Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Arts and Humanities Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Fine Arts

Chulalongkorn University

2018

Articles 1 - 30 of 39

Full-Text Articles in Arts and Humanities

การสร้างอัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์มัลติแบรนด์ โดยใช้แนวคิดดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของไทย สำหรับผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นเอ็ม, ธโนทัย มงคลสินธุ์ Jan 2018

การสร้างอัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์มัลติแบรนด์ โดยใช้แนวคิดดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของไทย สำหรับผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นเอ็ม, ธโนทัย มงคลสินธุ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์มัลติแบรนด์ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นเอ็ม หรือมิลเลนเนียลเจอเนอเรชั่น หรือเจนเนอเรชั่นวาย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอำนาจในการซื้อมากที่สุดในขณะนี้ และเป็นเจนเนอเรชั่นแรกที่ได้รับการอบรมจากชั้นเรียนเกี่ยวกับแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เจนเนอเรชั่นนี้ให้ความสำคัญและนิยมเลือกใช้สินค้าภายใต้แนวคิดดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งปัจจุบันการตลาดกำลังจะก้าวเข้ามาสู่ยุค 4.0 เป็นยุคที่การให้คุณค่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการให้มูลค่า ซึ่งสัมพันธ์กับนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับประเทศไทย 4.0 ซึ่งเป็นโมเดลการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ประกอบด้วย 3 เสาหลักที่สําคัญ หนึ่งในนั้นคือ เสาหลักด้านวัฒนธรรม ที่มีกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะใช้องค์ประกอบของ 5 ดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของคนไทย เพื่อนําไปสู่ 5 เอฟโมเดล ที่หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมแฟชั่น งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นแนวทางการสร้างอัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์มัลติแบรนด์ โดยใช้แนวคิดดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของไทย สำหรับกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นเอ็ม โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสม ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นเอ็ม เพื่อให้ทราบแนวทางรูปแบบการดำเนินชีวิต ประเด็นความสนใจ พฤติกรรม บุคลิกภาพ และรูปแบบการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ และใช้วิธีการดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของไทย สไตล์แฟชั่นและองค์ประกอบหลักทางแฟชั่น โดยมีค่าดัชนีความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC) เท่ากับ 0.921 และ 0.941 มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นหรือครอนบาคอัลฟ่า (Cronbach's Alpha) อยู่ที่ 0.72 ผลของงานวิจัยนี้ พบว่าแนวทางการสร้างอัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์มัลติแบรนด์ โดยใช้แนวคิด 5 ดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของไทย สำหรับกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นเอ็ม สามารถสร้างอัตลักษณ์ตราสินค้าได้ 5 แบรนด์ ตามสไตล์แฟชั่น 5 สไตล์ และได้นำแนวทางดังกล่าวไปเป็นแนวทางในการออกแบบสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ต่อไป


การสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ที่สะท้อนถึงจริยธรรมทางการวิจัยนาฏยศิลป์, ลักขณา แสงแดง Jan 2018

การสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ที่สะท้อนถึงจริยธรรมทางการวิจัยนาฏยศิลป์, ลักขณา แสงแดง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่องการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ที่สะท้อนถึงจริยธรรมทางการวิจัยนาฏยศิลป์มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหารูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ และแนวความคิดที่ได้หลังจากการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ที่สะท้อนถึงจริยธรรมทางการวิจัยนาฏยศิลป์ โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยด้วยรูปแบบการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ และการวิจัยเชิงคุณภาพที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือที่ประกอบไปด้วย ข้อมูลทางเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนาฏยศิลป์ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยประสบการณ์ส่วนตัวของผู้วิจัย การสังเกตการณ์ การสัมมนาในชั้นเรียน การสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมทางการวิจัย สื่อสารสนเทศ และเกณฑ์มาตรฐานศิลปิน สู่กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านนาฏยศิลป์ ที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการแสดงและแนวความคิดที่ได้หลังจากการสร้างสรรค์ผลงาน ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการแสดงประกอบไปด้วยองค์ประกอบในการแสดงนาฏยศิลป์ทั้ง 8 ประการ ได้แก่ การออกแบบบทการแสดง การคัดเลือกนักแสดง การออกแบบลีลานาฏยศิลป์ การออกแบบเสียง การออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง การออกแบบเครื่องแต่งกาย การออกแบบพื้นที่แสดง และการออกแบบแสง ในส่วนของแนวความคิดที่ได้หลังจากการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ที่สะท้อนถึงจริยธรรมทางการวิจัยนาฏยศิลป์ ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์งานใหม่ โดยการคำนึงถึงจริยธรรมทางการวิจัยนาฏยศิลป์เป็นสาระสำคัญอันดับแรก การคำนึงถึงการแสดงที่สร้างสรรค์เพื่อกลุ่มของผู้ชมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยทางนาฏยศิลป์ การคำนึงถึงการสะท้อนสภาพสังคมโดยใช้นาฏยศิลป์ การคำนึงถึงความคิดสร้างสรรค์ในงานนาฏยศิลป์ การคำนึงถึงแนวคิดของนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ การคำนึงถึงศิลปะการละครกับการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ การคำนึงถึงสัญลักษณ์ในงานนาฏยศิลป์ การคำนึงถึงทฤษฎีด้านนาฏยศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และทัศนศิลป์ รวมทั้งการคำนึงถึงการสร้างสรรค์การแสดงที่เป็นศิลปะเพื่อศิลปะ ตามลำดับ ซึ่งผลที่ได้จากการวิจัยนั้นตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยทุกประการ


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ที่สะท้อนเปลือกนอกของคนในสังคมไทย, ศริยา หงษ์ยี่สิบเอ็ด Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ที่สะท้อนเปลือกนอกของคนในสังคมไทย, ศริยา หงษ์ยี่สิบเอ็ด

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและแสวงหาแนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ที่สะท้อนเปลือกนอกของคนในสังคมไทย ด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยเชิงสรรค์ที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ การสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์ การสัมมนา สื่อสารสนเทศ เกณฑ์มาตรฐานศิลปิน และประสบการณ์ของผู้วิจัย นำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏยศิลป์ครั้งนี้ เป็นการนำประเด็นเรื่องเปลือกนอกของคนในสังคมไทยเข้ามาเป็นสาระสำคัญในการออกแบบสร้างสรรค์รูปแบบการแสดงโดยสามารถจำแนกองค์ประกอบทางนาฏยศิลป์ออกเป็น 8 ประการ ได้แก่ 1) บทการแสดงนำแนวคิดมาจากการตีความประเด็นเปลือกนอกของคนในสังคมไทยทางด้านสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ 2) นักแสดงมีความสามารถทางด้านนาฏยศิลป์และการแสดงอารมณ์ความรู้สึกแบบละคร 3) ลีลาการเคลื่อนไหวใช้ลีลาที่หลากหลาย ได้แก่ ลีลาละครใบ้ (Mime) ลีลาในชีวิตประจำวัน (Everyday Movement) ลีลาการทำซ้ำ (Repetitive Movement) และลีลาการเคลื่อนไหวที่แสดงอารมณ์แบบละคร (Acting) 4) เครื่องแต่งกายคัดเลือกจากเสื้อผ้าในชีวิตประจำวัน ได้แก่ เครื่องแต่งกายที่เรียบง่าย (Simplicity) และเครื่องแต่งกายที่เป็นเครื่องแบบ (Uniform) 5) อุปกรณ์ประกอบการแสดงเน้นความเรียบง่าย โดยนำเสนอผ่านการใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อความหมายตรงและความหมายแฝง ได้แก่ หน้ากาก แท่นแสดงสินค้า (Display) และเก้าอี้ 6) เสียง เป็นการใช้ความเงียบเพื่อให้ความสำคัญกับภาพและลีลาการเคลื่อนไหว เสียงจากบทพูดของนักแสดง เสียงประกอบเรื่อง และเสียงสังเคราะห์จากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 7) แสงใช้ในการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ เสริมอารมณ์ความรู้สึกและบรรยากาศ ตลอดจนใช้แสงสร้างพื้นที่การแสดงบนเวที และ 8) พื้นที่การแสดงใช้สถานที่ภายในโรงละคร นอกจากนี้แนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ที่สะท้อนเปลือกนอกในสังคมไทย ปรากฏแนวคิดที่สำคัญ 7 ประการ ได้แก่ 1) การคำนึงถึงเปลือกนอกในสังคมไทย 2) การคำนึงถึงแนวคิดนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ 3) การคำนึงถึงความคิดสร้างสรรค์ 4) การคำนึงถึงสัญลักษณ์ในงานนาฏยศิลป์ 5) การคำนึงถึงทฤษฎีทางด้านทัศนศิลป์ 6) การคำนึงถึงการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อศิลปะ และ 7) คำนึงถึงความเรียบง่ายในงานนาฏยศิลป์ การวิจัยครั้งนี้จึงเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ เชื่อมโยงประสบการณ์และพัฒนากระบวนการสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อวงการวิชาการและวงการนาฏยศิลป์ ตลอดจนเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานของผู้สร้างสรรค์ผลงานในอนาคต


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสถาปัตยกรรมของมหาสถูปบุโรพุทโธ, ธิติมา อ่องทอง Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสถาปัตยกรรมของมหาสถูปบุโรพุทโธ, ธิติมา อ่องทอง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่อง การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสถาปัตยกรรมของมหาสถูปบุโรพุทโธ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบการสร้างสรรค์และแนวคิดที่ได้หลังจากการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสถาปัตยกรรมของมหาสถูปบุโรพุทโธ งานวิจัยฉบับนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ การสัมภาษณ์ การศึกษาสื่อสารสนเทศ การสำรวจข้อมูลภาคสนาม การสัมมนา ประสบการณ์ของผู้วิจัย เกณฑ์มาตรฐานศิลปิน และการทดลองสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ผลจากการวิจัย พบว่า การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสถาปัตยกรรมของมหาสถูปบุโรพุทโธเป็นผลงานในรูปแบบนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ สามารถแบ่งตามองค์ประกอบการแสดง 8 องค์ประกอบ คือ 1) บทการแสดง แบ่งเป็น 3 องก์ ได้แก่ องก์ 1 กามภูมิ องก์ 2 รูปภูมิ และองก์ 3 อรูปภูมิ 2) การคัดเลือกนักแสดง คัดเลือกจากนักแสดงที่มีทักษะและประสบการณ์การเต้นที่หลากหลาย ได้แก่ นาฏยศิลป์ร่วมสมัย นาฏยศิลป์ไทย นาฏยศิลป์อินโดนีเซีย และทักษะในการแสดงออกทางด้านละคร 3) การออกแบบลีลานาฏยศิลป์ ใช้ทักษะการเต้นที่หลากหลายตามแนวคิดนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ คือ ลีลานาฏยศิลป์ตะวันตกและลีลานาฏยศิลป์ตะวันออก 4) การออกแบบเครื่องแต่งกาย แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การแต่งกายในบทบาทนักท่องเที่ยวที่ใช้เครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวันที่หลากหลาย และการแต่งกายในการแสดงหลักที่ใช้เครื่องแต่งกายที่มีความเรียบง่ายตามแนวคิดศิลปะหลังสมัยใหม่ 5) การออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง ใช้อุปกรณ์ที่หาได้ในชีวิตประจำวัน สามารถสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา 6) การออกแบบดนตรีและเสียงประกอบ สร้างสรรค์เพลงขึ้นใหม่ด้วยเสียงสังเคราะห์จากการเลียนแบบเสียงเครื่องดนตรีจากวงกาเมลัน เสียงสังเคราะห์จากเครื่องดนตรีสากล และเสียงจากเครื่องดนตรีตาราวังซาของประเทศอินโดนีเซีย 7) การออกแบบฉากและพื้นที่การแสดง ใช้ฉากโครงสร้างแผนผังบุโรพุทโธ และจัดแสดง ณ โรงละครแบล็ค บ๊อกซ์ เธียร์เตอร์ 8) การออกแบบแสง เพื่อสร้างมิติให้กับสัดส่วนของฉากประกอบการแสดง และส่งเสริมการสื่ออารมณ์ ลีลาท่าการเคลื่อนไหวของนักแสดงให้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ แนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสถาปัตยกรรมของมหาสถูปบุโรพุทโธ ประกอบด้วยแนวคิด 6 ประการ คือ 1) แนวคิดจากภาพแผนผังทางสถาปัตยกรรมและปรัชญาทางศาสนาของมหาสถูป 2) แนวคิดทางทัศนศิลป์ 3) แนวคิดเรื่องความเรียบง่ายตามแนวคิดนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ 4) แนวคิดการใช้สัญลักษณ์ในการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ 5) แนวคิดพื้นที่การแสดงในงานนาฏยศิลป์ 6) แนวคิดพหุวัฒนธรรม


ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเพื่อบรรเทาภาวะวิตกกังวลในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งที่ถูกเจาะเลือดในขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, วิศิษฎ์ ศุภางคะรัตน์ Jan 2018

ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเพื่อบรรเทาภาวะวิตกกังวลในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งที่ถูกเจาะเลือดในขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, วิศิษฎ์ ศุภางคะรัตน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัญหาทางด้านจิตใจเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กที่เข้ารับรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งเนื่องจากเป็นโรคที่มีความซับซ้อนในการรักษา และผู้ป่วยเด็กมักไม่ทราบถึงสิ่งที่ตนเองต้องเผชิญตลอดระยะเวลที่อยู่ในโรงพยาบาล โดยปกติเมื่อเด็กต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ชอบ เด็กจะมีวิธีในการเผชิญหน้ากับสภาวะนั้นด้วยการเล่นสมมติ โดยจะจินตนาการว่าตัวเองมีพลังอำนาจ สามารถต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ชอบได้ การศึกษาครั้งนี้จึงมุ่งเน้นที่การค้นหาวิธีการออกแบบแอนิเมชั่นจากภาวะวิตกกังวลในเด็กป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในขั้นแรกได้ทำการศึกษาถึงภาวะวิตกกังวลในเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและประเภทของความแฟนตาซีที่มีความเหมาะสมในการนำมาใช้ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชและพัฒนาการเด็กจำนวน 3 ท่านพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะวิตกกังวลในเด็กป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากที่สุดคือ การถูกพรากจากบุคคลที่เด็กรักหรือคุ้นเคยและความกลัวต่อความเจ็บปวด รวมถึงการถูกทำหัตถการต่าง ๆ ผู้ป่วยมักเป็นเด็กที่มีนิสัยขี้อาย ปรับตัวยาก และประเภทของความแฟนตาซีที่มีความเหมาะสมคือ Visual Fantasy จากนั้นได้นำผลการศึกษาที่ได้มาออกแบบบุคลิกภาพของตัวละครและฉากในแอนิเมชั่น โดยมุ่งเน้นให้ตัวละครหลักเป็นผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งมีนิสัยขี้อาย ปรับตัวยาก อสูรกายที่แทนความเจ็บปวดจากการรักษา และ ฉากโลกในจินตนาการที่แทนภาวะวิตกกังวลในใจผู้ป่วยเด็ก จากนั้นให้ผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชั่นจำนวน 5 ท่านวิเคราะห์ถึงบุคลิกภาพจากตัวแปรที่กล่าวมาข้างต้นพบว่า คำสำคัญที่มีความเหมาะสมในการเลือกนำมาใช้ออกแบบตัวละครผู้ป่วยเด็กคือ Youthful, Casual, Friendly, Generous, Reflective and Elegant คำสำคัญที่มีความเหมาะสมในการเลือกนำมาใช้ออกแบบตัวอสุรกายคือ Large gesture, Addictions, Dynamic and Modern และคำสำคัญที่มีความเหมาะสมในการเลือกนำมาใช้ออกแบบโลกในจินตนาการคือ Classic, Dandy, Dynamic และ Modern


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากทฤษฎีสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ทางด้านนาฏยศิลป์, ภัทรฤทัย กันตะกนิษฐ์ Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากทฤษฎีสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ทางด้านนาฏยศิลป์, ภัทรฤทัย กันตะกนิษฐ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบและหาแนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากทฤษฎีสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ทางด้านนาฏยศิลป์ ด้วยวิธีการวิจัยเชิงสร้างสรรค์และวิจัยเชิงคุณภาพที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ สื่อสารสนเทศ การสัมมนา เกณฑ์มาตรฐานศิลปิน และประสบการณ์ของผู้วิจัย พิจารณาข้อมูลเชิงทฤษฎีเชื่อมโยงในประเด็นของรูปแบบการแสดงนาฏยศิลป์ การสร้างสรรค์ และแนวคิดการแสดงนาฏยศิลป์ วิเคราะห์ข้อมูล ทดลองพัฒนาผลงานการสร้างสรรค์เรียบเรียงข้อมูล แสดงขั้นตอนและผลการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการแสดงผลงานสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์ที่ปรากฏคุณสมบัติตามเกณฑ์มาตรฐานศิลปิน โดยการคัดเลือกนักแสดงที่มีความหลากหลายในทักษะการเต้นร่วมสมัยและแนวเต้นที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ใช้เสียงไวโอลินบรรเลงสดและเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ ใช้พื้นที่ในและนอกวงกลมโดยมีเก้าอี้ 9 ตัววางเป็นวงกลมกลางเวที สวมใส่ชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันเหมาะสมกับสรีระและลีลานาฏยศิลป์ของนักแสดง ออกแบบแสงให้เห็นมิติของร่างกาย นำเสนอเป็น 3 องก์การแสดง ประกอบด้วย องก์ 1 ยุคบุกเบิก แบ่งเป็น 4 ฉาก คือ ฉาก 1 แนวคิดของลอย ฟูลเลอร์ (Loie Fuller) ฉาก 2 แนวคิดของอิสดอรา ดันแคน (Isadora Duncan) ฉาก 3 แนวคิดของรุท เซนต์เดนนีส (Ruth St Denis) ต่อเนื่องถึงฉาก 4 แนวคิดของเดนนีส-ชอร์น (Denis Shawn) องก์ 2 ยุคสมัยใหม่ศิลปินรุ่น 1 และ 2 แบ่งเป็น 4 ฉาก ได้แก่ ฉาก 1 แนวคิดของมาธา เกรแฮม (Matha Graham) ฉาก 2 แนวคิดของดอริช ฮัมเฟรย์ (Doris Humphrey) ฉาก 3 แนวคิดของเมอร์ซ คันนิงแฮม (Merce Cunningham) และฉาก 4 แนวคิดของโฮเซ ลีมอน (Jose Limon) องก์ 3 ยุคหลังสมัยใหม่ แบ่งเป็น 4 ฉาก ได้แก่ ฉาก …


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากตำนานนกกิ่งกะหร่าของชาวไทใหญ่, วนศักดิ์ ผดุงเศรษฐกิจ Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากตำนานนกกิ่งกะหร่าของชาวไทใหญ่, วนศักดิ์ ผดุงเศรษฐกิจ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหารูปแบบนาฏยศิลป์ที่สร้างสรรค์จากตำนานนกกิ่งกะหร่าของชาวไทใหญ่ และเพื่อค้นหาแนวคิดที่ได้หลังจากการปฏิบัติการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ มีลักษณะเป็นงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์และเชิงคุณภาพ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ การสำรวจข้อมูลเชิงเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สื่อสารสนเทศ ข้อมูลภาคสนาม การสังเกตการณ์ผลงานสร้างสรรค์ทางด้านนาฏยศิลป์ การสัมมนา และประสบการณ์ส่วนตัวของผู้วิจัย โดยนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ การปฏิบัติการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ และสรุปผล ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า ในการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์โดยใช้ตำนานนกกิ่งกะหร่าเพื่อสื่อสารความเชื่อความศรัทธาของชาติพันธุ์ไทใหญ่กับพระพุทธศาสนา สามารถจำแนกตามองค์ประกอบการแสดงได้ 8 ประการ 1) บทการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยผสมผสานตำนานนกกิ่งกะหร่าของชาวไทใหญ่ และเรื่องชาติภพทั้ง 5 ของพระพุทธเจ้าในการกำเนิดเป็นนกกิ่งกะหร่า 2) นักแสดงมีคุณสมบัติในการเคลื่อนไหวร่างกายที่หลากหลายตามทักษะความชำนาญของตนเอง 3) ลีลาที่นำเสนอผ่านการฝึกปฏิบัติวิธีการแสดงแบบเดอะเมธอด (The Method of Acting) 4) เครื่องแต่งกายที่แสดงถึงบุคลิกภาพของนกกิ่งกะหร่าทั้ง 5 ตัว ตามแนวคิดเรื่องศีล 5 ข้อ 5) ดนตรีและเสียงประกอบที่ใช้ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือด้นสดกับสถานการณ์ในการแสดง และการขับเพลงพื้นบ้านภาคเหนือเล่าเรื่องตำนานนกกิ่งกะหร่า 6) อุปกรณ์ประกอบการแสดงที่เน้นการใช้ร่างกายเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ ของนักแสดงเพื่อสื่อสารประเด็นสำคัญของเรื่อง 7) พื้นที่การแสดงที่กำหนดความหมายเป็นสถานที่ต่าง ๆ ในการแสดงได้แก่ สถานที่ไร้กาลและเวลา ป่าหิมพานต์ และท้องฟ้า 8) แสงที่ใช้แนวคิดทางทัศนศิลป์ และสัญวิทยาออกแบบเสียงให้ที่สามารถสื่อสารความคิดและสถานการณ์ของตัวละครให้เกิดความชัดเจน นอกจากนี้ ในด้านการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ยังได้ให้ความสำคัญใน 6 ประเด็น 1) แนวคิดจากตำนานนกิ่งกะหร่าของชาวไทใหญ่ 2) แนวคิดเกี่ยวกับชาติพันธุ์กับอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ไทใหญ่ 3) แนวคิดที่เกี่ยวกับรากฐานความคิดความเชื่อและศิลปวัฒนธรรม 4) แนวคิดสัญวิทยา 5) แนวคิด การแสดงเดอะเมธอด (The Method of Acting) และ 6) แนวคิดทางทัศนศิลป์


เทเลเอสเทติกส์: การสร้างสรรค์นิตยสารอิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียออนไลน์เกี่ยวกับศิลปะสื่อใหม่, ให้แสง ชวนะลิขิกร Jan 2018

