Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Engineering Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Physical Sciences and Mathematics

2017

Chulalongkorn University

Articles 1 - 28 of 28

Full-Text Articles in Engineering

อัลกอริทึมในการหาเส้นทางที่พิจารณาปริมาณการเข้าคิวของข้อมูล บนระบบเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์, ภควัต ชุ่มเจริญ Jan 2017

อัลกอริทึมในการหาเส้นทางที่พิจารณาปริมาณการเข้าคิวของข้อมูล บนระบบเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์, ภควัต ชุ่มเจริญ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

อัลกอริทึมการหาเส้นทางเป็นกลไกที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจในการเลือกเส้นทางในการส่งของข้อมูลในระบบเครือข่ายโดยที่ผ่านมาได้มีอัลกอริทึมการหาเส้นทางต่างๆ มากมายที่พัฒนามาจากทฤษฎีกราฟพื้นฐานด้วยคำนึงถึงการเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดหรือ shortest path และนอกจากนั้นตัวชี้วัดของระบบเครือข่ายจำนวนมากได้ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพของการควบคุมคุณภาพการให้บริการ (QoS) ที่อุปกรณ์ปลายทาง แต่อย่างไรตามการเลือกเส้นทางจากอัลกอริทึมการหาเส้นทางที่มีอยู่เดิมนั้น เมื่อมีปริมาณการส่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นยังทำให้เกิดเวลาแฝง (Lantency) ของการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์จุดปลายหนึ่ง ไปยังอุปกรณ์จุดปลายอีกจุดหนึ่ง และเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ในระบบเครือข่าย โดยปัญหาดังกล่าวจะเรียกว่า ปัญหาปริมาณข้อมูลเกินขนาดบัฟเฟอร์ หรือ Bufferbloat Problem ซึ่งเกิดจากการที่มีปริมาณข้อมูลในบัฟเฟอร์เกินขนาดของบัฟเฟอร์ งานวิจัยนี้จึงได้เสนออัลกอริทึมในการหาเส้นทางที่พิจารณาปริมาณการเข้าคิวของข้อมูล บนระบบเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์โดยใช้ความสามารถของระบบแบบรวมศูนย์กลาง เพื่อรวบรวมข้อมูลขนาดบัฟเฟอร์โดยตรงตามเวลาจริง เพื่อคำนวณเส้นทางที่มีระยะที่สั้นที่สุดที่มีระดับค่าการครอบครองพื้นที่ในบัฟเฟอร์ที่ยอมรับได้ โดยผลประสิทธิภาพของอัลกอริทึม ที่ได้จากทดลองแสดงให้เห็นว่าอัลกอริทึมที่เสนอในงานวิจัยนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าอัลกอริทึมที่หาเส้นทางที่ระยะทางที่สั้นที่สุด ในแง่ของผลรวมของปริมาณงาน (Overall Throughput) ช่วงเวลาในการเดินทางของข้อมูล (Round Trip Time) และความสูญเสียสะสมของกลุ่มข้อมูล (Packet Loss) ที่เกิดในระบบเครือข่ายเป็นอย่างมาก


การสร้างเครือข่ายแอดฮอกแบบเสมือนโดยใช้วายฟายฮอตสปอตบนสมาร์ทโฟน, ฉันทวัฒน์ รัตนพงศ์พันธ์ Jan 2017

การสร้างเครือข่ายแอดฮอกแบบเสมือนโดยใช้วายฟายฮอตสปอตบนสมาร์ทโฟน, ฉันทวัฒน์ รัตนพงศ์พันธ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ทุกวันนี้สมาร์ทโฟนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ด้วยจำนวนและเซนเซอร์ที่มากขึ้นของสมาร์ทโฟนส่งผลให้มีแอพลิเคชั่นที่ถูกพัฒนามาเพื่อต้องสนองความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น โดยปกติสมาร์ทโฟนจะพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานในการติดต่อสื่อสาร อย่างไรก็ตามเมื่อโครงสร้างพื้นฐานไม่สามารถใช้งานได้ในสถานการณ์ภัยพิบัติ การติดต่อสื่อสารก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน สถานการณ์นี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้เครือข่ายแบบฉวยโอกาส โดยสมาร์ทโฟนจะทำการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงเมื่อใช้เครือข่ายแบบฉวยโอกาส อย่างไรก็ตามการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงแบบอัตโนมัติเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับแอพลิเคชั่นจำนวนมากในเครือข่ายแบบฉวยโอกาส ซึ่งในสมาร์ทโฟนมีเทคโนโลยีมากมายที่สามารถทำการสร้างเครือขายแบบฉวยโอกาสได้ นักวิจัยบางส่วนได้ใช้เทคโนโลยีวายฟายแอดฮอกในการสร้างเครือข่ายแบบฉวยโอกาสเนื่องจากเทคโนโลยีวายฟายแอดฮอกมีลักษณะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการติดต่อกันแบบอัตโนมัติของสมาร์ทโฟนและการทำให้แนวคิดของเครือข่ายฉาบฉวยเป็นจริง อย่างไรก็ตามสมาร์ทโฟนเกือบทั้งหมดในตลาดไม่สามารถใช้งานวายฟายแอดฮอกนอกจากจะทำการรูทเครื่อง ซึ่งในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ใช้เทคโนโลยีวายฟายฮอตสปอตในการสร้างเครือข่ายแอดฮอกแบบเสมือน ผู้วิจัยทำการเสนอกลไกในการลดจำนวนฮอตสปอตที่มากเกินจำเป็นและยืดระยะการทำงานของระบบ ผลจากการทดลองแสดงให้เห็นว่างานวิจัยของผู้วิจัยสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 62% เมื่อเทียบกับอัลกอริทึมการเปลี่ยนสถานะเป็นฮอตสปอตแบบคงที่ที่ถูกเสนอในงานวิจัยที่ผ่านมา


การระบุตัวคนขับรถโดยใช้ฮิสโทแกรมและโครงข่ายประสาทเทียมจากข้อมูลความเร่ง, ณัฐธัญ วิโรจน์บุญเกียรติ Jan 2017

การระบุตัวคนขับรถโดยใช้ฮิสโทแกรมและโครงข่ายประสาทเทียมจากข้อมูลความเร่ง, ณัฐธัญ วิโรจน์บุญเกียรติ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

จนถึงปัจจุบันจำนวนตัวรับรู้ในรถยนต์มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ภายในรถยนต์ ข้อมูลจำนวนมากที่เกิดขึ้นจากตัวรับรู้เหล่านี้ส่งผลให้เกิดการศึกษาในการพยายามใช้ข้อมูลเหล่านี้ให้เกิดประโยขน์ งานวิจัยอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากคือการศึกษาพฤติกรรมการขับรถ เนื่องจากคนขับรถแต่ละคนมีพฤติกรรมต่างกัน การรู้ถึงพฤติกรรมการขับรถจึงทำให้สามารถระบุตัวคนขับรถได้ การทราบถึงบุคคลที่กำลังขับรถทำให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย การประกันภัย หรือการอำนวยความสะดวก สิ่งนี้เองทำให้มีงานวิจัยเกี่ยวกับการระบุตัวคนขับรถเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ งานวิจัยที่ผ่านมาส่วนมากมักใช้ข้อมูลจากตัวรับรู้จำนวนมากเพื่อระบุตัวคนขับรถและสามารถทำได้โดยมีความแม่นยำสูง อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยจำนวนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการระบุตัวคนขับรถสามารถทำได้โดยใช้ตัวรับรู้เพียงตัวเดียว แต่ค่าความแม่นยำของงานเหล่านี้ยังสามารถพัฒนาต่อได้ งานวิจัยนี้ได้เสนอระบบการระบุตัวคนขับรถโดยใช้เพียงข้อมูลจากตัวรับรู้ความเร่ง โดยมีการใช้ฮิสโทแกรมของความเร่งเป็นข้อมูลนำเข้าสู่โครงข่ายประสาทเทียม สถาปัตยกรรมระบบที่นำเสนอในงานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบระบุตัวคนขับรถอื่นในอนาคต ผลการทดสอบประสิทธิภาพของระบบนี้สามารถระบุตัวคนขับรถได้แม่นยำสูงสุดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ในงานวิจัยยังได้ทดสอบประสิทธิภาพในหลายแง่มุมซึ่งที่ผ่านมามีหลายงานวิจัยที่มองข้ามบางแง่มุมไป ดังนั้นการวัดผลในงานวิจัยนี้จึงสามารถใช้เป็นแนวทางในการวัดผลการระบุตัวคนขับรถอื่นในอนาคตได้เช่นกัน


