Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Education Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

PDF

Theses/Dissertations

Early Childhood Education

2017

Chulalongkorn University

Articles 1 - 8 of 8

Full-Text Articles in Education

สภาพและปัญหาของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษา, จิตโสภิณ โสหา Jan 2017

สภาพและปัญหาของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษา, จิตโสภิณ โสหา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพและปัญหาของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาใน 3 ด้าน ได้แก่ การวางแผนการดำเนินงานการสร้างรอยเชื่อมต่อ การสร้างความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการสร้างรอยเชื่อมต่อ และการส่งเสริมความพร้อมทางการเรียน ตัวอย่างคือ ครูประจำชั้นของเด็กอายุ 5 ถึง 6 ปี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 323 คน เขตกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาอยู่ในระดับมาก (x̅=3.99) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงสุดคือ การส่งเสริมความพร้อมทางการเรียน (x̅=4.26) รองลงมาคือ การวางแผนการดำเนินงานการสร้างรอยเชื่อมต่อ (x̅=3.91) และค่าเฉลี่ยคะแนนต่ำสุดคือ การสร้างความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการสร้างรอยเชื่อมต่อ (x̅=3.81) ตามลำดับ 2. ปัญหาของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนการดำเนินงานการสร้างรอยเชื่อมต่อพบว่า (1) การไม่เชื่อมต่อระหว่างหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย (2) การมีนโยบายที่เร่งให้เด็กอ่านออกเขียนได้ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และการวัดประเมินผล ด้านการสร้างความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการสร้างรอยเชื่อมต่อพบว่า (1) การขาดความเข้าใจในการเรียนการสอนระดับอนุบาล พัฒนาการและการเรียนรู้ของผู้บริหาร ครูประถมศึกษา และผู้ปกครอง (2) การขาดโอกาสในการสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันของครูอนุบาลและครูประถมศึกษา และด้านส่งเสริมความพร้อมทางการเรียนพบว่า (1) ความแตกต่างของเด็กและครอบครัวเป็นรายบุคคลที่ส่งผลต่อความพร้อมของเด็ก (2) ผู้ปกครองมีความคาดหวัง และความกังวลใจในการสอบเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (3) ครูประถมศึกษาปีที่ 1 มีความคาดหวังเกี่ยวกับความพร้อมด้านวิชาการที่เกินกว่าพัฒนาการของเด็ก


บทบาทครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, เอมสินธุ รามสูต Jan 2017

บทบาทครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, เอมสินธุ รามสูต

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใน 3 ด้าน ได้แก่ การเป็นแบบอย่างทางสุนทรียะการเป็นผู้จัดบริบท และการเป็นผู้จัดกิจกรรม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูอนุบาล จำนวน 400 คน ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จาก 4 ภูมิภาค เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต และแบบสำรวจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
ครูอนุบาลมีบทบาทในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กอนุบาลอยู่ในระดับมาก โดยการเป็นแบบอย่างทางสุนทรียะ มีค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติสูงที่สุด รองลงมา คือ การเป็นผู้จัดกิจกรรม และการเป็นผู้จัดบริบทตามลำดับ เมื่อพิจารณารายละเอียดแต่ละด้าน พบว่า
1) ด้านการเป็นแบบอย่างทางสุนทรียะ ครูอนุบาลเป็นแบบอย่างทางความคิดความรู้สึก โดยการฟังเพลง ชมวิวทิวทัศน์รอบตัว มองเห็นถึงความแตกต่างของเด็กรายบุคคล และครูอนุบาลเป็นแบบอย่างทางการแสดงออก โดยการแต่งกายเรียบร้อยและถูกต้องตามกาลเทศะ มีอารมณ์ขัน ร่าเริง นำพาให้เด็กก้าวข้ามสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดด้วยใจที่สงบเย็น สื่อสารผ่านพูดด้วยน้ำเสียงธรรมชาติแต่มักใช้เสียงดังเมื่อต้องการควบคุมชั้นเรียน
2) ด้านการเป็นผู้จัดบริบท ครูอนุบาลจัดสภาพแวดล้อมให้มีสุนทรียะ โดยตกแต่งห้องเรียนให้สอดคล้องกับเนื้อหาหรือความสนใจของเด็ก ด้วยอุปกรณ์ศิลปะ ผลงานเด็ก และของใช้มากที่สุด รวมถึงจัดพื้นที่โล่งกว้างบริเวณตรงกลางของห้องเรียนเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่หลากหลาย และครูอนุบาลจัดเตรียมสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ โดยใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ตามที่โรงเรียนจัดสรรให้ ซึ่งยังขาดคุณภาพและความหลากหลายเนื่องจากติดปัญหาด้านงบประมาณและการประยุกต์ใช้สื่อจากท้องถิ่น
3) ด้านการเป็นผู้จัดกิจกรรม ครูอนุบาลจัดประสบการณ์ที่หลากหลาย โดยการพาเด็กออกไปเดินเล่นชมธรรมชาตินอกห้องเรียน พบข้อจำกัดในการจัดกิจกรรมศิลปะแขนงต่าง ๆ ที่หลากหลาย เนื่องจากขาดประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมศิลปะ รวมทั้งไม่มีเวลาในการจัดเตรียมสื่อ และครูอนุบาลตอบสนองต่อการแสดงออกของเด็ก โดยการชื่นชมและให้กำลังใจเด็กที่แสดงออกหรือสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่าง แต่ยังขาดการประเมินพัฒนาการทางสุนทรียะอย่างเป็นระบบ ไม่พบการจดบันทึกพฤติกรรมหรือคำพูดเด็กขณะทำกิจกรรม


บทบาทครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, กมลทิพย์ นิ้มคธาวุธ Jan 2017

บทบาทครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, กมลทิพย์ นิ้มคธาวุธ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาบทบาทครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาของเด็กเพื่อเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใน 3 ประเด็น คือ 1) การส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ 2) การทำงานร่วมกันของครู และ3) การส่งเสริมความร่วมมือกับผู้ปกครอง ตัวอย่าง ได้แก่ ครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 สังกัด ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานการศึกษากรุงเทพมหานคร และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 337 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัยเป็นดังนี้ 1) การส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ พบว่า ด้านการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการมาโรงเรียน ครูจัดกิจกรรมแก่เด็กเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับครูและโรงเรียน และปรับเปลี่ยนแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเด็กในปีการศึกษานั้น คิดเป็นร้อยละ 49.3 เท่ากัน ครูจัดสภาพแวดล้อมห้องเรียนให้มีพื้นที่มุมหนังสือ คิดเป็นร้อยละ 76.3 และปรับห้องเรียนตามลักษณะของกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 70.6 ส่วนด้านการส่งเสริมการปรับตัว ครูส่งเสริมพัฒนาการด้านการพึ่งพาตนเอง เรื่องการดูแลความสะอาดของร่างกายมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 93.5 ซึ่งสูงกว่าพัฒนาการด้านอื่น ๆ และใช้สื่อประเภทนิทานเพื่อพัฒนาเด็กมากกว่าวิธีอื่น 2) การทำงานร่วมกันของครู พบว่า ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล ครูแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการใช้แบบฝึกหัดใบงานและใบความรู้ คิดเป็นร้อยละ 23.5 และพัฒนาการทุกด้านของเด็ก คิดเป็นร้อยละ 37.1 ส่วนด้านการวางแผนการทำงาน ครูใช้การประชุมร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ 26.2 พัฒนาหลักสูตรรอยเชื่อมต่อโดยร่วมกันกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลเด็ก คิดเป็นร้อยละ 16.2 และประเมินผลของการทำงานโดยคำนึงถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าของเด็กมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 11 3) การส่งเสริมความร่วมมือกับผู้ปกครอง พบว่า ด้านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ใช้การสื่อสารกับผู้ปกครองผ่านการโทรศัพท์ คิดเป็นร้อยละ 72.7 ครูแลกเปลี่ยนข้อมูลพฤติกรรมที่ต้องการความเอาใจใส่ คิดเป็นร้อยละ 78.3 ส่วนด้านการสร้างความเป็นหุ้นส่วน ครูสื่อสารกับผู้ปกครองเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการตามวัย คิดเป็นร้อยละ 65 และเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ของเด็ก โดยการเป็นผู้ช่วยสอนการบ้านเด็ก คิดเป็นร้อยละ 68


การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาและการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารของเด็กอนุบาล, กัญจนา ศิลปกิจยาน Jan 2017

การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาและการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารของเด็กอนุบาล, กัญจนา ศิลปกิจยาน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารของเด็กอนุบาล และ 2) ศึกษาผลการใช้กระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาและการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารของเด็กอนุบาล ตัวอย่าง คือ เด็กอนุบาลชั้นปีที่ 2 ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 32 คน การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนฯ ระยะที่ 2 การนำร่องกระบวนการเรียนการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้น และระยะที่ 3 การทดลองใช้กระบวนการเรียนการสอนฯ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความสามารถในการสื่อสาร และแบบบันทึกพฤติกรรมการสื่อสาร วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. กระบวนการเรียนการสอนฯ มีองค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ระยะเวลาการใช้กระบวนการ และการประเมินผล โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน คือ ขั้นเสนอปัญหา ขั้นสืบสอบ ขั้นเชื่อมโยงความรู้ และขั้นประมวลผลการเรียนรู้ 2. ผลการทดลองใช้กระบวนการเรียนการสอนฯ สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการสื่อสารหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และระหว่างการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยด้านที่สูงที่สุด คือ การเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ รองลงมา คือ การสร้างสัญลักษณ์ และสุดท้าย คือ การสนทนาโต้ตอบ ในส่วนของข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า การใช้สื่อที่เป็นรูปธรรม การใช้เทคนิคต่าง ๆ และการใช้กิจกรรมกลุ่ม ทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นในการสนทนาโต้ตอบ การลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เด็กสามารถเก็บรายละเอียดของเหตุการณ์เพื่อใช้ต่อเติมในการเล่าเรื่องได้ดีขึ้น นอกจากนี้เด็กใช้สัญลักษณ์ได้ดีขึ้น โดยช่วงแรกเป็นการวาดภาพที่สะท้อนถึงสิ่งที่เรียนรู้ ต่อมามีการเพิ่มเติมรายละเอียดและบริบทของภาพ รวมทั้งมีการนำเสนอสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้


การวิเคราะห์แนวปฏิบัติของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล, พนิตกานต์ อรรถสุขวัฒนา Jan 2017

การวิเคราะห์แนวปฏิบัติของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล, พนิตกานต์ อรรถสุขวัฒนา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ วิเคราะห์แนวปฏิบัติของครูในการสร้างรอยเชื่อมต่อจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาลใน 2 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ และ การสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก ครอบครัว และชุมชน ตัวอย่าง ได้แก่ ครูอนุบาลที่สอนเด็กวัย 3 ปี จำนวน 315 คน จากจำนวน 3 สังกัด ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละและวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยเป็นดังนี้ 1) การส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ พบว่า ในด้านการจัดการเรียนรู้ โรงเรียนอนุบาลมีนโยบายการวางแผนกิจกรรมหรือจัดหลักสูตรในประเด็นการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เด็กปรับตัวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 70.7 มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการจัดการเรียนรู้โดยมีแผนกิจกรรมเพื่อส่งเสริมรอยเชื่อมต่อตลอดปีการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 58.6 ครูอนุบาลเปิดโอกาสให้เด็กทำกิจกรรมอย่างเหมาะสมตามเวลา คิดเป็นร้อยละ 87.6 และใช้การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้โดยศึกษาเด็กเป็นรายบุคคลด้วยวิธีการสังเกตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.9 ในด้านการเสริมสร้างทักษะการปรับตัว ครูอนุบาลสร้างทัศนคติที่ดีต่อการมาโรงเรียน โดยจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยและคล้ายบ้านมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 75.2 ครูอนุบาลจัดกิจกรรมส่งเสริมความพร้อม โดยส่งเสริมให้เด็กมีอิสระในการทำกิจกรรมผ่านการเล่น คิดเป็นร้อยละ 87 โดยส่งเสริมความพร้อมด้านร่างกายในเรื่อง การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 91.5 ด้านอารมณ์และสังคม ในเรื่องการฝึกฝนให้เด็กรู้จักการทำกิจกรรมต่าง ๆ คิดเป็นร้อยละ 91.2 ด้านสติปัญญา ในเรื่องการจัดกิจกรรมให้เด็กได้สังเกตและสำรวจสิ่งต่างๆ คิดเป็นร้อยละ 91.2 ด้านภาษาในเรื่องการพูดและการสื่อสารผ่านการเล่านิทาน คิดเป็นร้อยละ 91.9 และในด้านการจัดสภาพแวดล้อมทำให้เด็กมีส่วนร่วมและสนใจ ครูอนุบาลจัดสภาพแวดล้อมและเตรียมอุปกรณ์เพื่อให้เด็กช่วยเหลือตนเองมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 83.4 2) การสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก ครอบครัวและชุมชน พบว่า ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก ครูอนุบาลสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและสร้างความคุ้นเคยกับเด็กเป็นรายบุคคล คิดเป็นร้อยละ 86.6 ในประเด็นการรับมือกับความรู้สึกแยกจากของเด็ก ครูอนุบาลใช้การรับมือกับเด็กเป็นรายบุคคล คิดเป็นร้อยละ 84 ส่วนในประเด็นการสื่อสารที่หลากหลายร่วมกันในทางบวก ครูอนุบาลใช้การสนทนารายกลุ่มในการพูดคุยสื่อสารกับเด็กมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 77.2 และในด้านความสัมพันธ์ระหว่างครูกับครอบครัวเด็ก ครูอนุบาลใช้การประชุมผู้ปกครองในการแลกเปลี่ยนและส่งต่อข้อมูลเด็กมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 86.6 การสร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างครูกับผู้ปกครองใช้การพูดคุย คิดเป็นร้อยละ 89.3 …


การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีตามแนวคิดเครื่องมือทางปัญญาและการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างเอ็กเซ็กคิวทีฟฟังก์ชันส์ของเด็กอนุบาล, ดุษฎี อุปการ Jan 2017

การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีตามแนวคิดเครื่องมือทางปัญญาและการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างเอ็กเซ็กคิวทีฟฟังก์ชันส์ของเด็กอนุบาล, ดุษฎี อุปการ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีตามแนวคิดเครื่องมือทางปัญญาและการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างเอ็กเซ็กคิวทีฟฟังก์ชันส์ของเด็กอนุบาล และ 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีฯ การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีฯ 2) การนำร่องกระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีฯ และ 3) การศึกษาผลของการใช้กระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กอนุบาลชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านน้ำพี้มิตรภาพที่ 214 จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 35 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 18 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 17 คน ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย 16 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบประเมินหัวใจและดอกไม้ 2) แบบประเมินเอ็กเซ็กคิวทีฟฟังก์ชันส์ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.96 และ 3) แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมที่สะท้อนเอ็กเซ็กคิวทีฟฟังก์ชันส์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม และขนาดอิทธิพล ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. กระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมเสรีตามแนวคิดเครื่องมือทางปัญญาและการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างเอ็กเซ็กคิวทีฟฟังก์ชันส์ของเด็กอนุบาล ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ แนวคิดพื้นฐาน หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการเรียนการสอน และการประเมิน โดยมีหลักการ 5 ประการ ได้แก่ 1) พัฒนาการและการเรียนรู้เกิดขึ้นในบริบทของการอยู่ร่วมกันในสังคม 2) อารมณ์และความสนใจจากภายในที่มีความหมายต่อตัวเด็กส่งผลต่อการเรียนรู้ 3) การเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายและการทำงานของสมองผ่านการลงมือปฏิบัติเกิดเป็นพัฒนาการ 4) กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นโดยความสนใจจากภายใน มุ่งจุดสนใจ รับรู้ ลงมือปฏิบัติ จดจำ แล้วนำมาจัดระบบสร้างรูปแบบของตนเอง และ 5) ภาษาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนประสบการณ์ภายนอกสู่ความเข้าใจที่เกิดขึ้นภายใน ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นกระตุ้นสมอง 2) ขั้นหยุดคิดก่อนเล่น 3) ขั้นเล่นร่วมกัน และ …


บทบาทของผู้ปกครองในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลสู่โรงเรียนประถมศึกษา, พัชรัตน์ ลออปักษา Jan 2017