เทเลเอสเทติกส์: การสร้างสรรค์นิตยสารอิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียออนไลน์เกี่ยวกับศิลปะสื่อใหม่, ให้แสง ชวนะลิขิกร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ในปัจจุบันศิลปะสื่อใหม่มีบทบาทในศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย ทว่าในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะสื่อใหม่ในประเทศไทยนั้นไม่มีความแพร่หลาย คนรุ่นใหม่ที่สนใจศิลปะสื่อใหม่นั้นเข้าถึงข้อมูลได้ยาก มีช่องว่างในการรับรู้ข้อมูลศิลปะสื่อใหม่ การเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่มีการเน้นย้ำหรือกล่าวถึง งานเขียนภาษาไทยไม่มีการจัดทำเป็นตำรา และงานแปลมีจำกัดหนังสือเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงธรรมชาติของการหาความรู้ของคนรุ่นใหม่ที่สนใจศิลปะพบว่ากลุ่มคนดังกล่าวได้ใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลเป็นหลัก แต่น้อยที่จะมีความสนใจในเนื้อหาที่เป็นการเขียนที่มีรายละเอียดเยอะโดยเฉพาะข้อมูลภาษาอังกฤษ ดังนั้น จากแนวความคิดเพื่อออกแบบชุดความรู้ ลดช่องว่างในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะสื่อใหม่สำหรับคนไทยรุ่นใหม่ที่สนใจ มาสู่การวิจัยการทำความเข้าใจองค์ความรู้ศิลปะสื่อใหม่ นำมาสร้างชุดข้อมูลนำเสนอแก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อเข้าถึงและพัฒนาองค์ความรู้ต่อได้ การออกแบบชุดความรู้ดังกล่าวได้ถูกนำเสนอผ่านนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียออนไลน์บนเว็บไซต์ที่มีชื่อว่าเทเลเอสเทติกส์โดยมีการกำหนดขอบเขตของงานวิจัยของงานวิจัยเผยแพร่ออกมา 2 ฉบับคือ เทเลเอสเทติกส์ฉบับที่หนึ่งเน้นไปที่การปูพื้นความรู้เกี่ยวกับศิลปะสื่อใหม่ ส่วนเทเลเอสเทติกส์ฉบับที่สองเป็นการนำต่อยอดองค์ความรู้จากฉบับที่หนึ่งและเน้นไปที่ศิลปะแห่งเสียงเป็นแขนงที่คาบเกี่ยวกับศิลปะสื่อใหม่ให้กลุ่มเป้าหมายเรียนรู้เนื้อหาดังกล่าว


บทประพันธ์เพลงดุษฎีนิพนธ์ : ซิมโฟนี หมายเลข 1, นบ ประทีปะเสน Jan 2018

บทประพันธ์เพลงดุษฎีนิพนธ์ : ซิมโฟนี หมายเลข 1, นบ ประทีปะเสน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บทประพันธ์เพลงดุษฎีนิพนธ์ : ซิมโฟนี หมายเลข 1 ประพันธ์ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อบรรยายเรื่องราวจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ที่แฝงคำสอนและหลักความเชื่อ ซึ่งบูรณาการแนวคิดทางดนตรีระหว่างดนตรีตามแบบแผนและดนตรีร่วมสมัย โดยใช้บทบรรยายเรื่องราวร่วมกับวงดุริยางค์ซิมโฟนี จึงทำให้บทประพันธ์เพลงนี้มีรูปแบบเป็นดนตรีบรรยาย หรือเรียกว่าโปรแกรมซิมโฟนี ความยาวของบทประพันธ์เพลงประมาณ 30 นาที แบ่งเป็น 3 กระบวน ตามหลักข้อเชื่อของคริสต์ศาสนา คือ ตรีเอกานุภาพ ซึ่งคือ พระบิดา (พระเจ้า) พระบุตร (พระเยซูคริสต์) และพระจิต (พระวิญญาณบริสุทธิ์) โดยผู้ประพันธ์เพลงได้สร้างทำนองพระผู้สร้างเป็นทำนองหลัก เพื่อให้เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการประพันธ์เพลง ดังปรากฏในกระบวนที่ 1 นอกจากนี้ ยังมีส่วนย่อยของทำนองโมทีฟ X, Y และ Z รวมถึงโมทีฟจังหวะที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของทำนองหลักพระผู้สร้าง ได้ถูกนำไปพัฒนาต่อในกระบวนที่ 2 และ 3 บทประพันธ์เพลงนี้ ผสมผสานแนวคิดและเทคนิควิธีประพันธ์เพลงต่าง ๆ ทั้งเรื่องดนตรีอิงกุญแจเสียง ดนตรีอิงโมด เทคนิควิธีประพันธ์เพลงของดนตรีในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ การดำเนินคอร์ดที่ไม่เป็นตามแบบแผนดั้งเดิม การวางแนวเสียงประสานเรียงซ้อนคู่สอง และคอร์ดเรียงซ้อนคู่สี่และคู่ห้า รวมถึงกลุ่มเสียงกัด การวางแนวเสียงประสานแบบชุดโอเวอร์โทน การใช้สีสันเสียงวงดนตรี เทคนิคการเล่นเครื่องดนตรีขยายขอบเขต และการให้อิสระแก่ผู้บรรเลงในการบรรเลง ร่วมกับการใช้บทบรรยายที่กล่าวถึงการสร้าง การทำลาย และการกำเนิดใหม่


การสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์บทเพลงชุด พุทธเจดีย์ทวารวดีศรีนครปฐม, สรายุทธ์ โชติรัตน์ Jan 2018

การสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์บทเพลงชุด พุทธเจดีย์ทวารวดีศรีนครปฐม, สรายุทธ์ โชติรัตน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์บทเพลงชุด พุทธเจดีย์ทวารวดีศรีนครปฐม มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานการประพันธ์เพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจเกี่ยวกับความเชื่อ เชื้อชาติ ภาษา รูปแบบสถาปัตยกรรม ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ และสร้างองค์ความรู้ด้านการประพันธ์เพลงแนวใหม่ และการสร้างเครื่องดนตรี โดยถ่ายทอดผลงานในรูปแบบดนตรีพรรณนาทั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพในการสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ พุทธเจดีย์ทวารวดี 7 องค์เป็นสิ่งปลูกสร้างแสดงถึงความรุ่งเรืองเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาที่ปรากฏมาในเมืองนครปฐมสมัยทวารวดีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11-16 จนถึงปัจจุบันที่สมบูรณ์จำนวน 2 องค์คือ พระปฐมเจดีย์ พระประโทน-เจดีย์ และร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกจำนวน 5 องค์คือ จุลประโทนเจดีย์ พระเนินเจดีย์ สังฆรัตนธาตุเจดีย์ พระงามเจดีย์ และพระเมรุเจดีย์ การสร้างสรรค์ผลงานนี้เป็นการประพันธ์เพลงในรูปแบบของเพลงชุด ประกอบด้วยเพลงหลัก 8 เพลงคือ 1) เพลงพุทธเจดีย์บูชา 2) เพลงพระปฐมเจดีย์ 3) เพลงพระประโทนเจดีย์ 4) เพลงพระเนินเจดีย์ 5) เพลงสังฆรัตนเจดีย์ 6) เพลงจุลประโทนเจดีย์ 7) เพลงพระงามเจดีย์ 8) เพลงพระเมรุเจดีย์ และทำนองเชื่อมเจดีย์สำหรับบรรเลงเชื่อมเพลงหลัก 1 ทำนอง โดยรูปแบบวงดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงประสมวงขึ้นใหม่ประดิษฐ์เพิ่มขึ้นใหม่ 2 ชิ้นคือ ระฆังหินและระนาดหิน เพื่อใช้สำหรับบรรเลงเพลงชุดโดยเฉพาะประกอบด้วย ระนาดตัดขนาดใหญ่ ระนาดตัดขนาดเล็ก จะเข้ ปี่มอญ ขลุ่ยเพียงออ ระฆังหิน ระนาดหิน ปรับเปลี่ยนให้ความสอดคล้องกับลีลาทำนองของพุทธเจดีย์แต่ละองค์ กำหนดทำนองในอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว จังหวะฉิ่ง 3 รูปแบบ และหน้าทับ 12 รูปแบบ แสดงความเป็นอัตลักษณ์สำเนียงของบทเพลงที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสัญลักษณ์โอม ในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู, อภิโชติ เกตุแก้ว Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสัญลักษณ์โอม ในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู, อภิโชติ เกตุแก้ว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและแนวคิดที่ได้หลังจากการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากสัญลักษณ์โอม ในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ โดยศึกษาจากแนวคิดจากสัญลักษณ์โอม ในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สัญศาสตร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ผลงานทางด้านนาฏยศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เกณฑ์มาตรฐานศิลป์ ความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย รวมไปถึงได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงเอกสาร สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยจำนวน 33 คน สื่อสารสนเทศอื่น ๆ สำรวจข้อมูลภาคสนามที่เทวสถานทั้งในประเทศไทยและประเทศอินเดีย ตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านนาฏยศิลป์ สรุปผล และนำเสนอผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการแสดงมีองค์ประกอบทั้งหมด 8 ประการ ได้แก่ 1) บทการแสดง โดยวิเคราะห์จากแนวคิดองค์ประกอบทัศนศิลป์ที่ปรากฏบนสัญลักษณ์โอม แบ่งออกเป็น 3 องก์ ประกอบไปด้วย องก์ 1 จุดเริ่มต้น (Starting Point) องก์ 2 เส้นโค้งแห่งการปกป้องดูแล (The Curve of Protection) และองก์ 3 จุดสิ้นสุด (End Point) ผู้วิจัยใช้การจัดวางภาพในการแสดงจากแนวคิดการปะติดภาพ (Collage) 2) นักแสดง คัดเลือกจากผู้มีความสามารถทางด้านนาฏยศิลป์อินเดียและนาฏยศิลป์ตะวันตก 3) การเคลื่อนไหวลีลา นำเสนอผ่านรูปแบบนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ โดยการนำแนวคิดของ อิสดอรา ดันแคน (Isadora Duncan) ในแนวคิดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระ (Free Spirit) พอล เทย์เลอร์ (Paul Taylor) แนวคิดการใช้ท่าทางในชีวิตประจำวัน (Everyday Movement) สตีฟ แพกซ์ตัน (Steve Paxton) แนวคิดการเคลื่อนไหวลีลาโดยใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายในแบบด้นสด (Body Contact Improvisation) อาครัมคาน (Akram Khan) แนวคิดการใช้ทักษะท่าทางนาฏยศิลป์อินเดียมาผสมผสานกับนาฏศิลป์แบบตะวันตก 4) เสียงเป็นการแสดงแบบดนตรีสดโดยใช้เครื่องดนตรีที่สามารถสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึก ได้แก่ ขันทิเบต เชลโล่ กลองตับบลา กลองไทโกะ 5) อุปกรณ์การแสดง ใช้แนวคิดสัญลักษณ์ที่เน้นความเรียบง่าย สามารถสื่อสารความหมายอย่างชัดเจน 6) เครื่องแต่งกาย เป็นการลดทอนการแต่งกายของอินเดียโดยการนำแนวคิดมินิมอลลิสม์ (Minimalism) ที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย 7) …


ดุษฎีนิพนธ์การประพันธ์เพลง: เมนทัล ดิสทอร์ชัน สำหรับวงวินด์ซิมโฟนี, นิธิ จันทร์ชมเชย Jan 2018