การจำแนกคุณภาพการใช้งานและปัญหาของเกมแอ็คชัน จากบทวิจารณ์ของผู้ใช้ด้วยการทำเหมืองข้อความ, อตินัติ์ วัฒนบุรานนท์ Jan 2017

การจำแนกคุณภาพการใช้งานและปัญหาของเกมแอ็คชัน จากบทวิจารณ์ของผู้ใช้ด้วยการทำเหมืองข้อความ, อตินัติ์ วัฒนบุรานนท์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ข้อมูลความคิดเห็นของผู้ใช้ที่มีต่อเกมคือบทวิจารณ์เกมที่ปรากฏบนเว็บไซต์ต่างๆ จากผู้ใช้เกม สามารถระบุถึงความพึงพอใจของผู้ใช้ในการใช้ซอฟต์แวร์เกม และนำมาช่วยในการระบุความต้องการเชิงคุณภาพของซอฟต์แวร์เกม อย่างไรก็ตามบทวิจารณ์เกมจากผู้ใช้เกมนั้นมีจำนวนมากตามความนิยมของเกม รวมทั้งมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นภาษาธรรมชาติ ซึ่งมีความแตกต่างกันตามแต่ลักษณะการเขียนของผู้เขียนบทวิจารณ์ มักไม่มีการสรุปว่าเป็นประโยคที่กล่าวถึงประเภทของคุณภาพและปัญหาของเกมในเรื่องใด และมีความคิดเห็นเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ การที่จะจำแนกประโยคจากบทวิจารณ์เกมในด้านคุณภาพและปัญหาจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรด้านมนุษย์และเวลา งานวิทยานิพนธ์นี้จึงเสนอวิธีการจำแนกประโยคของบทวิจารณ์เกมแอ็คชันด้วยวิธีการทำเหมืองข้อความ ซึ่งบทวิจารณ์เกมประเภทแอ็คชันได้ถูกเลือกมาใช้เพราะเกมแอ็คชันเป็นประเภทของเกมที่ได้รับความนิยมสูง โดยงานวิทยานิพนธ์นี้แบ่งเป็น 5 ขั้นตอนคือ 1) การระบุและนิยามปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของเกมและปัญหาของเกม 2) การสร้างคลังคำศัพท์ของปัจจัยที่นิยามไว้ด้วย การสกัดคำอธิบายการระบุและนิยามปัจจัย การสกัดจากบทวิจารณ์เกม และการใช้เครื่องมือเวิร์ดเน็ตในการขยายคลังคำศัพท์ 3) การวิเคราะห์เพื่อจำแนกประโยคของบทวิจารณ์ทั้งในด้านความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบ และด้านปัจจัยที่นิยามไว้ 4) การพัฒนาเครื่องมือตามแนวคิดที่นำเสนอ 5) การประเมินประสิทธิผลของเครื่องมือด้วยการทดลองจากการคำนวณค่าความแม่นยำ โดยการตรวจสอบการจำแนกประโยคของบทวิจารณ์เกมโดยเครื่องมือเปรียบเทียบกับการจำแนกโดยผู้เชี่ยวชาญ ประสิทธิผลของเครื่องมือในการจำแนกได้เหมือนกันทั้งหมดกับผู้เชี่ยวชาญในรูปของค่าความแม่นยำเฉลี่ย ของการจำแนกความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบมีค่าร้อยละ 59.51 ของการจำแนกปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของเกมและปัญหาของเกมมีค่าร้อยละ 64.46 และ 81.01 ตามลำดับ


Using Sound To Describe Scenes With Still And Moving Obstacles, Kawin Metsiritrakul Jan 2017

Using Sound To Describe Scenes With Still And Moving Obstacles, Kawin Metsiritrakul

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The information human get from sight and hearing sense are similar. With these correlations, there are many works that take this idea to describe the spatial information with sound. The previous works only described the nearest obstacle with the direction and distance information to sound. To let the user clearly understand the spatial information in the scene, we aim to develop the describing solution from spatial information to auditory information including direction, distance, boundary and speed info with the multiple obstacle descriptions. The participants took the experiment by controlling the character and avoiding the obstacles in the different scenarios to …


โพรโทคอลการแพร่กระจายข้อมูลโดยคำนึงถึงตำแหน่งที่มีความน่าเชื่อถือในระบบการสื่อสารไร้สายแบบแอดฮอกบนยานพาหนะ, ณัฐกานต์ ประมวลญาติ Jan 2017

โพรโทคอลการแพร่กระจายข้อมูลโดยคำนึงถึงตำแหน่งที่มีความน่าเชื่อถือในระบบการสื่อสารไร้สายแบบแอดฮอกบนยานพาหนะ, ณัฐกานต์ ประมวลญาติ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ระบบการขนส่งอัจฉริยะได้เพิ่มความหลากหลายให้กับแอปพลิเคชันประเภทความปลอดภัยและเหตุการณ์เร่งด่วนบนท้องถนนที่ใช้หลักการติดต่อแบบแอดฮอกไร้สาย แอปพลิเคชันเหล่านี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อที่จะกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว มีความน่าเชื่อถือและจำกัดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลที่สำคัญเหล่านั้นเข้าถึงได้ถึงยานพาหนะที่สมควรจะได้รับ ดังนั้นแล้วงานต่างๆก่อนหน้านี้ที่ทำ จึงมีการใช้ระบบจีพีเอสในการระบุตำแหน่งและกำหนดขอบเขต ในทางปฏิบัติแล้วการใช้ระบบจีพีเอสนั้น มักจะมีความคลาดเคลื่อนในตำแหน่งที่เป็นพื้นที่ปิด เช่น ท่ามกลางตึกสูงล้อมรอบ หรือแม้แต่พื้นที่ใต้สะพานต่างๆ เพื่อที่จะเข้าใจและเข้าถึงสถานะการณ์ต่างๆ ในการเลือกที่จะส่งข้อมูล แอปพลิเคชันที่เราทำนั้นจะทำการส่งบีคอนในการรวบรวมข้อมูลของยานพาหนะรอบข้าง เพื่อที่จะใช้ในการจำกัดขอบเขตวงกว้างในการส่งข้อมูล แอปพลิเคชันที่ทำขึ้นนั้นจะใช้ข้อมูลความหนาแน่นเพื่อใช้ในการกำหนดจำนวนฮอพสูงสุดที่จะทำการส่งต่อข้อมูลหรือข้อความให้ได้ตามระยะขอบเขตที่กำหนด จากการทดสอบบนระบบการจำลองแสดงให้เห็นว่าโพรโทคอลของเราสามารถที่จะทำงานได้ดีกว่าโพรโทคอลอื่นๆที่ใช้จีพีเอสในแง่ของการครอบคลุมพื้นที่ที่กำหนด โดยแสดงให้เห็นว่าโพรโทคอลของเราสามารถส่งข้อความให้กับยานพาหนะที่อยู่ในขอบเขตที่กำหนดได้ 100%