บทบาทของผู้ปกครองในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลสู่โรงเรียนประถมศึกษา, พัชรัตน์ ลออปักษา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบทบาทของผู้ปกครองในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลสู่โรงเรียนประถมศึกษาใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมความพร้อมของเด็ก ด้านการสร้างความร่วมมือกับโรงเรียน และด้านการเตรียมความพร้อมของครอบครัว ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ปกครองของเด็กประถมศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 416 คน จากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองมีบทบาทในการสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลสู่โรงเรียนประถมศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปฏิบัติระดับมาก (X̄=3.93) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติสูงที่สุด คือ ด้านการเตรียมความพร้อมของครอบครัว (X̄=4.06) รองลงมา คือ ด้านการส่งเสริมความพร้อมของเด็ก (X̄=4.04) และ ด้านการสร้างความร่วมมือกับโรงเรียน (X̄=3.69) ตามลำดับ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองจำนวน 16 คน สรุปได้ ดังนี้ 1) ด้านการส่งเสริมความพร้อมของเด็ก พบว่า องค์ประกอบการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ผู้ปกครองส่งเสริมเด็กด้านทักษะการพึ่งพาตนเองด้วยการฝึกเด็กให้ช่วยเหลือตนเอง โดยอธิบายถึงความสำคัญให้เด็กเห็นความสำคัญก่อน (14 คน) และ องค์ประกอบการเรียนรู้ ผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับสังคมและสิ่งรอบตัวผ่านการพาเด็กไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมในช่วงวันหยุด (15 คน) 2) ด้านการสร้างความร่วมมือกับโรงเรียน พบว่า องค์ประกอบการมีส่วนร่วมกับโรงเรียน ผู้ปกครองสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยการขอช่องทางการติดต่อกับเพื่อนผู้ปกครอง และพบปะ พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน โดยใช้เวลาในช่วงเช้าที่ไปส่งเด็ก หรือรับเด็กตอนเย็นหลังเลิกเรียน (11คน) ผู้ปกครองคุยกับครูเกี่ยวกับพัฒนาการและวิธีการสอนเด็กในช่วงเช้าที่ไปส่งเด็ก หรือรับเด็กตอนเย็นหลังเลิกเรียน และแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับครูประจำชั้น ติดตามข้อมูลของโรงเรียนผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ สมุดจดการบ้าน และจดหมายของโรงเรียน (11 คน) และองค์ประกอบการสนับสนุนการเรียนรู้ ผู้ปกครองสนับสนุนการเรียนรู้ที่บ้านผ่านการจัดพื้นที่ให้เด็กทำงานตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว (16 คน) 3) ด้านการเตรียมความพร้อมของครอบครัว พบว่า องค์ประกอบการเตรียมพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองหาข้อมูลของโรงเรียนประถมศึกษาตั้งแต่เด็กอยู่ชั้นอนุบาล 2 ผ่านอินเตอร์เน็ต สอบถามจากคนใกล้ตัว และไปสำรวจโรงเรียนด้วยตนเองพร้อมกับเด็ก (13 คน) และองค์ประกอบการให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็กเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ซักถามเด็กช่วงเย็น และให้คำแนะนำแก่เด็ก …


บทบาทของผู้ปกครองในการเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล, สิริธิดา ชินแสงทิพย์ Jan 2017

บทบาทของผู้ปกครองในการเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล, สิริธิดา ชินแสงทิพย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์บทบาทของผู้ปกครองในการเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล ใน 2 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมความพร้อมและการปรับตัวของเด็ก และการมีส่วนร่วมกับโรงเรียน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 ปี จำนวน 352 คน ในโรงเรียนเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 สังกัด ได้แก่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 322 คน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 20 คน และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ การหาค่าเฉลี่ย การหาค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ผู้ปกครองมีบทบาทในการเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล อยู่ในระดับมาก โดยด้านการส่งเสริมความพร้อมและการปรับตัวของเด็กมีค่าเฉลี่ยการปฏิบัติสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการมีส่วนร่วมกับโรงเรียน ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ พบว่า ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการเลือกโรงเรียนใกล้บ้าน มีสถานที่ร่มรื่น และมีแนวคิดทางการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับธรรมชาติและวัยของเด็ก ในด้านส่งเสริมความพร้อมและการปรับตัวของเด็ก ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมเด็กก่อนเข้าโรงเรียนอนุบาล ในเรื่องการปรับตัวเข้ากับเพื่อน การควบคุมอารมณ์ การช่วยเหลือตนเอง โดยเตรียมเด็กให้มีความพร้อมในด้านร่างกายผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน มีการปรับตารางกิจวัตรประจำวันให้สอดคล้องกับโรงเรียนก่อนเปิดภาคเรียนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พาเด็กไปเยี่ยมชมโรงเรียน เล่านิทานและพูดคุยเกี่ยวกับโรงเรียนให้เด็กฟัง ส่วนด้านการมีส่วนร่วมกับโรงเรียน เมื่อเด็กเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย มั่นใจ และไว้วางใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในห้องเรียน