ดุษฎีนิพนธ์การประพันธ์เพลง: เมนทัล ดิสทอร์ชัน สำหรับวงวินด์ซิมโฟนี, นิธิ จันทร์ชมเชย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บทประพันธ์เพลงดุษฎีนิพนธ์ เมนทัล ดิสทอร์ชัน (Mental Distortion) เป็นบทประพันธ์สำหรับวงวินด์ ซิมโฟนี มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอลักษณะของโรคทางจิตเวชที่มีสาเหตุมาจากความเครียด ทั้งการแสดงออกด้านอารมณ์และกายภาพ อันมีเอกลักษณะเฉพาะของแต่ละโรค โดยผู้วิจัยได้เลือกโรคทางจิตเวชที่มีการพบมากในปัจจุบัน ได้แก่ โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคแพนิค และโรคไบโพลาร์ ในการสร้างสรรค์บทประพันธ์นี้ ผู้วิจัยได้ทำการตีความอาการของแต่ละโรคด้วยเทคนิคการประพันธ์เพลงร่วมสมัย เพื่อแสดงออกถึงอาการของแต่ละโรคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยบทประพันธ์นี้แบ่งออกเป็น 5 กระบวนได้แก่ จิตที่ถูกบิดเบือน ซึมเศร้า กดดัน ตระหนก และแปรปรวน จากการสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงเมนทัล ดิสทอร์ชัน ผู้วิจัยได้ประพันธ์ในลักษณะดนตรีพรรณาสำหรับวงวินด์ซิมโฟนีที่มีการแสดงออกถึงเอกลักษณ์เฉพาะของโรคทางจิตเวชที่มีสาเหตุจากความเครียด บทประพันธ์เป็นดนตรีตะวันตกร่วมสมัยซึ่งเกิดจากใช้วัตถุดิบ เทคนิคการประพันธ์ร่วมสมัย ผ่านการสร้างสรรค์ของผู้วิจัยเอง


ดุษฎีนิพนธ์ด้านการประพันธ์เพลง: บทประพันธ์เพลงอีสานร่วมสมัยสำหรับกีตาร์คลาสสิก, ดนุเชษฐ วิสัยจร Jan 2018

ดุษฎีนิพนธ์ด้านการประพันธ์เพลง: บทประพันธ์เพลงอีสานร่วมสมัยสำหรับกีตาร์คลาสสิก, ดนุเชษฐ วิสัยจร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใน 5 ทศวรรษที่ผ่านมาในฐานะเครื่องดนตรีหลักในดนตรีตะวันตกร่วมสมัยและในวัฒนธรรมดนตรีที่หลากหลาย ในซีกโลกตะวันตกนั้นกีตาร์ถูกบรรเลงในดนตรีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบลูกราส บลูส์ ร็อก หรือฟลาเมงโก ส่วนในซีกโลกตะวันออกกีตาร์ก็มีรูปแบบการบรรเลงที่ต่างกันออกไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม กีตาร์ในบริบทของดนตรีสมัยนิยมได้พัฒนาไปหลายแง่มุม แต่ที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักในการศึกษานั้น ยังขาดแคลนบทเพลงที่จะตอบสนองต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมที่มีการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงการตอบสนองต่อนักกีตาร์ในเรื่องของการแสดงและการศึกษา เนื่องจากกีตาร์เป็นเครื่องมือมีความเฉพาะตัวสูง เห็นได้จากวัฒนธรรมดนตรีคลาสสิกตะวันตกในอดีต ซึ่งมีการนำบทเพลงที่ประพันธ์สำหรับเครื่องดนตรีอื่นมาเรียบเรียงใหม่สำหรับกีตาร์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ประพันธ์เพลงกีตาร์มากขึ้น เช่น ลีโอ บราวเออร์ แห่งประเทศคิวบา ใช้อัตลักษณ์ของดนตรีพื้นบ้านในการประพันธ์และสามารถถ่ายทอดองค์ประกอบดังกล่าวออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีเซอร์จิโอและโอแดร์ อัส-สาด แห่งประเทศบราซิล และโทรุ ทาเคมิตสึ แห่งประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ผู้วิจัยมีความประสงค์ที่จะประพันธ์บทเพลงสำหรับกีตาร์คลาสสิกที่มีความหลากหลาย ตอบสนองรสนิยมร่วมสมัย โดยพัฒนาบทเพลงบนพื้นฐานของความเป็นไทยอีสานของจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้วิจัย นำเทคนิคการประพันธ์เพลงและการบรรเลงกีตาร์มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างผลงานที่มีอัตลักษณ์และมีคุณค่าทางศิลปะ


อัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์สำหรับกลุ่มแมสทีจโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมกลุ่มชนไทยทรงดำ จังหวัดเพชรบุรี, เตชิต เฉยพ่วง Jan 2018

อัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์สำหรับกลุ่มแมสทีจโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมกลุ่มชนไทยทรงดำ จังหวัดเพชรบุรี, เตชิต เฉยพ่วง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างอัตลักษณ์ตราสินค้าแฟชั่นสำหรับกลุ่มแมสทีจ โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมกลุ่มชนไทยทรงดำ จังหวัดเพชรบุรี มีการวิจัยเชิงปริมาณซึ่งมีการสำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแมสทีจด้วยแบบสอบถามจำนวน 400 ราย โดยวิธีการสุ่มเลือก ใช้เครื่องมือภาพที่เกิดขึ้นจากการศึกษาวัฒนธรรมไทยทรงดำในด้านความเชื่อเรื่องผี รวมถึงอิทธิพลของความเชื่อที่มีต่อวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายและลวดลายผ้า นำมาตีความอย่างเป็นรูปธรรมโดยใช้ทฤษฎี Image Scale ของชิเกโนบุ โคบายาชิ (Shigenobu Kobayashi) เพื่อให้เกิดการตีความจากสีของลวดลายผ้าสู่บุคลิกภาพและคำสำคัญ (Keyword) จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาเชื่อมโยงกับทฤษฎีอัตลักษณ์ตราสินค้าของ Jean-Noel Kapferer เพื่อสร้างแนวทางที่จะใช้ในการสร้างสรรค์การสื่อสารอัตลักษณ์ตราสินค้าและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเครื่องมือภาพ ผลการสำรวจพบว่า อัตลักษณ์ตราสินค้าจากวัฒนธรรมไทยทรงดำโดยมีความเชื่อเรื่องผีที่กลุ่มเป้าหมายแมสทีจสนใจ เป็นตราสินค้าที่นำเสนอความงามที่ได้รับการออกแบบโดยเน้นเอกลักษณ์เฉพาะของวัตถุดิบซึ่งผ่านการปรุงแต่งน้อย แต่ให้ความรู้สึกถ่อมตน เป็นธรรมชาติ และบริสุทธิ์ ภายใต้บุคลิกภาพแบบเป็นธรรมชาติและเป็นผู้ดี (Natural Elegant) นำเสนอสินค้าแฟชั่นที่มีรูปแบบเรียบง่าย มีรายละเอียดในตัว สีสันสบายตา ในรูปแบบทันสมัยและเป็นธรรมชาติ (Modern Natural) แต่ต้องยังส่งเสริมบุคลิกภาพที่มีความโดดเด่นและเป็นที่อิสระ น่าจดจำ (Outstanding and Independent) ดังปรากฏในผลงานสร้างสรรค์ของงานวิจัยฉบับนี้


เพลงตับ “พิณทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”, วราภรณ์ เชิดชู Jan 2018

เพลงตับ “พิณทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”, วราภรณ์ เชิดชู

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์นี้เป็นการวิจัยดนตรีพิณตามแนวคิดพุทธศาสนาจากธรรมะเรื่องทางสายกลาง เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ทางดุริยางคศิลป์ไทย โดยค้นคว้าจากพระไตรปิฎกและหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักธรรม ดนตรีและการสร้างสรรค์ ผลการวิจัยพบว่า หลักธรรมทางสายกลาง "ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" นั้น ปรากฏการใช้คุณสมบัติดนตรี "พิณ" เป็นสื่อในการอธิบายธรรมะ โดยข้อมูลดนตรีพิณสื่อถึง 3 นัยคือ (1) พิณในทางพุทธศาสนาจัดเป็นสัญลักษณ์แห่งการก่อให้เกิดปัญญา (2) พิณในทางความเชื่อจัดเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพคนธรรพ์ (3) พิณในทางดนตรีเป็นลักษณะที่แสดงถึงคุณค่า ความงาม ความไพเราะ เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ พบว่า เครื่องดนตรีพิณ "กระจับปี่" จัดอยู่ในประเภทพิณคอยาวเรียกชื่อตามแบบพิณลิวท์ที่ปรากฏในยุคหลังพระเวท ส่วนข้อมูลดนตรีพิณในพระไตรปิฎกพบว่า (1) ด้านความหมาย พิณมีนัยแห่งหลักธรรมโดยอุปมาจากสายและเสียงของพิณ (2) ด้านลักษณะพิณ ปรากฏรูปแบบฮาร์ป ลิวท์และโบว์ (3) ด้านบทบาทหน้าที่พบว่าพิณเป็นเครื่องทำทำนองและเครื่องทำเสียงโดรน ใช้ประกอบการขับร้อง ผลงานการประพันธ์เพลงในครั้งนี้เป็นเพลงตับเรื่องแบ่งทำนองออกเป็น 3 ส่วนคือ พุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณ โดยใช้กลวิธีการประพันธ์ตามขนบด้วยทำนองต้นรากที่มาจากบทสวดบาลีและฉันท์ในคัมภีร์วุตโตทัย อันมีความหมายสอดคล้องกับเรื่องราวทางสายกลาง รวมทั้งการใช้แนวคิดเสียงโดรน การประสานเสียงแนวนอน การใช้คำร้องบาลี การประพันธ์หน้าทับใหม่ ตลอดจนการสอดแทรกและรักษานัยแห่งหลักธรรมของทำนองต้นรากอย่างเคร่งครัด อันเป็นลักษณะพิเศษที่ปรากฏในผลงานสร้างสรรค์ครั้งนี้


Doctoral In Creative Music Research : The Musical Dialect In Modern Conventional Idiom Of The Piano Concertos, Paulo Ricardo Soares Zereu Jan 2018

Doctoral In Creative Music Research : The Musical Dialect In Modern Conventional Idiom Of The Piano Concertos, Paulo Ricardo Soares Zereu

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This research aims to explore the musical dialect within the conventional idiom as well as the interpretational approach and analytical overview of the selected Piano Concertos. The three prominent and significant Piano Concertos were chosen as followed: 1) Concerto in E-flat major for Two Pianos and Orchestra, KV. 365 by Wolfgang Amadeus Mozart (1756-1791), 2) Concerto in C major for Piano, Violin, Cello, and Orchestra, Op.56 by Ludwig van Beethoven (1770-1827), and 3) Concerto for Two Pianos and Orchestra in D minor by Francis Poulenc (1899-1963). The research also presented the innovative revolutionary of the pianistic and interpretational challenges of …


การสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์ ชุด พระนางจามเทวี, ฉัตรติยา เกียรตินาวี Jan 2018

การสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์ ชุด พระนางจามเทวี, ฉัตรติยา เกียรตินาวี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดุริยางคศิลป์ ชุด พระนางจามเทวี และสร้างองค์ความรู้ในกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์ ชุด พระนางจามเทวี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและวิธีการพรรณาวิเคราะห์ ด้วยการศึกษาข้อมูลเอกสารและสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านประวัติศาสตร์และผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านดุริยางคศิลป์ไทย นำเสนอผลการวิจัยด้วยการสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์ ผลงานสร้างสรรค์ทางดุริยางคศิลป์ ชุด พระนางจามเทวี เป็นการประพันธ์บทเพลงขึ้นใหม่ โดยไม่ได้อาศัย เค้าโครงจากเพลงไทยที่มีอยู่เดิม เป็นการนำองค์ความรู้ทางด้านดุริยางคศิลป์และด้านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลบทเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ มาสร้างสรรค์ผลงานโดยได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชประวัติของพระนางจามเทวี ประกอบด้วย 5 บทเพลง คือ เพลงฤๅษีสร้างเมือง เพลงเดินทาง เพลงพี่น้องสองกษัตริย์ เพลงช้างก่ำงาเขียว และเพลงครองราชย์ บรรเลงติดต่อกันเป็นชุด ขึ้นด้วยส่วนนำบทเพลง บรรเลงด้วยเประห์ต่อด้วยบทสวดสรรเสริญและคาถาบูชาพระนางจามเทวี แล้วจึงบรรเลงบทเพลงทั้ง 5 ในระหว่างบทเพลงนำจังหวะกลองของเพลงถัดไปเป็นทำนองเชื่อม ยกเว้นเพลงช้างก่ำงาเขียว เมื่อจบเพลงแล้วให้หยุดพร้อมกันทั้งวง แล้วฆ้องมอญวงใหญ่ขึ้นเพลงในลำดับสุดท้าย วงดนตรีที่ใช้บรรเลงได้แก่ วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ วงเครื่องสายมอญผสมเครื่องสายไทย และวงปี่พาทย์พื้นเมืองล้านนา (วงป้าดก๊อง) เพลงทั้งหมดเป็นเพลงสำเนียงมอญ เพลงที่ 3 มีเที่ยวเปลี่ยนสำเนียงลาวเป็นทำนองแทรกในเพลง เนื่องจากพระนางจามเทวีมีความเป็นมาร่วมยุคทวารวดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมมอญ และเป็นเรื่องราวที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกจากนี้มีเครื่องดนตรีพิเศษได้แก่ เประห์ เครื่องดนตรีของชนเผ่าลัวะ เพื่อสื่อถึงกลุ่มชนพื้นเมืองก่อนการตั้งเมืองหริภุญชัย สังข์ ใช้เลียนเสียงธรรมชาติคือ เสียงนกหัสดีลิงค์และเสียงช้าง กังสดาลและกระดิ่งตีขณะสวดบทสรรเสริญพระนางจามเทวี และใช้กลองแขกตีกำกับหน้าทับลาวในเพลงพี่น้องสองกษัตริย์ สื่อความหมายถึงเจ้าอนันตยศที่ขึ้นครองราชย์ที่เขลางค์นคร


ดุษฎีนิพนธ์การประพันธ์เพลง : "นาก" ไทยเมโลดราม่า, แข เมตติชวลิต Jan 2018

ดุษฎีนิพนธ์การประพันธ์เพลง : "นาก" ไทยเมโลดราม่า, แข เมตติชวลิต

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บทประพันธ์ดุษฎีนิพนธ์ "นาก" ไทยเมโลดราม่า เป็นบทประพันธ์เพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบทประพันธ์ประเภทเมโลดราม่าของนักประพันธ์ อาร์โนลด์ เชินแบร์ก ผสมผสานกับเรื่องเล่าเก่าแก่เกี่ยวกับภูตผีปีศาจของไทย บทบรรยายในเรื่องนำมาจากวรรณกรรมร้อยกรองเรื่องแม่นาคพระโขนง ฉบับตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2474 โดยผู้ที่ใช้นามปากกาว่าประภาศรี ได้คัดลอกบทร้อยกรองนี้จากต้นฉบับเดิมที่เขียนด้วยยางไม้สีเหลือง (รง) ซึ่งพบที่วัดร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ บทประพันธ์ดุษฎีนิพนธ์ "นาก" ไทยเมโลดราม่า เป็นบทประพันธ์เมโลดราม่าเรื่องแรกที่ใช้ภาษาไทยในการบอกเล่าเนื้อเรื่อง ผสมผสานกับดนตรีในสำเนียงไทยและตะวันตก บทประพันธ์แบ่งเป็น 4 องก์ ได้แก่ องก์ที่ 1) บทบรรเลงนำ เป็นการบรรยายนำเรื่องกล่าวถึงตำนานภูติผีปีศาจ องก์ที่ 2) พราก เป็นการบรรยายชีวิตในช่วงแรกของสองสามีภรรยา นางนากและนายมาก จนถึงตอนที่นายมากต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารยังวังหลวง องก์ที่ 3) หลอน เป็นช่วงที่นางนากเสียชีวิตจากการคลอดบุตร จนกลายมาเป็นภูติผี และองก์ที่4) นาก เป็นการสรุปบทเพลงโดยการนำศพของนางนากไปฝังที่ต้นตะเคียน และการจุดธูปขอขมา


การออกแบบระบบอัตลักษณ์สำหรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร, กฤตวิทย์ กฤตมโนรถ Jan 2018

การออกแบบระบบอัตลักษณ์สำหรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร, กฤตวิทย์ กฤตมโนรถ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาอาหารที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ 4 ภูมิภาค ได้แก่ อาหารภาคเหนือ อาหารภาคกลาง อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาหารภาคใต้ 2) เพื่อหาสัญลักษณ์ ตัวอักษร อารมณ์และสี ที่เหมาะสมกับอัตลักษณ์อาหาร 4 ภูมิภาค 3) เพื่อหาสัญลักษณ์ ตัวอักษร อารมณ์และสี ที่เหมาะสมกับอัตลักษณ์อาหารไทย ขั้นตอนและวิธีการวิจัย เก็บข้อมูลจากหนังสือ และบทความต่าง ๆ เพื่อสร้างแบบสอบถามสำหรับคนท้องถิ่น 200 ท่านและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร 3 ท่านด้วยเทคนิคเดลฟาย เพื่อให้ได้คำตอบตามวัตถุประสงค์ข้อ 1 แบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา มีค่าดัชนีความเที่ยงที่ 0.9921 หลังจากนั้นสร้างแบบสอบถามสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเรขศิลป์ 34 ท่านด้วยเทคนิคเดลฟาย เพื่อให้ได้คำตอบตามวัตถุประสงค์ข้อ 2 และ 3 แบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา มีค่าดัชนีความเที่ยงที่ 1.0000 ผลการวิจัยพบว่า อาหารที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ ได้แก่ แกงฮังเล น้ำพริกอ่อง ไส้อั่ว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวซอย น้ำพริกหนุ่ม อาหารที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของของภาคกลาง ได้แก่ แกงเขียวหวาน ต้มยำกุ้ง ห่อหมกปลา แกงเผ็ด พะแนง แกงส้ม อาหารที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ไส้กรอกอีสาน ส้มตำ ลาบ น้ำพริกปลาร้า ปลาร้าบอง อาหารที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของของภาคใต้ ได้แก่ แกงไตปลา ข้าวยำ แกงเหลือง คั่วกลิ้ง ปลาทอดขมิ้น บูดูทรงเครื่อง ไก่กอ ผัดสะตอ การออกแบบระบบอัตลักษณ์ที่เหมาะสมกับอัตลักษณ์อาหารภาคเหนือ สัญลักษณ์ ได้แก่ 1. แบบสมมาตรหลายแกน 2. แบบเปิด 3. แบบเส้นโค้ง 4. แบบไม่มีเส้นขวาง ตัวอักษรไทย ได้แก่ Handwriting และ Crossover ตัวอักษรอังกฤษ ได้แก่ Humanist และ …


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความตายในบริบทของศาสนา, กชกร ชิตท้วม Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความตายในบริบทของศาสนา, กชกร ชิตท้วม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบและหาแนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความตายในบริบทของศาสนา ในประเด็นพิธีศพและความเชื่อหลังความตายในศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยเชิงสร้างสรรค์ที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ การสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์ การสัมมนา สื่อสารสนเทศ เกณฑ์มาตรฐานศิลปิน และประสบการณ์ของผู้วิจัย ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการแสดงมีองค์ประกอบ 8 ประการ ได้แก่ 1) บทการแสดงเป็นแบบการปะติด แบบไม่เรียงร้อยเรื่องราว แบ่งเป็น 2 องก์ ได้แก่ องก์ 1 ปลงสังขาร และองก์ 2 หลังความตาย 2) นักแสดงได้คัดเลือกโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับบทการแสดง และมีทักษะความสามารถทางด้านนาฏยศิลป์ 3) ลีลาการเคลื่อนไหว นำเสนอผ่านรูปแบบนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ ประกอบด้วย ลีลา การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ลีลาการทำซ้ำ การด้นสดที่เกิดจากการสัมผัสระหว่างร่างกายของมนุษย์ การด้นสด และลีลาการเคลื่อนไหวที่แสดงอารมณ์แบบละคร 4) อุปกรณ์ประกอบการแสดง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อุปกรณ์ประกอบการแสดงที่ใช้ร่วมกับลีลาการเคลื่อนไหว ประกอบด้วยอุปกรณ์ที่ปรากฏและสามารถสื่อความหมายตามแนวคิดความตายและพิธีศพ และอุปกรณ์ประกอบการแสดงที่สร้างบรรยากาศในการแสดง ประกอบด้วย อุปกรณ์ที่สร้างกลิ่นหอมดอกไม้ กลิ่นพิมเสน กลิ่นน้ำอบ และกลิ่นธูป ซึ่งเป็นกลิ่นที่มีความสอดคล้องกับกลิ่นที่ปรากฏในพิธีศพ 5) เสียงประกอบการแสดง ประกอบด้วย ความเงียบ เสียงจากบทพูดของนักแสดง และเสียงสังเคราะห์ในการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ 6) เครื่องแต่งกายเน้นความเรียบง่าย โดยการตัดเย็บแบบชุดลำลองด้วยผ้าด้ายดิบ 7) พื้นที่การแสดง ใช้สถานที่ภายในโรงละครแบล็ค บ็อกซ์ เธียร์เตอร์ มีการใช้เวทีที่เปิดออกด้วยระบบไฮโดรลิกส์ มีลักษณะเป็นช่องสี่เหลี่ยมอยู่บริเวณส่วนหน้าของเวทีในการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ตลอดจนมีการใช้อุปกรณ์ประกอบการแสดงสร้างแบบรูป บนพื้นที่การแสดง และ 8) แสงประกอบการแสดงใช้สื่อความหมายผ่านการสร้างสัญลักษณ์ด้วยแสง ตลอดจนใช้เสริมอารมณ์ความรู้สึกและบรรยากาศ ส่วนแนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความตายในบริบทของศาสนา ประกอบด้วยแนวคิด 5 ประการ ได้แก่ 1) แนวคิดความตายในปรัชญาทางศาสนา 2) แนวคิดพหุวัฒนธรรม 3) แนวคิดการใช้สัญลักษณ์ในการแสดงนาฏยศิลป์ 4) แนวคิดความเรียบง่ายตามแนวคิดนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ และ 5) แนวคิดความคิดสร้างสรรค์


ดุษฎีนิพนธ์งานสร้างสรรค์การแสดงขับร้อง: บทเพลงร้องศิลป์ไทย, กิตตินันท์ ชินสำราญ Jan 2018