การคัดแยกไวรัสคอมพิวเตอร์จากรหัสฐานสอง, ประสิทธิ์ อุษาฟ้าพนัส Jan 2017

การคัดแยกไวรัสคอมพิวเตอร์จากรหัสฐานสอง, ประสิทธิ์ อุษาฟ้าพนัส

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้นำเสนอการใช้การเรียนรู้แบบมีผู้สอนเพื่อตรวจจับไฟล์ไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ไม่เคยพบมาก่อนแบบ static ผู้วิจัยได้ทดสอบกับตัวแยกประเภทจำนวน 3 แบบ คือ random forest, multilayer perceptron และ extreme gradient boosting ชุดข้อมูลประกอบด้วย 6319 ไฟล์ executable แต่ละไฟล์ถูกสกัดด้วย objdump แล้วจัดเรียงตามคะแนน TF-IDF เพื่อหา feature ที่เหมาะสม ผลลัพธ์เปรียบเทียบด้วย F1-score คือ สามารถใช้ตัวแยกประเภทแบบ random forest ร่วมกับข้อมูลที่มี 20 attribute ได้ 0.937 F1-score ซึ่งมากกว่าบรรทัดฐานอยู่ 0.031 F1-score และ สามารถใช้ตัวแยกประเภทแบบ extreme gradient boosting ร่วมกับข้อมูลที่มี 500 attribute ได้ 0.962 F1-score ซึ่งมากกว่าบรรทัดฐานอยู่ 0.041 F1-score จึงสรุปได้ว่าวิธีการในงานวิจัยนี้สามารถเพิ่ม precision และ recall ของการแยกประเภทได้


เครื่องมือประเมินความสามารถในการใช้งานเชิงฮิวริสติกสำหรับแอปพลิเคชันแอนดรอยด์, ขวัญดี เพชรากานต์ Jan 2017

เครื่องมือประเมินความสามารถในการใช้งานเชิงฮิวริสติกสำหรับแอปพลิเคชันแอนดรอยด์, ขวัญดี เพชรากานต์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การประเมินความสามารถในการใช้งานแอปพลิเคชันโดยใช้วิธีการประเมินเชิงฮิวริสติกเป็นวิธีการประเมินความสามารถในการใช้งานส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถดำเนินการประเมินได้ง่ายและค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเทียบกับวิธีประเมินแบบอื่น โดยการประเมินจะให้ผู้ประเมินทำการเปรียบเทียบการออกแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ในแต่ละหน้าจอของแอปพลิเคชันกับหลักการออกแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้หรือฮิวริสติก การประเมินจึงขึ้นกับการพิจารณาและประสบการณ์ในการออกแบบที่ผ่านมาของผู้ประเมินว่าสามารถตรวจพบข้อผิดพลาดในการออกแบบหรือไม่ อีกทั้งยังมีรายการประเมินตามฮิวริสติกในการออกแบบโดยต้องตรวจสอบเป็นจำนวนมาก ทำให้การประเมินทำได้ไม่ง่าย งานวิจัยนี้จึงนำเสนอการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยผู้ประเมินความสามารถในการใช้งานของส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ของแอปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์พกพาบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ในการตรวจสอบรายการประเมินการออกแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้จากโค้ดของแอปพลิเคชันและรายงานข้อผิดพลาดในการออกแบบที่พบ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประเมินเชิงฮิวริสติกเป็นการประเมินที่ต้องทำโดยอาศัยผู้ประเมิน ผู้วิจัยจึงได้เลือกรายการประเมินจำนวน 19 รายการ ที่ไม่ต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้สึกของผู้ประเมิน และสามารถตรวจสอบได้อย่างอัตโนมัติมาพัฒนาเครื่องมือ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประเมินในการตรวจสอบความสามารถในการใช้งานส่วนต่อประสานกับผู้ใช้เทียบกับรายการประเมินบางส่วนได้ จากการทดสอบการประเมินส่วนต่อประสานผู้ใช้ของ 3 แอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ตามรายการประเมิน 19 รายการดังกล่าว พบว่าค่าเฉลี่ยของจำนวนจุดที่พบข้อผิดพลาดในการออกแบบเมื่อประเมินโดยใช้เครื่องมือ มีค่ามากกว่าเมื่อประเมินโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้และกลุ่มนักพัฒนาแอปพลิเคชันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 นอกจากนี้เครื่องมือยังช่วยลดเวลาในการประเมินและสามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดในการออกแบบที่ผู้ประเมินทั้งสองกลุ่มตรวจไม่พบได้


อัลกอริทึมการอนุมานไวยากรณ์สม่ำเสมอเชิงความน่าจะเป็นด้วยเทคนิคการเพิ่มขึ้น, ต่อศักดิ์ เพ็ญภินันท์ Jan 2017

อัลกอริทึมการอนุมานไวยากรณ์สม่ำเสมอเชิงความน่าจะเป็นด้วยเทคนิคการเพิ่มขึ้น, ต่อศักดิ์ เพ็ญภินันท์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การอนุมานไวยากรณ์เป็นเรื่องที่ได้รับการศึกษามาเป็นเวลานาน ซึ่งไวยากรณ์จะถูกแสดงในรูปของกฎการสร้างใหม่ ๆ พร้อมด้วยความน่าจะเป็นที่สนับสนุนกฎการสร้างไวยากรณ์นั้น งานวิจัยนี้สนใจในรูปแบบของไวยากรณ์ทั่วไปที่ได้รับการยอมรับผ่านเครื่องจักรแบบจำกัดสถานะ เทคนิคการอนุมานไวยากรณ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคืออัลกอริทึมอัลเลอเจียร์ (Alergia) ซึ่งวิธีการคือสร้างเครื่องจักรแบบจำกัดสถานะเชิงความน่าจะเป็นจากตัวอย่างเชิงบวกพร้อมกับหาค่าความน่าจะเป็น ซึ่งงานวิจัยนี้นำเสนออัลกอริทึมการอนุมานไวยากรณ์เชิงความน่าจะเป็นจากการพิจารณาตัวอย่างเชิงบวกเริ่มต้นจากความยาวน้อยไปหาความยาวที่มากที่สุดตามลำดับ กำหนดรูปแบบให้กับไวยากรณ์ที่เกิดขึ้น และนำเสนอในรูปแบบของเครื่องจักรแบบจำลองสถานะเชิงความน่าจะเป็น


การแปลงสโตแคสติกเพทริเน็ตไปเป็นห่วงโซ่มาร์คอฟ, เกศิณี สุมนาตย์ Jan 2017

การแปลงสโตแคสติกเพทริเน็ตไปเป็นห่วงโซ่มาร์คอฟ, เกศิณี สุมนาตย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ในการดำเนินธุรกิจ เมื่อมีจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น การให้บริการที่รวดเร็ว ทันต่อความต้องการของลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากผู้ประกอบการธุรกิจ ไม่ได้มีการวางแผนเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของลูกค้า อาจทำให้การบริการมีความล่าช้า ไม่ทันกาล ต้องมีการรอคอย ซึ่งอาจเกิดจากมีจำนวนของผู้ให้บริการหรือพนักงานไม่เพียงพอกับจำนวนผู้มารับบริการ การบริหารจัดการแถวคอยที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิดความไม่พึงพอใจต่อผู้มารับบริการ และอาจนำไปสู่การสูญเสียลูกค้า และเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจได้ งานวิจัยนี้ได้เสนอสโตแคสติกเพทริเน็ตซึ่งเป็นแบบจำลองที่สามารถจำลองการเข้าแถวคอยของผู้มารับบริการ, ผู้ให้บริการและลักษณะของการเข้าแถวคอยได้ ซึ่งที่ได้เสนอแบบจำลองนี้เนื่องจากว่าเป็นแบบจำลองที่สามารถวิเคราะห์การเข้าแถวคอยได้ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตลอดจนช่วยทำให้เข้าใจพฤติกรรมของการเข้าแถวคอยที่ได้จำลองเอาไว้ได้ แต่ด้วยข้อจำกัดของแบบจำลองสโตแคสติกเพทริเน็ตที่ไม่สามารถคำนวณความน่าจะเป็นของการเปลี่ยนจากจุดของการเข้าแถวคอยจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ ทำให้ไม่เพียงพอกับการวิเคราะห์การเข้าแถวคอย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้เสนอการแปลงสโตแคสติกเพทริเน็ตไปเป็นห่วงโซ่มาร์คอฟ ซึ่งห่วงโซ่มาร์คอฟสามารถคำนวณความน่าจะเป็นเพื่อวิเคราะห์หาโอกาสที่ผู้ใช้บริการเข้ามาใช้บริการที่แถวคอย และคาดการณ์การใช้บริการว่าจะสามารถแล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งในการวิเคราะห์นี้จะถูกวิเคราะห์อยู่ในรูปแบบของการคำนวณความน่าจะเป็นที่มีการแจกแจงแบบเอ็กโพเนนเชียล โดยใช้ฟังก์ชันความหนาแน่นของความน่าจะเป็นหรือ ฟังก์ชันการแจกแจงสะสม เพื่อให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าจำนวนของผู้ให้บริการเพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้บริการหรือไม่อย่างไรและนำไปสู่การตัดสินใจและดำเนินการเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการการใช้บริการของผู้ใช้บริการได้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพต่อไป สุดท้ายเครื่องมือได้ถูกนำไปทดสอบความถูกต้องกับ 3 กรณีศึกษา ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เครื่องมือสามารถวิเคราะห์หาโอกาสที่ผู้ใช้บริการเข้ามาใช้บริการที่แถวคอยและแล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนดมีค่าความน่าจะเป็นได้อย่างถูกต้อง


