบของมิวซินในชั้นหนังแท้ จากการศึกษาในอดีต พบการเพิ่มขึ้นของระดับ glycosaminoglycansในชิ้นเนื้อที่ตัดจากบริเวณที่โดนแดดเป็นประจำ ปัจจุบัน การศึกษาผลของแสงแดดต่อการเปลี่ยนแปลงระดับมิวซินในชั้นหนังแท้ในด้านของ พยาธิวิทยา ยังมีอยู่น้อย วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับมิวซินในชั้นหนังแท้ ระหว่างชิ้นเนื้อที่โดนแดดเป็นประจำ และ ไม่โดนแดดเป็นประจำในทางพยาธิวิทยา วิธีการศึกษา การวิจัยแบบวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง โดยศึกษาจากชิ้นเนื้อที่ตัดในช่วงปี 2556-2561 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยศึกษาจากชิ้นเนื้อที่ย้อมด้วยสี H&E เพื่อแยกกลุ่มของชิ้นเนื้อเป็น กลุ่มชิ้นเนื้อที่โดนแสงแดดเป็นประจำ และ กลุ่มชิ้นเนื้อที่ไม่ได้โดนแดดเป็นประจำ นำชิ้นเนื้อทั้งหมดมาย้อมสี alcian blue และประเมินระดับมิวซินจากชั้น papillary dermis, superficial reticular dermis, deep reticular dermis โดยให้คะแนน 0-3 ในแต่ละชั้น (mucin score) หลังจากนั้น จึงเปรียบเทียบการติดสีมิวซินระหว่าง ทั้ง 2กลุ่ม ทั้งคะแนนรวม และ คะแนนในแต่ละชั้น ผลการศึกษา ชิ้นเนื้อที่ถูกนำมาศึกษาทั้งหมด 114 ชิ้น แบ่งเป็น 57 ชิ้นจากแต่ละกลุ่ม จากการประเมินคะแนนของมิวซิน พบว่า กลุ่มชิ้นเนื้อที่โดนแสงแดดเป็นประจำ มีระดับมิวซินในชั้นแต่ละชั้น papillary dermis, superficial reticular dermis, deep reticular dermis และ ระดับมิวซินรวมทุกชั้น สูงกว่า กลุ่มชิ้นเนื้อที่ไม่โดนแสงแดดเป็นประจำอย่างมีนัยสำคัญ P<0.001 และพบว่า การพบลักษณะของการโดนแสงแดดอย่างเป็นประจำสัมพันธ์กับระดับมิวซินเมื่อได้กำจัดอิทธิพลจากปัจจัยอื่นออกไปแล้ว สรุปผลการศึกษา พบการติดสีของมิวซินในชั้นหนังแท้ของชิ้นเนื้อที่โดนแสงแดดเป็นประจำ มากกว่า ชิ้นเนื้อที่ไม่โดนแสงแดดเป็นประจำ


ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอุบลราชธานี และความเกี่ยวข้อง ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว, จุฑาพร แต้ภักดี Jan 2018

ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอุบลราชธานี และความเกี่ยวข้อง ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว, จุฑาพร แต้ภักดี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง (Cross - sectional Descriptive Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 716 คน ซึ่งถูกเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ของจิตราภรณ์ ทองกวด ซึ่งพัฒนามาจากทฤษฏีของโกลแมน และแบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว Chulalongkorn Family Inventory (CFI) นำเสนอโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติ t-test , One way ANOVA และ Multiple Linear Regression โดยกำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.93 ในขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวอยู่ในระดับดีพอสมควร ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.11 ความสัมพันธ์ระหว่างความเห็นอกเห็นใจและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (p < 0.001) และมีความสัมพันธ์กับทุกด้านของการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวยกเว้นด้านการควบคุมพฤติกรรม และมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับปัจจัยเพศ ( p < 0.001) คะแนนเฉลี่ยสะสม ( p < 0.001) สถานะความสัมพันธ์ของบิดามารดา ( p = 0.03) และความสัมพันธ์ของนักเรียนกับมารดา ( p = 0.001) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นการช่วยให้ครอบครัวปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างแข็งแรงย่อมช่วยในการเสริมสร้างความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้กับเด็กได้