ดุษฎีนิพนธ์งานสร้างสรรค์การแสดงขับร้อง: บทเพลงร้องศิลป์ไทย, กิตตินันท์ ชินสำราญ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ดุษฎีนิพนธ์งานสร้างสรรค์การแสดงขับร้อง: บทเพลงร้องศิลป์ไทย มีจุดประสงค์เพื่อวิจัยสร้างสรรค์หลักและวิธีบูรณาการเทคนิคการขับร้องแบบตะวันตกและหลักการขับร้องตามขนบแบบไทยให้มีความวิจิตรหลากหลายลีลา โดยสังเคราะห์เทคนิคการขับร้องตะวันตก จากบทเพลงร้องศิลป์ตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการจนถึงยุคปัจจุบัน แยกตามกระบวนการกำเนิดเสียงร้องทั้ง 4 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการหายใจ กระบวนการเปล่งเสียงร้อง กระบวนการสร้างเสียงกังวาน และกระบวนการออกเสียงคำร้อง ร่วมกับการศึกษาวิธีการตีความบทเพลงจากการวิเคราะห์เทคนิคการประพันธ์ระบายสีคำร้อง เพื่อนำแนวคิดและองค์ความรู้ที่ได้มาเป็นพื้นฐาน และแตกแขนงออกมาบูรณาการร่วมกับหลักการขับร้องตามขนบของบทเพลงร้องศิลป์ไทย 4 ลีลา ได้แก่ บทเพลงร้องศิลป์ไทยลีลาดนตรีไทยสากล บทเพลงร้องศิลป์ไทยลีลาลูกทุ่งพื้นบ้าน บทเพลงร้องศิลป์ไทยลีลาคลาสสิกและบทเพลงรักชาติ และบทเพลงร้องศิลป์ไทยลีลาแจ๊ส ที่ศึกษาและรวบรวมผ่านบทประพันธ์และบทเรียบเรียงดนตรีของศิลปินศิลปาธร 6 คน จนก่อเกิดองค์ความรู้รวบยอดที่นอกจากจะสามารถนำไปใช้ในการสร้างแนวทางการขับร้องของตนเองแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการ ศิลปะ สุนทรียศาสตร์ การอนุรักษ์ และการสืบสานการขับร้องบทเพลงร้องศิลป์ไทยตามขนบที่ดีงาม เพื่อการอ้างอิงและต่อยอดในอนาคต


การสร้างสรรค์บทเพลงชุด วิวัฒน์เพลงโคราช, ณัฐพงศ์ แก้วสุวรรณ์ Jan 2018

การสร้างสรรค์บทเพลงชุด วิวัฒน์เพลงโคราช, ณัฐพงศ์ แก้วสุวรรณ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การสร้างสรรค์บทเพลงชุดวิวัฒน์เพลงโคราชใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลเอกสารทาง วิชาการและลงภาคสนามในจังหวัดนครราชสีมา เพื่อศึกษาเรื่องมูลบทที่เกี่ยวของกับเพลงโคราช และสร้าง องค์ความรู้เรื่องระเบียบวิธีการร้องเพลงโคราช สำหรับการสร้างสรรค์ผลงานทางดุริยางคศิลป์ไทย ชื่อเพลงชุด วิวัฒน์เพลงโคราช โดยสะท้อนภาพองค์ความรู้และวิวัฒนาการเพลงโคราช ขั้นแรกของการประพันธ์คือ การกำหนดโครงสร้างลูกตกจากทำนองต้นรากผสมผสานแนวคิดของ แต่ละเพลง ขั้นที่สองคือ การตกแต่งทำนองด้วยวิธีการเปลี่ยนกลุ่มเสียง สำนวนล้อ ขัด เหลื่อม สำเนียงไทย ลาว เขมร ฝรั่ง สังคีตลักษณ์แบบทางเปลี่ยน แบบซ้ำหัวเปลี่ยนท้าย สำนวนบังคับทางและกึ่งบังคับทาง ทางกรอและ ทางเก็บ โดยบูรณาการกับแนวคิดจากผลการวิจัย ได้แก่ คำคู่ การซ้าคำ ซ้ำวรรค ร้อยเนื้อทำนองเดียว สัมผัสโคลง กลอน ความเรียบง่ายแบบพื้นบ้าน จังหวะสามช่า ความสง่างาม ความนอบน้อม สำเนียงเพลงโคราชสูง ๆ ต่ำ ๆ จังหวะอิสระและตายตัว ความแปลกใหม่ ทันสมัย สนุกสนาน ความเป็นไทยโคราชและดนตรีลูกทุ่ง รูปแบบการบรรเลงประกอบด้วย 2 ช่วงคือ ช่วงเกริ่นนำ ได้แก่ เพลงเชิญชวน สะท้อนภาพการละเล่น พื้นบ้าน เพลงศรัทธาครู สะท้อนภาพเนื้อหาการบูชาครู เพลงรู้ถามตอบ สะท้อนภาพทำนองโอ่ และช่วงเนื้อหา วิวัฒน์ ได้แก่ เพลงคารมกลอน สะท้อนภาพกลอนเพลงก้อม เพลงทำนองฉันท์ สะท้อนภาพฉันทลักษณ์กลอน เพลงโคราช เพลงกราบย่าโม สะท้อนภาพความเชื่อผ่านกลอนเพลงแก้บน เพลงแปรสังคม สะท้อนภาพกลอน โคราชผสมผสานดนตรีลูกทุ่งตามบริบททางสังคม เพลงชนนิยม สะท้อนภาพกลอนทั่วไปผสมผสานดนตรีลูกทุ่ง เพื่อส่งเสริมค่านิยมการฟัง และเพลง นวัตสมัย สะท้อนภาพเพลงลูกทุ่งสำเนียงโคราชในยุคแห่งนวัตกรรม ทั้งนี้ ช่วงเนื้อหาวิวัฒน์ใช้ทำนองเชื่อมดั้งเดิมและทำนองเชื่อมประยุกต์เป็นทำนองเชื่อมระหว่างเพลง สำหรับหน้าทับ กำหนดใช้หน้าทับลาว หน้าทับโทนโคราชดั้งเดิมแบบสั้นและแบบยาว หน้าทับที่สร้างสรรค์ใหม่ 7 หน้าทับ ได้แก่ หน้าทับวิวัฒน์เพลงโคราช หน้าทับคารมกลอน หน้าทับทำนองฉันท์ หน้าทับกราบย่าโม หน้าทับแปรสังคม หน้าทับชนนิยม และหน้าทับนวัตสมัย โดยจังหวะฉิ่ง กำหนดใช้อัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียว ยกเว้นเพลง กราบย่าโมกำหนดใช้จังหวะลอย หน้าทับและจังหวะฉิ่งนำมาใช้เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ด้านอรรถรสและ …


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความหมายนามเต็มของ “กรุงเทพมหานคร”, ณัฏฐ์พัฒน์ ผลพิกุล Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความหมายนามเต็มของ “กรุงเทพมหานคร”, ณัฏฐ์พัฒน์ ผลพิกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความหมายนามเต็มของ "กรุงเทพมหานคร" มีรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพเละการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ ตลอดจนมีวัตถุประสงค์ศึกษาหารูปแบบแนวคิดหลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ที่ได้จากนามเต็ม"กรุงเทพมหานคร"และเพื่อศึกษาแนวคิดหลังการสร้างสรรค์ผลงาน อีกทั้งผู้วิจัยมุ่งศึกษาประวัติศาสตร์นามกรุงเทพมหานคร รวมถึงข้อมูลทางเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนาฏยศิลป์ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิจัย การสังเกตการณ์ ประสบการณ์ทางการสร้างสรรค์ผลงานของผู้วิจัย เกณฑ์มาตรฐานศิลปิน และสื่อสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สู่กระบวนการวิเคราะห์ สรุปผล และการนำเสนอผลของงานวิจัย โดยผู้วิจัยมีวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ โดยสามารถจำแนกตามองค์นาฏยศิลป์ทั้ง 8 องค์ประกอบ คือ 1) การออกแบบบทการแสดง 2) การคัดเลือกนักแสดง 3) การออกแบบลีลานาฏยศิลป์ 4) การออกแบบเสียงและดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง 5) การออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง 6) การออกแบบพื้นที่สำหรับการแสดง 7) การออกแบบเครื่องแต่งกาย และ 8) การออกแบบแสง อีกทั้งสามารถจำแนกแนวคิดที่ได้หลังจากการสร้างสรรค์ผลงานได้ 7 ประการ คือ 1) การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความหมายนามเต็มของ " กรุงเทพมหานคร " 2) ความคิดสร้างสรรค์ในผลงานนาฏยศิลป์ 3) สัญลักษณ์ในงานนาฏยศิลป์ 4 ) ทฤษฎีทางด้านนาฏยศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ 5) แนวคิดของนาฏยศิลป์ร่วมสมัย 6) การสะท้อนสภาพสังคมผ่านการสร้างสรรค์ทางนาฏยศิลป์ และ 7) แนวคิดของนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ นอกจากนี้ผู้วิจัยได้นำองค์ความรู้ในหลากหลายศาสตร์เป็นพื้นฐานที่นำสู่การสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏยศิลป์จากความหมายนามเต็มของ "กรุงเทพมหานคร" สามารถนำมาเป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านนาฏยศิลป์ที่ผู้สร้างงานพิจารณาหรือวิเคราะห์จากความหมายของนามเฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการการสื่อความหมายให้เป็นรูปธรรม โดยผ่านงานนาฏยศิลป์ อีกทั้งงานวิจัยในครั้งนี้ยังสามารถเป็นประโยชน์ในการต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป


การประพันธ์เพลงตับเรื่อง “บัวสามเหล่า”, ธิติ ทัศนกุลวงศ์ Jan 2018

การประพันธ์เพลงตับเรื่อง “บัวสามเหล่า”, ธิติ ทัศนกุลวงศ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่อง การประพันธ์เพลงตับเรื่อง "บัวสามเหล่า" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมาของพระธรรมเรื่อง บัวสามเหล่า ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมณิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ และเพื่อสร้างสรรค์ บทเพลงมโหรี ตับเรื่อง "บัวสามเหล่า" เพื่อใช้เผยแพร่แก่พุทธศาสนิกชน ผลการวิจัยพบว่าบัวมีความเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อทางศาสนาและมีนัยยะไปในเรื่องของความเป็นมงคล เกี่ยวข้องกับคำสอนทางศาสนาอย่างเด่นชัด มีปรากฏเรื่องบัวทั้งในงานด้านวรรณกรรมและงานศิลปกรรม พระธรรมที่เกี่ยวข้องกับบัวสามเหล่า คือ การอุปมาเรื่องการจัดแบ่งบัวตามความหมายของศักยภาพการเข้าถึงความรู้ของคน ก่อนการเผยแพร่พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับบุคคลประเภทต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับบัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำและบัวพ้นน้ำ การศึกษาบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาวิธีการประพันธ์เพลงสร้างสรรค์ครั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า การกำหนดกลุ่มเสียง หากเป็นทำนองที่เป็นสำเนียงที่ไม่ใช่สำเนียงไทย จะกำหนดกลุ่มเสียงเดียวเป็นส่วนใหญ่ หากเป็นสำเนียงไทยจะมีการกำหนด 2 - 3 กลุ่มเสียง การใช้เสียงมาเรียงร้อยเป็นทำนองเพลงเกือบทั้งหมดใช้เสียงเรียงกันขึ้นลงอย่างเป็นระเบียบ ไม่เน้นทำนองที่ผันผวน และเพลงส่วนใหญ่จะขึ้นต้นเพลงปรากฏทั้งการเคลื่อนที่แนวเสียงวิถีขึ้นและลง และมักจะจบเพลงด้วยแนวเสียงวิถีลง สำหรับเพลงระบำของครูมนตรี ตราโมท การดำเนินทำนองปรากฏทำนองเกริ่น ทำนองจังหวะยก หากเป็นเพลงประเภทโหมโรงและเพลงเถามักมีทำนองลูกล้อลูกขัด อีกทั้งทำนองเพลงส่วนใหญ่เป็นทำนองลักษณะบังคับทางและเสียงลูกตกระหว่างวรรคแรกกับวรรคหลังมีการกำหนดให้เป็นเสียงที่ห่างกันอย่างหลากหลาย การประพันธ์เพลงใหม่ ได้ทำการประพันธ์โดยใช้วิธีขยายทำนองจากเพลงต้นราก การประพันธ์ด้วยจินตนาการ การขยายและยุบทำนองหลังจากนั้นตบแต่งทำนองให้มีสำนวนใหม่ การประพันธ์ทำนองขึ้นใหม่จากโครงสร้างบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรของพระภิกษุ การกำหนดทำนองเพลงมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วน ส่วนแรก ทำนองส่วนต้น ประกอบด้วยทำนองเกริ่น ปฐมภูมิและเพลงบัว 3 เหล่า โดยเพลงบัว 3 เหล่ามีเพลงย่อยจำนวน 3 เพลง คือ เพลงเนยยะบุศย์ เพลงบุศย์น้ำดุล เพลงสุริยโกเมศ ส่วนที่สอง ทำนองส่วนท้าย ประกอบด้วยเพลง 3 เพลง ที่ประพันธ์ทำนองจากบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร ประกอบด้วย เพลงหันทะมะยัง เพลงบทขัดธัมมจักกัปปวัตนสูตร และเพลงธัมมจักกัปปวัตนสูตร สำหรับเพลงที่ 3 ประกอบด้วยเพลงย่อยอีก 7 เพลงคือ เพลงปฐมธัมมจักร เพลงคู่พยายาม เพลงปลายคู่พยายาม เพลงอริยสัจสี่ เพลงเทวานัง เพลงปิติศานติ์ และเพลงตติยภูมิ บทเพลงที่แต่งใหม่ใช้หลักการจากการวิเคราะห์เพลงที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้ได้แก่ การกำหนดทางการเลือกใช้เสียง การเลือกทำนองเกริ่น การเลือกทำนองลูกล้อลูกขัด การกำหนดเสียงลูกตก นอกจากนี้ การตกแต่งทำนองยังคงความหมายของเพลงต้นรากอย่างเคร่งครัด


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากการตีความตัวละคร"ราม"ในรามายณะผ่านทฤษฎีภาวะและรส, นรีรัตน์ พินิจธนสาร Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากการตีความตัวละคร"ราม"ในรามายณะผ่านทฤษฎีภาวะและรส, นรีรัตน์ พินิจธนสาร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่อง การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากการตีความตัวละคร "ราม" ในรามายณะผ่านทฤษฎีภาวะและรส มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและแนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากการตีความตัวละคร "ราม" ในรามายณะผ่านทฤษฎีภาวะและรส ซึ่งมีรูปแบบการวิจัยเชิงสร้างสรรค์และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการนำเอาตัวละคร "ราม" ในรามายณะมาตีความใหม่ในบริบทที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความเป็นมนุษย์ และจำแนกถึงอารมณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกทางพฤติกรรมความเป็นมนุษย์ของตัวละครผ่านนวรส ได้แก่ รัก โกรธ เศร้า เกลียด กล้าหาญ กลัว อัศจรรย์ใจ ขบขัน และสงบ นำมาวิเคราะห์ร่วมกับแนวคิดอารมณ์ และพฤติกรรมมนุษย์รวมทั้งบูรณาการร่วมกับแนวคิดด้านศิลปกรรมศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ การวิเคราะห์จากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ตลอดจนนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ สรุปผล และนำเสนอผลงานวิจัย ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสรรค์ผลงานทางด้านนาฏยศิลป์จากการตีความตัวละคร "ราม" ในรามายณะผ่านทฤษฎีภาวะและรสนั้น สามารถจำแนกตามองค์ประกอบทางด้านนาฏยศิลป์ ได้ 8 ประการ คือ 1) บทการแสดง แบ่งออกเป็น 9 ชุดการแสดงตามนวรส 2) นักแสดงมีทักษะความถนัดทางด้านนาฏยศิลป์และมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับตัวละครในบทประพันธ์ 3) ลีลาท่าทางนาฏยศิลป์นำเสนอผ่านรูปแบบนาฏยศิลป์หลังสมัยใหม่ 4) ดนตรีและเสียงใช้ใน 4 ลักษณะ คือ 1.ใช้เสียงสังเคราะห์จากเครื่องดนตรี 2.การด้นสดดนตรีไทย 3.การร้องประสานเสียง และ 4.ไม่ใช่เสียงดนตรี 5) เครื่องแต่งกาย ใช้การออกแบบตามแนวคิดพหุวัฒนธรรมและแนวคิดความเรียบง่าย (Minimalism) 6) อุปกรณ์การแสดง ใช้เสริมให้ภาพการแสดงดูสมบูรณ์และสื่อถึงนัยบางประการ 7) แสงใช้แนวคิดตามทฤษฎีสีทางทัศนศิลป์ในการแสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ 8) พื้นที่การแสดง ทำการแสดงภายในโรงละครเพื่อใช้เทคนิคอุปกรณ์พิเศษให้ช่วยเสริมภาพของการแสดงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้แนวคิดที่ได้หลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ได้ให้ความสำคัญใน 5 ประเด็น ได้แก่ 1) การตีความตัวละครผ่านทฤษฎีภาวะและรส 2) แนวคิดด้านอารมณ์และพฤติกรรมมนุษย์ 3) การสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์โดยใช้ทฤษฎีทางศิลปะ 4) การคำนึงถึงแนวคิดเรื่องพหุวัฒนธรรม และ 5) การคำนึงถึงแนวคิดหลังสมัยใหม่ ดังนั้นผลการวิจัยทั้งหมดนี้จึงมีความสอดคล้องและตรงตามวัตถุประสงค์ทุกประการy


นวัตกรรมสิ่งทอจากเส้นใยดาหลาสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์โดยใช้ทฤษฎีความยั่งยืน, นวัทตกร อุมาศิลป์ Jan 2018

นวัตกรรมสิ่งทอจากเส้นใยดาหลาสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์โดยใช้ทฤษฎีความยั่งยืน, นวัทตกร อุมาศิลป์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าขยะทางการเกษตรโดยการพัฒนาเส้นใยจากต้นดาหลา และศึกษากระบวนการทดลองสกัดสีจากดอกดาหลา และการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสมกับสิ่งทอเส้นใยดาหลา โดยการประเมินผลความเหมาะสมของเส้นใย รูปแบบผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้เชียวชาญทางด้านสิ่งทอ ทางด้านการออกแบบ นักออกแบบ กลุ่มประกอบ และกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาเส้นใยดาหลาเป็นการใช้ส่วนลำต้นที่เหลือทิ้งจากการตัดดอกดาหลาไปขาย ส่วนของลำต้นมีใยที่เหมาะสม โดยจะนำเข้าเครื่องนวดเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและมีความนุ่ม หลังจากนั้นนำไปเข้าเครื่องตีใย และนำใยที่ได้ไปเข้าเครื่องตีเกลียวเส้นด้ายในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งเส้นด้ายที่ตีเกลียวจะมีส่วนผสมระหว่างใยดาหลาและใยฝ้าย อัตราส่วน 15:85 เพราะใยฝ้ายเป็นตัวผสานเกลียว ซึ่งจะทำให้เส้นด้ายเหมาะแก่การนำไปทอผ้าเพื่อทำผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์เช่น เสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้าเป็นต้น ในส่วนกลีบดอกมีการสกัดสีย้อมเพื่อย้อมเส้นด้ายดาหลาและเส้นไหมไทย โดยนำกลีบดอกมาปั่นกับน้ำ ในอัตราส่วนกลีบดอก 1 กิโลกรัม:น้ำ 3 ลิตร กรองด้วยผ้าขาว ได้น้ำสีแล้วนำไปต้มเพื่อย้อมร้อน นำเส้นด้ายดาหลาและเส้นไหม ย้อมเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ขณะน้ำเดือดใส่สารส้ม 200 กรัม เพื่อให้ติดสีและมีสีที่สด เสร็จแล้วนำเส้นด้ายมาล้างน้ำสะอาด และแช่ในน้ำผสมสารส้ม อัตราส่วน 3 ลิตร:200 กรัม เพื่อคงสีที่ย้อมไว้จากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาเส้นใยธรรมชาติและวัตถุในการแปรรูปเส้นใยผู้วิจัยต้องการพัฒนาเส้นใยจากต้นดาหลาซึ่งถือเป็นส่วนเหลือทิ้งจากการตัดดอก พร้อมทั้งหาแนวทางการสกัดสีย้อมจากส่วนดอกดาหลา เพื่อนำไปย้อมสีเส้นด้ายทอต่าง ๆ เช่น ไหม ฝ้าย เส้นด้ายดาหลา เป็นต้น ซึ่งถือส่วนหนึ่งของแนวคิดการออกแบบและพัฒนาเพื่อความยั่งยืน"Sustainable Design"และแนวทางการใช้ทุกส่วนอย่างคุ้มค่า จนขยะเหลือศูนย์ "Zero Waste" อันได้แก่กระดาษจากเศษดอกหลังจากสกัดสี หรือนำมาแปรรูปเป็นอาหาร อาทิเช่น กากดอกดาหลากวน น้ำพริกแห้งดาหลา ซึ่งส่วนสำคัญในการวิจัยครั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์สิ่งทอและผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กระเป๋าและรองเท้า เป็นต้น


วาดเส้นทัศนวัตถุกับความว่าง : บทสนทนากับปัจจุบันขณะและวัตถุที่ไร้การปรุงแต่ง, ตฤณภัทร ชัยสิทธิศักดิ์ Jan 2018