การสร้างมิวแตนท์สําหรับนิพจน์เงื่อนไขบนแบบจําลองบีพีเอ็มเอ็น, ปฤษฎี ท่าดีสม Jan 2017

การสร้างมิวแตนท์สําหรับนิพจน์เงื่อนไขบนแบบจําลองบีพีเอ็มเอ็น, ปฤษฎี ท่าดีสม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

แบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นเป็นแบบจำลองเชิงธุรกิจที่ถูกพัฒนาให้สามารถประมวลกระบวนการกิจกรรมเชิงธุรกิจบนเครื่องประมวลผลแบบจำลอง ซึ่งความสามารถดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ต้องมีการทดสอบการทำงานของกระบวนการกิจกรรมบนแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขทางธุรกิจ นักทดสอบจึงได้นำเสนอวิธีการสร้างกรณีทดสอบด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน แต่กรณีทดสอบเหล่านั้นยังไม่มีการประเมินคุณภาพ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทดสอบมิวเทชันบนแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นในงานวิจัยนี้ ทั้งนี้การทดสอบมิวเทชันบนแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นของงานวิจัยนี้จะเริ่มต้นที่การกำหนดตัวดำเนินการมิวเทชันสำหรับแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็น จากนั้นพัฒนาเครื่องมือสร้างมิวแตนท์ขึ้นมาเพื่อสามารถทำการทดสอบมิวเทชันบนแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นได้ งานวิจัยนี้ได้กำหนดตัวดำเนินการมิวเทชันของแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นได้ทั้งหมด 25 ตัวดำเนินการ และพัฒนาเครื่องมือสร้างมิวแตนท์สำหรับนิพจน์เงื่อนไขบนแบบจำลองบีพีเอ็มเอ็นขึ้น ด้วยตัวดำเนินการสำหรับนิพจน์เงื่อนไข 3 ตัวดำเนินการคือตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ตัวดำเนินการเชิงสัมพันธ์ และตัวดำเนินการเชิงตรรกะ จากนั้นนำมิวแตนท์ที่ได้จากเครื่องมือสร้างมิวแตนท์มาทำการทดสอบมิวเทชัน หลังจาก ทดสอบมิวเทชันกับกรณีทดสอบที่ได้จากงานวิจัยก่อนหน้า ทำให้ทราบว่าผลการทดสอบของแต่ละเทคนิคการสร้างกรณีทดสอบนั้นมีค่าคะแนนมิวเทชันที่แตกต่างกัน ชุดกรณีทดสอบที่มีค่าคะแนนมิวเทชันมากที่สุด เป็นชุดกรณีทดสอบที่มีคุณภาพที่สุด


Random Field Optimization Using Local Label Hierarchy, Sangsan Leelhapantu Jan 2017

Random Field Optimization Using Local Label Hierarchy, Sangsan Leelhapantu

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Random field formulation has proven to be a powerful framework for solving various computer vision tasks, specifically those involving assigning labels to image pixels or superpixels subjected to spatial relationships and visual contexts, due to the ability to intuitively incorporate global and local information. Unfortunately, solving these problems can be impractical when large number of variables and possible labels are present as the computational complexity grows fast with the problem size. In this thesis, we propose a speedup scheme for random field optimization using local label hierarchy. We focus on problems in which the label space has a natural ordering …


การสร้างแบบจำลองด้วยโพรเมลาเพื่อทวนสอบซิกแนลแทรนซิชันกราฟในการสร้างวงจรอสมวาร, คณุตม์ บุญเรืองขาว Jan 2017

การสร้างแบบจำลองด้วยโพรเมลาเพื่อทวนสอบซิกแนลแทรนซิชันกราฟในการสร้างวงจรอสมวาร, คณุตม์ บุญเรืองขาว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การทวนสอบวงจรอสมวารนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งในขั้นตอนการออกแบบเพื่อความถูกต้องในการทำงานของสัญญาณ โดยวงจรจะถูกออกแบบในขั้นต้นด้วยซิกแนลแทรนซิชันกราฟ วิทยานิพนธ์ใช้ประโยชน์จากเทคนิคการตรวจสอบแบบจำลองเพื่อทวนสอบซิกแนลแทรนซิชันกราฟในคุณสมบัติซึ่งประกอบด้วย คุณสมบัติความปลอดภัย คุณสมบัติไลฟ์เนส คุณสมบัติความทนทาน คุณสมบัติความต้องกัน และคุณสมบัติการกำหนดสถานะสมบูรณ์ ซึ่งซิกแนลแทนซิชันกราฟประกอบด้วยประเภทวัฏจักรเชิงเดี่ยว และประเภทวัฏจักรหลากหลาย ในขั้นแรกซิกแนลแทรนซิชันกราฟจะถูกแปลงเป็นรหัสโพรเมลาแบบจำลองโครงสร้าง และแบบจำลองวัฏจักรที่มีจุดยอดไม่ซ้ำกัน จากนั้นจึงนำซิกแนลแทรนซิชันกราฟไปแปลงเป็นตรรกะเวลาเชิงเส้นซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติความปลอดภัย คุณสมบัติไลฟ์เนส คุณสมบัติความทนทาน คุณสมบัติความต้องกัน และคุณสมบัติการกำหนดสถานะที่สมบูรณ์ จากนั้นคุณสมบัติความปลอดภัยจะทวนสอบโดยนำรหัสโพรเมลาแบบจำลองโครงสร้าง และตรรกะเวลาเชิงเส้นของคุณสมบัติความปลอดภัยไปทวนสอบโดยเครื่องมือสปินจะได้ผลการทวนสอบของคุณสมบัติ คุณสมบัติไลฟ์เนสจะทวนสอบโดยนำรหัสโพรเมลาแบบจำลองโครงสร้าง และตรรกะเวลาเชิงเส้นของคุณสมบัติไลฟ์เนสไปทวนสอบโดยเครื่องมือสปินจะได้ผลการทวนสอบของคุณสมบัติ คุณสมบัติความทนทานจะทวนสอบโดยนำรหัสโพรเมลาแบบจำลองโครงสร้าง และตรรกะเวลาเชิงเส้นของคุณสมบัติความทนทานไปทวนสอบโดยเครื่องมือสปินจะได้ผลการทวนสอบของคุณสมบัติ คุณสมบัติความต้องกันจะทวนสอบโดยนำรหัสโพรเมลาแบบแบบจำลองวัฏจักรที่มีจุดยอดไม่ซ้ำกัน และตรรกะเวลาเชิงเส้นของคุณสมบัติความต้องกันไปทวนสอบโดยเครื่องมือสปินจะได้ผลการทวนสอบของคุณสมบัติ ในขั้นสุดท้ายคุณสมบัติการกำหนดสถานะที่สมบูรณ์จะนำรหัสโพรเมลาแบบแบบจำลองวัฏจักรที่มีจุดยอดไม่ซ้ำกัน และตรรกะเวลาเชิงเส้นของการกำหนดสถานะที่สมบูรณ์มาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงล็อคและทวนสอบโดยเครื่องมือสปิน จากนั้นจึงนำผลที่ได้จากการจำลองมาตรวจสอบในเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นจึงได้คำตอบของการทวนสอบคุณสมบัตินี้ อย่างไรก็ตามเทคนิคของงานวิจัยนี้ยังไม่เป็นอัตโนมัติในบางคุณสมบัติ