Chondroprotective Efficacy Of Pcso-524 On Canine Osteoarthritis Secondary To Medial Patellar Luxation, Ratthanan Sathienbumrungkit Jan 2018

Chondroprotective Efficacy Of Pcso-524 On Canine Osteoarthritis Secondary To Medial Patellar Luxation, Ratthanan Sathienbumrungkit

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Fifty stifles from Pomeranians and Chihuahuas with over five years old were enrolled in this study, which are 8 normal stifles and 42 medial patellar luxation (MPL) stifles. All MPL stifles were assigned randomly into 2 groups, including control and treatment groups. The control group was received placebo daily for 16 weeks, while treatment group was fed with PCSO-524 for 16 weeks. Lameness score, ultrasonographic findings, radiographic OA score and owner questionnaire (cBPI) were assessed at pre-treatment (D0) and post-treatment at week 2, 4, 8, 12 and 16. The ultrasonographic evaluations consisted of synovial fluid, articular cartilage, bone surface and …


ผลของโปรแกรมการให้คำแนะนำแบบกระชับต่อการเลิกบุหรี่ของผู้ป่วย แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน, เอกชัย ฝาใต้ Jan 2018

ผลของโปรแกรมการให้คำแนะนำแบบกระชับต่อการเลิกบุหรี่ของผู้ป่วย แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน, เอกชัย ฝาใต้

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการเลิกสูบบุหรี่ระหว่างกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำแบบกระชับ และกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ป่วยในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินที่สูบบุหรี่ซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 60 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน ทั้ง 2 กลุ่มได้รับการจับคู่ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกันในเรื่องเพศ อายุ และระดับการติดนิโคติน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับคำแนะนำแบบกระชับประมาณ 10-15 นาที และได้รับการติดตามทางโทรศัพท์ 2 ครั้ง ประเมินการเลิกบุหรี่จากการเลิกสูบบุหรี่ได้ติดต่อกันในช่วง 7 วันก่อนระยะเวลาประเมินผลที่ 1 เดือน หลังจากได้รับคำแนะนำแบบกระชับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย สถิติ Z (Z-test) และ Mann-Whitney U test ผลการทดลองพบว่า กลุ่มตัวอย่างในกลุ่มทดลองสามารถเลิกบุหรี่ได้ 6 คน คิดเป็นร้อยละ 20 ส่วนกลุ่มควบคุมเลิกบุหรี่ได้เพียง 1 คน คิดเป็นร้อยละ 3.3 สัดส่วนการเลิกบุหรี่ในช่วง 7 วันก่อนประเมินในกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับโปรแกรมการให้คำแนะนำแบบกระชับสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05)


ผลของโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดาต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้น, จิรพรรณ สาบุญมา Jan 2018

ผลของโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดาต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้น, จิรพรรณ สาบุญมา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลสองครั้งก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้นก่อนและหลังได้รับการบำบัดด้วยโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดา 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้นระหว่างกลุ่มที่ได้รับการบำบัดด้วยโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดากับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างคือเด็กสมาธิสั้น และบิดาหรือมารดาเด็กสมาธิสั้น ที่มารับบริการที่งานพยาบาลผู้ป่วยนอก สถาบันราชานุกุล ซึ่งมีคุณสมบัติตามเกณฑ์โดยได้รับการจับคู่ และสุ่มเข้ากลุ่มทดลองจำนวน 20 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 20 คน กลุ่มทดลอง ได้รับการบำบัดด้วยโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดา เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กสมาธิสั้นและบิดาหรือมารดา 2) แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้น 3) โปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดา เครื่องมือทุกชุดผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน เครื่องมือชุดที่ 2 มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิตินอนพาราเมตริก ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. พฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้น หลังได้รับโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดา น้อยกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. พฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กสมาธิสั้นของกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการเรียนรู้โดยประสบการณ์แบบกลุ่มของบิดามารดา น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05