วาดเส้นทัศนวัตถุกับความว่าง : บทสนทนากับปัจจุบันขณะและวัตถุที่ไร้การปรุงแต่ง, ตฤณภัทร ชัยสิทธิศักดิ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยเชิงสร้างสรรค์เรื่องวาดเส้นทัศนวัตถุกับความว่าง: บทสนทนากับปัจจุบันขณะและวัตถุที่ไร้ การปรุงแต่ง มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษากระบวนการสร้างสรรค์การวาดเส้นจากผลงานของ ศิลปินที่ทำให้เกิดสมาธิ 2) เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเส้นทัศนวัตถุกับความว่าง: บทสนทนากับปัจจุบันขณะ และวัตถุที่ไร้การปรุงแต่งด้วยกระบวนการวาดเส้นตามหลักการทัศนมิติเพื่อเรียนรู้เรื่องสมาธิ และ 3) เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้จากการสร้างสรรค์ ผู้วิจัยได้สร้างผลงานชุดนำร่องด้วยหลักการวาดเส้นทัศนมิติเป็นรูปทรงสิ่งของจำนวน 3 ภาพ เพื่อยืนยันว่าการลากเส้นสัมพันธ์กับสมาธิจดจ่อกับเวลาปัจจุบันขณะ จากนั้นจึงได้วิเคราะห์ผลงานศิลปกรรมจากศิลปินที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสมาธิ รวมทั้งศิลปินที่เน้นกระบวนการในการสร้างผลงาน ทำให้ได้วิธีการ สร้างสรรค์ที่มีเนื้อหาสะท้อนกระบวนการทางศิลปะ สมาธิจดจ่อ และเวลา นำไปสู่ผลงานวาดเส้นทัศนวัตถุกับ ความว่าง: บทสนทนากับปัจจุบันขณะและวัตถุที่ไร้การปรุงแต่งทั้งหมด 2 ชุด จำนวน 20 ชิ้น ผลการวิจัยพบว่าการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมร่วมสมัยด้วยวิธีการวาดเส้นทัศนมิติสามารถทำให้ เกิดสมาธิหรือการจดจ่อต่อการทำงาน 3 ระดับ นอกจากนั้นผลงานสร้างสรรค์ยังแสดงให้เห็นว่างานจิตรกรรม สามารถถ่ายทอดสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมได้ ผลงานที่ออกมาสามารถแสดงให้เห็นการจดจ่อกับเวลา ปัจจุบันขณะและพัฒนาการของสมาธิที่เกิดขึ้นในขณะสร้างงาน เวลาปัจจุบันของการสร้างงานยังสะท้อนอยู่ เพราะไม่มีเนื้อหาใดปรากฏให้เห็นนอกจากการลากเส้น แม้ผลงานจะเสร็จสิ้นแล้วก็ยังสามารถแสดงให้ผู้ชม เห็นถึงเวลาอันเป็นปัจจุบันของผู้สร้างอยู่เสมอ ผลงานมีสถานะเป็นงานสร้างสรรค์เนื่องจากผู้วิจัยได้ใช้เวลามา สนับสนุนความสามารถของมนุษย์โดยนำเวลาที่ใช้ในการทำงานอย่างต่อเนื่องในแต่ละวันมาแสดงให้เห็นว่า ผลงานนั้นเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ความจดจ่อและสมาธิที่เกิดขึ้น


การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายใต้น้ำ : บินดุจปลา ว่ายดั่งนก, พรรัก เชาวนโยธิน Jan 2018

การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายใต้น้ำ : บินดุจปลา ว่ายดั่งนก, พรรัก เชาวนโยธิน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บินดุจปลาที่แหวกว่ายในท้องน้ำราวกับว่าโบยบินในแผ่นฟ้า ว่ายดั่งนกที่บินถลาเล่นลมบนนภา ราวกับว่าโล้คลื่นในผืนน้ำ คือสาระทางความคิดที่ต้องการถ่ายทอดและสื่อความหมายเกี่ยวกับความเป็นงานศิลป์ผ่านสระว่ายน้ำ วิทยานิพนธ์เรื่องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายใต้นํ้า: บินดุจปลา ว่ายดั่งนกได้แนวความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจมาจากการที่ผู้วิจัยมองเห็นพื้นที่ใต้น้ำเป็นพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ร่วมกับประสบการณ์ที่ผู้วิจัยเคยทำงานร่วมกับผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานศิลปะโดยเปลี่ยนมุมมองเรื่องพื้นที่ใช้สอยไปสู่พื้นที่สร้างสรรค์ทางศิลปะ (Artistic Site) ได้เป็นในความหมายใหม่ คือ พื้นที่แห่งความปรารถนา (The Place of Desire) และเพื่อสร้างกระบวนการศิลปะเชิงกิจกรรมที่ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมกิจกรรมกับพื้นที่สร้างสรรค์ทางศิลปะ ผู้วิจัยได้นำสาระสำคัญของแนวคิดทางศิลปกรรมทางด้านศิลปะ Readymade Object ศิลปะเชิงกิจกรรม (Activist Art) งานศิลปะที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ "This is so Contemporary" ของ Tino Sehgal ผสานกับแนวความคิดทางจิตวิเคราะห์เรื่องความขาดพร่อง (Lack) และความขาดพร่อง (Desire) ของ Jacques Lacan มาเป็นวิธีในการเปลี่ยนมุมมองต่อสระว่ายในฐานะพื้นที่ใช้สอยมาเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ทางศิลปะ และวิธีการสร้างสรรค์ศิลปะเชิงกิจกรรมเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสกับพื้นที่สร้างสรรค์ทางศิลปะที่ผู้วิจัยได้ให้ความหมายใหม่ ทำให้ได้ผลงานภาพถ่ายใต้น้ำ จำนวน 7 ชุด ที่สะท้อนให้เห็นสัมพันธภาพระหว่างความขาดพร่องกับความปรารถนาที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตไร้สำนึกและก้นบึ้งของจิตสำนึกของผู้เข้าร่วมกิจกรรมในพื้นที่แห่งความปรารถนา ด้วยการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความปรารถนาของตนเองออกมาในสระว่ายน้ำ เพราะสระว่ายน้ำได้แปรเปลี่ยนข้อจำกัดด้านความบกพร่องของร่างกายผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้ไร้ข้อจำกัด เพื่อพวกเขาได้ปลดปล่อยตนเองตามความปรารถนา ด้วยจินตนาการตามที่วาดหวัง ราวกับว่า เป็นอยู่และมีอยู่จริง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นทั้งผู้ชมและผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ส่วนผู้วิจัยทำหน้าที่เป็นผู้บันทึกและถ่ายทอดฉากชีวิตของผู้เข้าร่วมกิจกรรมและเรื่องเล่าอันเป็นที่มาของความปรารถนาที่ได้เข้าเติมเต็มความขาดพร่อง


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับมนุษย์, ตวงพร มีทรัพย์ Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับมนุษย์, ตวงพร มีทรัพย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่อง การสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับมนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบในการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ภายใต้หัวข้อ การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับมนุษย์ และเพื่อหาแนวคิดหลังการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับมนุษย์ โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัยที่สำคัญ ได้แก่ การศึกษาข้อมูลเชิงเอกสาร การสัมภาษณ์ การศึกษาข้อมูลจากสื่อสารสนเทศ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้วิจัย โดยนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างเป็นการแสดงสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ และทำการสรุปผล ผลการวิจัยพบว่า ในการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับมนุษย์ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับองค์ประกอบทั้ง 8 ที่อยู่บนพื้นฐานจากการศึกษาวรรณกรรม เพื่อใช้ในการกำหนดองก์การแสดงต่าง ๆ ประกอบไปด้วย 2 องก์ องก์ที่ 1 ไฟแห่งรูปธรรม ได้แก่ กำเนิดไฟและลุยไฟ และองก์ที่ 2 ไฟแห่งนามธรรม ได้แก่ ไฟราคะและไฟแค้น พร้อมทั้งทำการวิเคราะห์ในเรื่อง การวิเคราะห์แนวคิดการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากความสัมพันธ์ของไฟกับมนุษย์ การคำนึงถึงบริบทของไฟในเชิงรูปธรรมและนามธรรม การคำนึงถึงทฤษฎีการเผาไหม้ ทฤษฎีอุปลักษณ์มโนทัศน์ และทฤษฎีสัญญะ และการคำนึงถึงภาพสะท้อนในสังคมปัจจุบันกับงานนาฏยศิลป์ นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์คุณค่าของงานนาฏยศิลป์ด้วยการนำเกณฑ์มาตรฐานศิลปินมาร่วมประกอบการวิเคราะห์กับองค์ประกอบนาฏยศิลป์ทั้ง 8 ในการสร้างสรรค์ผลงาน งานวิทยานิพนธ์นี้จะมีคุณค่าต่อสังคมในการให้แนวคิดและปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่เป็นประโยชน์ในด้านของการใช้ไฟเป็นสัญญะของการดำรงตนอยู่ในความซื่อสัตย์ การไม่ตกอยู่ในความลุ่มหลงที่นำไปสู่หายนะ และการสะท้อนผลแห่งการกระทำ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาไฟในบริบทต่าง ๆ จากวรรณกรรมที่หลากหลาย แล้วจึงคัดเลือกไฟที่มีบทบาทสำคัญ มาทำการต่อยอดเป็นผลงานนาฏยศิลป์สร้างสรรค์ที่น่าสนใจ โดยการเล่าเรื่องราวผ่านวรรณกรรม นอกจากนี้ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ยังเป็นการศึกษาไฟในเชิงวิทยาศาสตร์และภาษาศาสตร์นำมาผนวกเข้ากับศิลปกรรมศาสตร์ได้อย่างลงตัว


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากวิถีการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทย, ภคพร หอมนาน Jan 2018

การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากวิถีการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทย, ภคพร หอมนาน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์เรื่อง การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากวิถีการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบและแนวคิดหลังการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากวิถีการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทย โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัยที่สำคัญ ได้แก่ การศึกษาข้อมูลเชิงเอกสาร การสัมภาษณ์ การศึกษาข้อมูลจากสื่อสารสนเทศ การสังเกตการณ์จากพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทยและการใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้วิจัย โดยนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ มาสร้างเป็นการแสดงสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์และดำเนินการสรุปผล ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์จากวิถีการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทยเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลองค์ประกอบทั้ง 8 และการศึกษาจากวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ผู้วิจัยได้กล่าวไว้ข้างต้น เพื่อนำมาใช้กำหนดองก์การแสดงทั้ง 6 องก์ ประกอบไปด้วยองก์ที่ 1 ห้องแห่งอดีต องก์ที่ 2 ห้องแห่งความหรูหรา องก์ที่ 3 ห้องแห่งข่าวสาร องก์ที่ 4 ห้องแห่งความลับ องก์ที่ 5 ห้องแห่งความเศร้า และองก์ที่ 6 ห้องแห่งวิถีสังคมเมืองของไทย พร้อมทั้งดำเนินการวิเคราะห์แนวคิดการสร้างสรรค์งานนาฏยศิลป์จากวิถีการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทยและการคำนึงถึงรูปแบบในการใช้ห้องน้ำในสังคมเมือง ทฤษฎีทางด้านสังคมวิทยา ทฤษฎีทางด้านสัญวิทยา ทฤษฎีทางด้านทัศนศิลป์ และการคำนึงถึงภาพสะท้อนสังคมปัจจุบันและสภาพสังคมโดยใช้นาฏยศิลป์เป็นสื่อในการอธิบายความหมาย นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์คุณค่าของงานนาฏยศิลป์ด้วยการนำเกณฑ์มาตรฐานศิลปินมาร่วมประกอบการวิเคราะห์และองค์ประกอบนาฏยศิลป์ทั้ง 8 ในการสร้างสรรค์งาน วิทยานิพนธ์นี้มีคุณค่าต่อสังคมในด้านการสร้างสรรค์ฉากการแสดงที่มีนัยยะการแฝงความหมายของพฤติกรรมมนุษย์ในอดีตจนถึงปัจจุบันและรวมไปถึงภาพสะท้อนพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำในสังคมเมืองของไทยที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในแง่มุมต่าง ๆ ตามวิถีสังคมเมือง