การอ่านทำความเข้าใจด้วยเครื่องเพื่อคำถามที่มีหลายความสัมพันธ์ด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึก, ณัฐชัย ตรีทศายุธ Jan 2017

การอ่านทำความเข้าใจด้วยเครื่องเพื่อคำถามที่มีหลายความสัมพันธ์ด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึก, ณัฐชัย ตรีทศายุธ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การอ่านทำความเข้าใจเพื่อใช้ตอบคำถาม เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญและยากที่สุดในงานสายการประมวลผลภาษาธรรมชาติ วิธีการที่ได้รับความนิยมและให้ผลที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือการใช้โมเดลที่นำเอาการเรียนรู้เชิงลึกเข้ามาช่วยตอบ โดยโมเดลจะทำการหาคำที่คล้ายกันระหว่างคำถามและบทความเพื่อนำไปใช้ในการตอบคำถาม แต่โมเดลในรูปแบบนี้จะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถจะตอบคำถามซึ่งคำตอบจะต้องใช้การเชื่อมต่อคำในหลายประโยคเข้าด้วยกัน หรือที่เรียกว่าคำถามที่มีหลายความสัมพันธ์ได้ งานวิจัยชิ้นนี้ต้องการที่จะเสนอแนวทางในการใช้คำอ้างอิงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว รวมถึงยังได้เสนอวิธีการตอบแบบสองทาง และฟังก์ชันต้นทุนจากความยาวของคำตอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของระบบ


การอ่านเลขสายรถประจำทางจากภาพ, พิชชากร วงศ์ต๊ะ Jan 2017

การอ่านเลขสายรถประจำทางจากภาพ, พิชชากร วงศ์ต๊ะ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

จากข้อจำกัดในการเดินทางด้วยตนเองโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะของผู้พิการสายตาเลือนราง ที่มักมองเลขสายรถประจำทางไม่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้ช่วยหรือสอบถามจากคนรอบข้าง จึงสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อช่วยให้ผู้พิการสายตาเลือนรางสามารถเดินทางโดยรถประจำทางได้อย่างอิสระยิ่งขึ้น งานวิจัยนี้นำเสนอระบบตรวจจับเลขสายรถประจำทางจากภาพ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องที่สามารถเรียนรู้และสกัดคุณลักษณะจากชุดข้อมูลสอนได้ และใช้เทคนิคการประมวลผลภาพประกอบกับใช้ข้อมูลจีพีเอสของป้ายรถประจำทางที่มีข้อมูลบอกว่าป้ายรถประจำทางนั้นมีรถประจำทางสายใดผ่าน วิเคราะห์และประมวลผลจนได้เลขสายรถประจำทางออกมา โดยขั้นตอนของระบบตรวจจับเลขสายรถประจำทางจากภาพ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ ขั้นตอนการตรวจจับบริเวณแผงด้านบนรถประจำทาง ขั้นตอนการตรวจหาบริเวณที่มีข้อความ ขั้นตอนการรู้จำข้อความ และขั้นตอนการประมวลผลหลังเพื่อปรับปรุงความแม่นยำ โดยขั้นตอนการตรวจจับบริเวณแผงด้านบนรถประจำทางจะใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องวิธีการฟาสเตอร์อาร์ซีเอ็นเอ็น ในการเรียนรู้ตัวสกัดคุณลักษณะแผงด้านบนรถประจำทางจากชุดข้อมูลสอน และส่งต่อไปยังขั้นตอนการหาบริเวณที่มีข้อความโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องวิธีการฟาสเตอร์อาร์ซีเอ็นเอ็น จากนั้นนำเข้าสู่กระบวนการรู้จำข้อความกูเกิลคลาวด์วิชัน และตัวรู้จำข้อความวิธีหน่วยความจำระยะสั้นระยะยาว สุดท้ายนำผลลัพธ์ที่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการประมวลผลหลังเพื่อปรับปรุงความแม่นยำ โดยทำการตัดตัวอักษรที่ไม่เกี่ยวข้อง และใช้ข้อมูลจีพีเอสป้ายรถประจำทาง ในการช่วยแก้ไขคำตอบที่ผิดจากวิธีรู้จำข้อความให้ถูกต้องมากขึ้น จากผลการทดลองในการอ่านสายรถประจำทางพบว่าสามารถอ่านเลขรถประจำทางได้ถูกต้อง 62 เปอร์เซ็นต์ โดยประเมินความถูกต้องจากจำนวนค่าความจริงของแผงรถประจำทาง และจำนวนเลขสายรถประจำทางที่อ่านได้ถูกต้องจากขั้นตอนวิธีที่นำเสนอ


การวิเคราะห์รูปแบบการจราจรบนถนนโดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่จากซีดีอาร์และจีพีเอส, ล่ำซำ ทองสีนุช Jan 2017

การวิเคราะห์รูปแบบการจราจรบนถนนโดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่จากซีดีอาร์และจีพีเอส, ล่ำซำ ทองสีนุช

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหนึ่งที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง การทราบถึงปริมาณความต้องการในการเดินทางระหว่างพื้นที่และเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ใช้ในการวางแผนระบบขนส่งภายในเมือง ในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้อยู่มากมายเช่น โปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ, จีพีเอสที่ติดบนรถแท็กซี่ (GPS), บันทึกการใช้งานเครือข่ายไวไฟ (Wi-Fi Log) และบันทึกรายละเอียดการใช้งานโทรศัพท์ (CDR) โดยข้อมูลที่นักวิจัยนิยมใช้ในการหาปริมาณความต้องการในการเดินทางระหว่างพื้นที่คือข้อมูลจากจีพีเอสที่ติดบนรถแท็กซี่และบันทึกรายละเอียดการใช้งานโทรศัพท์ ซึ่งข้อมูลจากแต่ละแหล่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันโดยข้อมูลจีพีเอสเป็นข้อมูลที่รายงานตำแหน่งของผู้ใช้งานอย่างแม่นยำและมีรอบการส่งตำแหน่งที่แน่นอนแต่ข้อมูลมีขนาดเล็กไม่สามารถใช้เป็นตัวแทนประชากรทั้งเมืองได้ แต่ข้อมูลจากซีดีอาร์เป็นข้อมูลจากกลุ่มผู้ใช้งานขนาดใหญ่แต่ตำแหน่งที่ได้เป็นตำแหน่งของเสากระจายสัญญาณเท่านั้น ผู้วิจัยจึงนำข้อดีของข้อมูลจากทั้งสองแหล่งมาใช้ในการสร้างเครื่องมือ โดยวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เสนอวิธีการในการสร้างเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของประชากรระหว่างบ้านและสถานที่ทำงาน โดยใช้ข้อมูลจากบันทึกรายละเอียดการใช้งานโทรศัพท์ในการหาบ้านและสถานที่ทำงานของประชากรทำให้ทราบถึงปริมาณความต้องการในการทางระหว่างพื้นที่ และใช้ข้อมูลจีพีเอสจากรถแท็กซี่ในการหาเส้นทางบนถนนที่เป็นที่นิยมในการเดินทางระหว่างพื้นที่ และผู้วิจัยได้วิเคราะห์ในหลาย ๆ พื้นที่ยกตัวอย่างเช่น ประชากรที่ทำงานในพื้นที่สีลมและช่องนนทรี ,การเดินทางระหว่างสีลมกับอนุสาวรีชัยสมรภูมิ และการเดินทางจากฝั่งธนบุรีไปฝั่งพระนคร


การปรับปรุงแบบจำลองเสียงเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติของเสียงสังเคราะห์ภาษาไทย, ศุภเดช ฉันจรัสวิชัย Jan 2017

การปรับปรุงแบบจำลองเสียงเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติของเสียงสังเคราะห์ภาษาไทย, ศุภเดช ฉันจรัสวิชัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เสียงสังเคราะห์เป็นเทคโนโลยีทางเลือกสำหรับการรับรู้ข้อมูลประเภทข้อความ ความชัดเจน และความเป็นธรรมชาติของเสียงสังเคราะห์ส่งผลโดยตรงกับความเข้าใจของผู้ฟังที่มีต่อข้อมูลในสัญญาณเสียง ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้พัฒนาด้านความเป็นธรรมชาติ และความชัดเจนของเสียงสังเคราะห์ที่สร้างมาจากค่าพารามิเตอร์ของตัวเข้ารหัสเสียง STRAIGHT ซึ่งค่าพารามิเตอร์เหล่านั้นถูกสร้างขึ้นมาจากแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟ และแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมแบบลึก โดยการนำเสนอแนวคิด 3 แนวคิด ได้แก่ 1) แนวคิดการแยกกันของแบบจำลองคุณลักษณะความถี่มูลฐาน และค่าคุณลักษณะสเปกตรัม โดยทั้งสองแบบจำลองถูกฝึกฝนแยกกันเพื่อสร้างเป็นแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟสำหรับสร้างค่าพารามิเตอร์ของตัวเข้ารหัสเสียง STRAIGHT ที่สอดคล้องกับแบบจำลองดังกล่าว ในวิทยานิพนธ์นี้ได้นำเสนอขั้นตอนวิธีในการปรับแนวเวลาของค่าพารามิเตอร์ที่สร้างขึ้นมาจากการใช้สองแบบจำลอง 2) เสนอการปรับเปลี่ยนค่าคุณลักษณะส่วนรับเข้าของโครงข่ายประสาทเทียมแบบลึกที่ถูกใช้ในการสร้างค่าพารามิเตอร์ของตัวเข้ารหัสเสียง STRAIGHT จากเดิมที่ใช้ค่าคุณลักษณะทางบริบท เป็นแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟที่เป็นผลลัพธ์จากต้นไม้ตัดสินใจที่ใช้ในการจัดกลุ่มบริบท 3) นำเสนอวิธีการนอร์มัลไลเซชันค่าคุณลักษณะส่วนส่งออกของแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมแบบลึก ที่ใช้ค่ากลาง และค่าความแปรปรวนจากแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟที่เป็นผลลัพธ์จากต้นไม้ตัดสินใจ ในการทดสอบได้ทำการทดสอบ 2 รูปแบบ คือ 1) การทดสอบปรนัยที่ใช้ตัวชี้วัดค่าความเพี้ยนของเซปตรัลในระดับเมลของค่าสัมประสิทธิ์เมลเคปสตรัม (MGC_MCD) ค่าความเพี้ยนของเซปตรัลในระดับเมลของค่าแถบคลื่นความถี่ของความไม่เป็นคาบ (BAP_MCD) ความไม่สอดคล้องกันของสถานะความก้องของเสียง (LF0_UVU) และความผิดพลาดกำลังสองเฉลี่ยของค่าความถี่มูลฐาน (LF0_RMSE) 2) การทดสอบอัตนัยที่ใช้ผู้ทดสอบ 9 คน โดยวัดในด้านของความชัดเจน และความเป็นธรรมชาติของเสียงสังเคราะห์ ผลการทดสอบปรนัยการใช้แนวคิดที่ 2 และ 3 กับแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมแบบลึก สามารถสังเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ของตัวเข้ารหัสเสียง STRAIGHT ได้ใกล้เคียงกับเสียงต้นฉบับมากกว่าการใช้แนวคิดที่ 1 กับแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟ และแบบจำลองดั้งเดิมทั้งในส่วนของแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟ และแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมแบบลึก สำหรับในการทดสอบอัตนัยพบว่าการใช้แนวคิดที่ 1 กับแบบจำลองฮิดเดนมาร์คอฟสามารถสังเคราะห์ค่าคุณลักษณะที่มีความเป็นธรรมชาติ และชัดเจนมากกว่าการใช้แนวคิดอื่น และแบบจำลองดั้งเดิมทั้งสองแบบจำลอง


แบบจำลองการสูญหายของการแพร่กระจายในมุมอับสายตาสำหรับมาตรฐานไอทริปเปิ้ลอี 802.11 พี, สัญชัย จักรธีรังกูร Jan 2017

แบบจำลองการสูญหายของการแพร่กระจายในมุมอับสายตาสำหรับมาตรฐานไอทริปเปิ้ลอี 802.11 พี, สัญชัย จักรธีรังกูร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เครือข่ายแอดฮอกสำหรับยานพาหนะถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพการคมนาคมทางถนน ไอทริปเปิ้ลอี 802.11 พีเป็นมาตรฐานสำหรับการสื่อสารระหว่างยานพาหนะ ซึ่งจะทำให้เกิดแอพพลิเคชันของยานพาหนะที่เชื่อมต่อกัน หนึ่งในแอพพลิเคชันคือแอพพลิเคชันเพื่อความปลอดภัย ที่จะสามารถลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อการสื่อสารเกิดขึ้นที่บริเวณมุมอับสายตา ประสิทธิภาพของการสื่อสารอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะนำมาซึ่งการลดลงของประสิทธิภาพของแอพพลิเคชัน หลังจากการสร้างแอพพลิเคชัน และโปรโตคอลแล้ว ประสิทธิภาพจะต้องถูกประเมินด้วย โปรแกรมจำลองเครือข่ายเป็นหนึ่งในวิธีสำหรับการประเมินประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแบบจำลองการสูญหายของการแพร่กระจายที่สามารถแสดงคุณลักษณะของการสื่อสารที่บริเวณมุมอับสายตาได้ใกล้เคียงกับการทดลองจริง ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงเสนอแบบจำลองการสูญหายของการแพร่กระจายในมุมอับสายตาสำหรับมาตรฐานไอทริปเปิ้ลอี 802.11 พี ระยะทางที่สั้นที่สุดถูกใช้เป็นตัวประกอบหลักในแบบจำลอง นอกจากนั้น ยังมีตัวประกอบที่ใช้สำหรับปรับปริมาณการกีดขวางในแบบจำลองได้อีกด้วย การทดลองจริงจำนวนมากได้ทำขึ้นเพื่อประเมินแบบจำลอง ผลการทดลองแสดงว่าแบบจำลองที่เสนอสามารถแสดงคุณลักษณะของการสื่อสารในการทดลองจริงได้อย่างใกล้เคียง แบบจำลองสำหรับมุมอับสายตาสามารถนำไปใช้จำลองในโปรแกรมจำลองเครือข่ายได้อย่างสมจริง


การแปลงเว็บแอปพลิเคชันบนพื้นฐานจาวาสคริปต์ให้เป็นเดสก์ท็อปข้ามแพลตฟอร์มด้วยอิเล็กตรอน, กิตติ เกร็ดพัฒนกุล Jan 2017

การแปลงเว็บแอปพลิเคชันบนพื้นฐานจาวาสคริปต์ให้เป็นเดสก์ท็อปข้ามแพลตฟอร์มด้วยอิเล็กตรอน, กิตติ เกร็ดพัฒนกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีหลายแนวทางได้เกิดขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนแอปพลิเคชันที่มีอยู่ไปสู่โปรแกรมที่มีฐานร่วมกัน ในบรรดาแนวทางต่างๆ อิเล็กตรอนเป็นกรอบงานหนึ่งที่แพร่หลายรู้จักกันดีสำหรับนักพัฒนาเว็บเพื่อใช้สร้างเดสก์ท็อปแอปลิเคชันข้ามแพลตฟอร์ม ด้วยเว็บเทคโนโลยีต่างๆ ที่คุ้นเคย ได้แก่ เอชทีเอ็มแอล ซีเอสเอส และจาวาสคริปต์ งานวิจัยนี้จึงได้นำเสนอแนวทางสำหรับการแปลงเว็บแอปพลิเคชันที่พัฒนาด้วยจาวาสคริปต์ให้เป็นเดสก์ท็อปแอปพลิเคชันที่สามารถประมวลผลได้บนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ แม็คโอเอส และลินุกซ์ เดสก์ท็อปแอปพลิเคชันที่เป็นผลลัพธ์จากการแปลงจะยังคงประกอบด้วยซอร์สโค้ดชุดเดิมที่สามารถพัฒนาได้ต่อไป


การวิเคราะห์ผลกระทบอินสแตนซ์ฐานข้อมูลจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้าของความต้องการเชิงฟังก์ชัน, กฤษฎา แก่นเฉลียว Jan 2017

การวิเคราะห์ผลกระทบอินสแตนซ์ฐานข้อมูลจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้าของความต้องการเชิงฟังก์ชัน, กฤษฎา แก่นเฉลียว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความต้องการเชิงฟังก์ชันถูกนำมากำหนดฟังก์ชันการทำงานของซอฟต์แวร์ ซึ่งความต้องการดังกล่าวสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกช่วงของการพัฒนาซอฟต์แวร์ บางฟังก์ชันสัมพันธ์ฐานข้อมูล หากข้อมูลนำเข้าของฟังก์ชันเกิดการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบไปยังสคีมาฐานข้อมูล เมื่อสคีมาฐานข้อมูลได้รับผลกระทบอาจจะเกิดผลกระทบกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลด้วย ในการทดสอบฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล กรณีทดสอบจะถูกสร้างขึ้นโดยมีรายการข้อมูลนำเข้าเป็นไปตามฟังก์ชัน และมีค่าข้อมูลทดสอบที่มาจากอินสแตนซ์ฐานข้อมูล และตารางการตามรอยจะถูกนำมาใช้เพื่อบอกความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการเชิงฟังก์ชันกับกรณีทดสอบ ดังนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้าข้องความต้องการเชิงฟังก์ชัน จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ผลกระทบต่อสคีมาฐานข้อมูล อินสแตนซ์ฐานข้อมูล ความต้องการเชิงฟังก์ชัน กรณีทดสอบ และตารางการตามรอยความต้องการ วิทยานิพนธ์จึงเสนอวิธีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสคีมาฐานข้อมูล อินสแตนซ์ฐานข้อมูล ความต้องการเชิงฟังก์ชัน กรณีทดสอบ และตารางการตามรอยความต้องการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้าของความต้องการเชิงฟังก์ชัน 3 ประเภทคือ เพิ่ม ลบ แก้ไข โดยผู้วิจัยได้พัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการวิเคราะห์ผลกระทบตามที่นำเสนอ โดยเครื่องมือมีความสามารถนำเข้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถร้องขอเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้าของความต้องการเชิงฟังก์ชัน ซึ่งเครื่องมือสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและสามารถปรับปรุงสิ่งที่กระทบได้อย่างอัตโนมัติ สุดท้ายเครื่องมือถูกนำไปทดสอบความถูกต้องกับกรณีศึกษาที่แบ่งการทดสอบออกเป็น 4 กรณี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องมือสามารถวิเคราะห์ผลกระทบและปรับปรุงสิ่งที่ได้รับผลกระทบได้อย่างถูกต้อง


การแปลงไทมด์เพทริเน็ตให้เป็นอีเวนท์บีโดยอัตโนมัติสำหรับการทวนสอบเชิงรูปนัย, ชลิกา ศักดิ์สุภาวัฒนกุล Jan 2017

การแปลงไทมด์เพทริเน็ตให้เป็นอีเวนท์บีโดยอัตโนมัติสำหรับการทวนสอบเชิงรูปนัย, ชลิกา ศักดิ์สุภาวัฒนกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

โดยทั่วไปการออกแบบซอฟต์แวร์เป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ความถูกต้องของพฤติกรรมของระบบซอฟต์แวร์แบบเรียลไทม์มีความสัมพันธ์กับเวลาของการทำงานของระบบ หากพบข้อผิดพลาดหลังจากการพัฒนาซอฟต์แวร์จะทำให้มีผลกระทบที่ต้องสูญเสียอย่างมาก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำการทวนสอบแบบจำลองของการออกแบบ เพื่อหาจุดผิดพลาดก่อนที่จะลงเมื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ วิทยานิพนธ์นี้จึงนำเสนอทางเลือกในการทวนสอบเชิงรูปนัยโดยใช้ไทมด์เพทริเน็ตในการสร้างแบบจำลองเชิงรูปนัย ซึ่งในปฏิบัติแล้วไทมด์เพทริเน็ตเป็นวิธีการเชิงรูปนัยที่ใช้สัญลักษณ์กราฟิกสำหรับจำลองโครงสร้างของระบบ ซึ่งทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมของระบบได้ง่าย แต่ไทมด์เพทริเน็ตยังขาดการแสดงส่วนของข้อมูลที่ใช้ภายในระบบและยังไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆ หากระบบมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมาก อาจจะเกิดปัญหาการระบบของสถานะได้ State explosion อีกทางเลือกของวิธีการเชิงรูปนัยพบว่าอีเวนท์บี เป็นวิธีการเชิงรูปนัยที่นิยมสำหรับการทวนสอบการทำงานของระบบโดยสนใจข้อมูลภายในระบบอีกทั้งสนับสนุนการปรับแต่งของระบบซอฟต์แวร์แบบเรียลไทม์ โดยใช้วิธีการพิสูจน์ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการระเบิดของสถานะในระหว่างการทวนสอบ อย่างไรก็ตามการเขียนอีเวนท์บีไม่ง่ายนักเนื่องจากต้องมีทักษะทางด้านคณิตศาสตร์สำหรับการเขียนอีเวนท์บีเพื่อทวนสอบระบบ งานวิทยานิพนธ์นี้จึงเสนอเครื่องมือการแปลงไทมด์เพทริเน็ตให้เป็นอีเวนท์บีโดยอัตโนมัติสำหรับการทวนสอบเชิงรูปนัย โดยสนใจแบบจำลองไทมด์เพทริเน็ตที่มีค่าน้ำหนักโทเค็นที่มีค่าเท่ากับ 1 เท่านั้น และกฎการแปลงส่วนประกอบไทมด์เพทริเน็ตให้เป็นอีเวนท์บีทั้งหมด 7 ข้อ ข้อมูลนำเข้าเครื่องมือการแปลงจะเป็นแบบจำลองไทมด์เพทริเน็ตที่อยู่ในรูปแบบแฟ้มเอกสารเอกซ์เอ็มแอล และเครื่องมือจะดำเนินการแปลงโดยใช้กฎการแปลงที่ได้นิยามขึ้นมา เพื่อแปลงแบบจำลองไทมด์เพทริเน็ตให้เป็นอีเวนท์บีได้โดยอัตโนมัติ เมื่อได้ผลลัพธ์การแปลงอีเวนท์บีเรียบร้อยแล้ว จะดำเนินการทวนสอบด้วยเครื่องมือโรดิน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของวิธีการแปลงโดยใช้เครื่องมือการแปลงและทวนสอบการทำงานของระบบ


การตรวจจับการเรียกใช้เว็บเซอร์วิซสำหรับทดสอบดับเบิลยูเอส-บีเพล, ณัฐพงศ์ เอื้อเพิ่มเกียรติ Jan 2017

การตรวจจับการเรียกใช้เว็บเซอร์วิซสำหรับทดสอบดับเบิลยูเอส-บีเพล, ณัฐพงศ์ เอื้อเพิ่มเกียรติ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ดับเบิลยูเอส-บีเพล เป็นภาษาที่อนุญาตให้ผู้ออกแบบกระบวนการทางธุรกิจ นำเว็บเซอร์วิซที่มีมาทำงานร่วมกับกระบวนการทางธุรกิจขององค์กร โดยเรียกผ่านพาร์ทเนอร์ลิงก์ที่เป็นแท็กเชื่อมโยงการเรียกใช้งานเว็บเซอร์วิซ เมื่อออกแบบกระบวนการทางธุรกิจโดยใช้ ดับเบิลยูเอส-บีเพล แล้ว ผู้ทดสอบควรมีการทดสอบการทำงานทุกเว็บเซอร์วิซ ที่อยู่ภายใต้ดับเบิลยูเอส-บีเพล ซึ่งความท้าทายของการทดสอบเว็บเซอร์วิซคือ การตามรอยข้อความที่รับส่งระหว่างดับเบิลยูเอส-บีเพลกับเว็บเซอร์วิซ และทดสอบทุกเว็บเซอร์วิซที่อยู่ภายใต้ดับเบิลยูเอส-บีเพล วิทยานิพนธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอวิธีการสำหรับตรวจจับการเรียกใช้เว็บเซอร์วิซสำหรับทดสอบดับเบิลยูเอส-บีเพล โดยมุ่งเน้นการตรวจจับข้อความที่รับส่งระหว่างเว็บเซอร์วิซ โดยใช้วิธีการแทรกรหัสต้นทาง และสามารถแสดงรายการเว็บเซอร์วิซที่ไม่ถูกทดสอบให้ผู้ทดสอบทราบได้ วิธีการที่นำเสนอนี้ยังครอบคลุมถึงการสร้างกรณีทดสอบเพิ่มเติมสำหรับเว็บเซอร์วิซที่ไม่ถูกทดสอบภายใต้ข้อจำกัดบางประการได้ วิทยานิพนธ์นี้ยังนำวิธีการที่เสนอมาพัฒนาเป็นเครื่องมือสำหรับตรวจจับการเรียกใช้เว็บเซอร์วิซสำหรับทดสอบดับเบิลยูเอส-บีเพล โดยเครื่องมือจะสามารถอ่านไฟล์ดับเบิลยูเอส-บีเพล เพื่อจัดเก็บเส้นทางการไหลและแทรกรหัสต้นทางได้ สามารถจัดเก็บและแสดงข้อความที่รับส่งระหว่างเว็บเซอร์วิซกับดับเบิลยูเอส-บีเพลได้ สามารถแสดงเว็บเซอร์วิซที่ไม่ถูกทดสอบให้ผู้ทดสอบทราบได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างกรณีทดสอบเพิ่มเติมสำหรับเว็บเซอร์วิซที่ไม่ถูกทดสอบภายใต้ข้อจำกัดที่ระบุไว้ได้ เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นนี้ได้นำไปทดสอบกับกรณีศึกษา 3 กรณีศึกษา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ เครื่องมือสามารถจัดเก็บข้อมูลนำเข้าและข้อมูลส่งออกที่รับส่งระหว่างเว็บเซอร์วิซได้ สามารถแสดงรายการเว็บเซอร์วิซที่ไม่ถูกทดสอบ และสามารถสร้างกรณีทดสอบเพิ่มเติม ตามที่คาดหวังได้ถูกต้อง


ระบบจัดเก็บชิ้นส่วนโครงแบบของทรัพยากรการบริการไอทีโดยใช้อาร์ดีเอฟ, นราทิช ณ ลำปาง Jan 2017

ระบบจัดเก็บชิ้นส่วนโครงแบบของทรัพยากรการบริการไอทีโดยใช้อาร์ดีเอฟ, นราทิช ณ ลำปาง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้นำเสนอทางเลือกของการจัดเก็บชิ้นส่วนโครงแบบของทรัพยากรการบริการไอที เพื่อให้การจัดการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้กับการจัดการโครงแบบ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ที่เหมาะสมและถูกต้องเพื่อการตัดสินใจ โดยนำเสนอการเก็บข้อมูลลงฐานความรู้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหาเชิงกลยุทธ์ ซึ่งโครงร่างออนโทโลยีได้รับการออกแบบเพื่อพัฒนาโครงแบบของทรัพยากรการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของอาร์ดีเอฟเอ็นทริปเปิล คลาสและลำดับชั้นของโครงร่างถูกออกแบบให้แสดงความสัมพันธ์ของซีไอได้อย่างเหมาะสม การออกแบบการสืบค้นใช้ภาษาสปาควอลเพื่อรองรับบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การคำนวณงบประมาณในการบำรุงรักษาประจำปี เป็นต้น โปรแกรมโพรเทเจถูกเลือกมาเพื่อใช้ในการออกแบบโครงร่างออนโทโลยี จากนั้นพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันด้วยภาษาจาวาที่ใช้กรอบงานของจีนาผ่านทางอาปาเชจีนาฟุเซกิเซิร์ฟเวอร์ และเว็บแอปพลิเคชันสามารถทำงานได้สำเร็จตามแนวทางการใช้ออนโทโลยี


Robust Scale-Invariant Normalization And Similarity Measurement For Time Series Data, Ariyawat Chonbodeechalermroong Jan 2017

Robust Scale-Invariant Normalization And Similarity Measurement For Time Series Data, Ariyawat Chonbodeechalermroong

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Classification is one of the most prevalent tasks in time series mining. Dynamic Time Warping and Longest Common Subsequence are well-known and widely used algorithms to measure similarity between two time series sequences using non-linear alignment. However, these algorithms work best when the time series pair has similar amplitude scaling. Unfortunately, sensor data and most real-world time series data usually contain noise, missing values, outlier, and variability or scaling in both axes, which is not suitable for the widely used Z-normalization. This research introduces the Local Feature Normalization (LFN) and its Local Scaling Feature (LSF), which can be used to …


Developing An Area Classification System From Mobile Phone Usage Data, Naruethai Thongphasook Jan 2017

Developing An Area Classification System From Mobile Phone Usage Data, Naruethai Thongphasook

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Since human activities are vary by time and place, there have been many attempts to extract social behavior in spatial studies which included area use in the city. This information helps gaining advantages in city and facilities planning. Nowadays, many people carry mobile phone with them for communication purpose. This motivates us to analyze mobile phone usage in different area types. This thesis proposes method of an analysis for area use classification from mobile phone usage pattern. CDR data was used to define mobile phone usage pattern by hour from 1:00 to 24:00 and day of week from Monday to …


Automatic 3d Hair Model From Small Set Of Images, Nuttapon Vanakittistien Jan 2017

Automatic 3d Hair Model From Small Set Of Images, Nuttapon Vanakittistien

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

We present a system for creating hair model that matches a user's hairstyle from images. The model consists of guide hair strands and can be used in a real-time hair simulator. Our goal differs from most previous work which aims to create realistic high resolution hair for off-line applications or create mesh of the exterior of the hair volume for image manipulation. Our primary aim is for user to be able to put his/her hairstyle into game or other real-time applications. By taking photos in 8 views of the user's head using a smart phone camera and segmenting images with …


Mesh-Based Multi-View Normal Integration With Energy Minimization Using Surface Reflectance Properties, Wichayut Eaksarayut Jan 2017

Mesh-Based Multi-View Normal Integration With Energy Minimization Using Surface Reflectance Properties, Wichayut Eaksarayut

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

We propose a technique to reconstruct a general 3D object using surface reflectance information from multiple viewpoints. Our core optimization framework uses multi-view normal integration, which can recovers water-tight surface of the object iteratively in a coarse to fine manner. The integration requires normal vector field from multiple viewpoints, which we can derive from surface reflectance. We then handle the topological changes if self-intersection occurs from the optimization. We also employ the idea of multi-resolution and weighted data heuristic which helps dealing with noisy data and improves both accuracy and optimization time. Our experiment shows that the framework is able …


Efficient And Robust Grasp Planning Based On Independent Contact Region And Caging, Teesit Makapunyo Jan 2017

Efficient And Robust Grasp Planning Based On Independent Contact Region And Caging, Teesit Makapunyo

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

A conventional way to find a proper grasp to grab and hold any object is to measure its stability which usually is based on physical constraint called force-closure. This execution works well from the theoretical point of view but often fails on an actual robot due to many reasons such as intrinsic errors in robot's system and a disparity between real and simulated physics. Several research works introduced methods to alleviate those issues and increase the success rate of grasping for a real robot. Caging and Independent Contact Region are ones of them. In this work, we investigate a method …